คนไร้บ้านทั่วประเทศประมาณ 2,400 กว่าคน
เป็นคนอีสานประมาณ 1,000 กว่าคน
ข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์การทำงานของ สมพร หารพรม มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย กำลังบอกเล่าถึงชะตาชีวิตของคนอีสานจำนวนไม่น้อย ที่ยอมทิ้งบ้านเกิด หอบความหวัง ความฝันเข้ามาแสวงหาโอกาสในเมืองใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับสิ่งนั้นเสมอไป…

จากประสบการณ์ทำงานกับ คนไร้บ้าน ตั้งแต่เป็นนักศึกษา ในช่วงปี 2540 ร่วมกับ ชมรมศึกษาปัญหาแหล่งเสื่อมโทรม ทำให้ สมพร สนใจและติดตามการล่มสลายของชนบท จากการหลั่งไหลเข้ามาอยู่ในเมือง เพื่อเป็นกรรมกร-แรงงาน และปลูกบ้านในพื้นที่ของผู้อื่น หรือที่เรียกกันว่า สลัม
การได้สัมผัสกับชีวิตแรงงานต่างถิ่นเหล่านี้เอง ทำให้ สมพร เห็นความแตกต่างและเป็นจุดผลิกผันให้เขาอยากที่จะพูดเรื่องนี้ให้ดังขึ้น จนกระทั่งปี 2543 ได้มารู้จัก มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งทำงานเรื่องชุมชนแออัด คนในสลัม และคนเร่ร่อน จึงเป็นโอกาสดีที่ทำให้สมพรได้เข้ามาสัมผัสชีวิตคนไร้บ้านตั้งแต่นั้นมา
“ไม่แน่ใจว่าเป็นอุดมการณ์หรืออะไร แต่ช่วงนั้นเป็นกำลังมีไฟ เลยอยากลองดู อยากดูว่าทำงานแบบนี้มันเป็นยังไง และทางมูลนิธิก็ให้ไปทำงานกับพี่น้องคนไร้บ้านที่นอนอยู่สนามหลวง”
สมพร หารพรม
สมพร ย้อนความให้ฟังว่า ก่อนหน้าที่เราจะเรียกคนที่ใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะว่า “คนไร้บ้าน” คนเหล่านี้เคยถูกสังคมตีตราผ่านคำว่า “คนเร่ร่อนจรจัด” มาก่อน เพราะภาพที่หลายคนมองเข้ามาเมื่อเห็นคนไร้บ้านคือผลของความขี้เกียจ ไม่ทำงาน จึงทำให้คนเหล่านี้ไม่มีที่อยู่อย่างไม่มีจุดมหายปลายทาง
เมื่อมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยลงพื้นที่เก็บข้อมูล จึงมีความพยายามที่จะนิยามคนที่ใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะใหม่ว่าเป็นกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงที่อยู่อาศัย หรือ คนไร้บ้าน เพื่อที่จะลบการตีตราและทำความเข้าใจว่าการที่คน ๆ หนึ่งจะกลายมาเป็นคนไร้บ้าน ไม่ได้ขี้เกียจเสมอไป แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้เขาเหล่านั้นต้องมาใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะเช่นนี้
“คนไร้บ้านไม่ได้ล้มเหลวในชีวิต เพียงแต่ไม่ได้ถูกให้โอกาส
สำหรับ สมพร มองต่างจากภาพจำของหลายคนที่มองคนไร้บ้านว่า ไม่สร้างโอกาสให้ตัวเอง ทั้งขี้เกียจ ติดยา เป็นมิจฉาชีพ ขี้ขโมย เพราะเรื่องการออกจากบ้านมีหลายมิติที่ไม่ได้เกิดจากพวกเขาเหล่านั้น แต่ยังมีเรื่องของโอกาส สิทธิ์ ของคนหลากหลายกลุ่มในสังคมที่อาจถูกปฏิเสธจากระบบ จนไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการหรือมีสิทธิ์ได้อย่างเท่าเทียม

“การที่ไม่มีที่อยู่อาศัยมีหลายปัจจัย เราเลยพยายามตัดคำว่าเร่ร่อนจรจัดออก ให้เหลือแค่คำว่าคนไร้บ้านหรือคนเร่ร่อนไร้บ้าน ซึ่งอย่างน้อย มันเป็นการพูดถึงว่าเขามีปัญหาอะไรถึงมาใช้ชีวิตอยู่แบบนี้”
สมพร หารพรม
แต่การทำงานกับคนไร้บ้านไม่ใช่เรื่องง่าย สมพร เล่าให้ว่า ในช่วงแรกทำงานค่อนข้างยาก เพราะคนไร้บ้านที่เขาเข้าไปทำงานด้วยยังไม่กล้าเปิดใจคุยกับเขามากนัก จึงต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเข้าถึงคนเหล่านั้นให้ได้มากที่สุด อย่างการใช้ชีวิตร่วมกันกับคนไร้บ้าน จนได้พูดคุยและทำความรู้จักกันในที่สุด
“เราต้องใช้ทุกวิถีทางที่จะเข้าถึงเขาได้เยอะ แต่ก่อนก็ใช้รูปแบบไปนอนสนามหลวง เขาไปกินข้าววัดก็ไป เขาพาไปรับของแจกทานก็ไปกับกลุ่มเขา พอหลัง ๆ พวกเขาเห็นเรา พวกเขาก็เริ่มเปิดใจ เริ่มบอกว่าเขาเป็นใคร มาจากไหนมากขึ้น”
สมพร หารพรม
หลังจาก สมพร ได้ลงพื้นที่และพูดคุยกับคนไร้บ้าน เขากลับได้พบความจริงที่ว่า คนไร้บ้านส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคเดียวกันกับสมพรเอง โดยจากข้อมูลพบว่า ประมาณ 60% ของคนไร้บ้านเป็นคนอีสาน ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับจำนวนคนไร้บ้านทั้งหมด โดยเฉพาะจังหวัดร้อยเอ็ด, สุรินทร์, บุรีรัมย์, ขอนแก่น ซึ่งเคยเป็นแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบที่หลุดออกมาเป็นคนไร้บ้านจากความไม่มั่นคงในชีวิต
‘เศรษฐกิจ การศึกษา ครอบครัว ความหลากหลาย’ ปัจจัยผลักคนออกจากบ้าน(เกิด) สู่พื้นที่สาธารณะ
ในความเป็นจริงที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ ปัจจัยหลักที่ทำให้จากคนธรรมดากลายมาเป็นคนไร้บ้าน คือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะคนต่างจังหวัดอย่างคนอีสานที่เข้ามาเมืองใหญ่เพื่อหวังจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม เพราะเชื่อว่าระบบเศรษฐกิจในเมืองใหญ่จะดีกว่าบ้านที่จากมา
“คนอีสานบ้านเรามีแค่แรง ?”
สิ่งหนึ่งที่เชื่อมโยงให้คนอีสานกลายมาเป็นคนไร้บ้านสำหรับ สมพร คือ การเข้าไม่ถึงการศึกษาของคนชนบท ไม่มีวุฒิการศึกษารับรองในการจ้างงาน ไม่มีความรู้ในการทำงานที่ต้องใช้ทักษะ ไม่มีความชำนาญพิเศษ ทำให้การเข้ามาทำงานในเมืองส่วนใหญ่ต้องกลายเป็นแรงงานนอกระบบ โดยเฉพาะในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อรายได้และความมั่นคงในชีวิต
“ส่วนใหญ่จบ ป.6 จบเต็มที่ก็ ม.3 ถามว่ามีความสามารถอะไร ก็บอกว่าเป็นช่าง แต่มาทำงานก่อสร้าง ค่าแรงมันก็ถูก นอกจากว่าพอทำงานจากตรงนั้น แล้วเริ่มพัฒนาตัวเอง คนอีสานก็มีความชำนาญในเรื่องแบบนี้อยู่”
สมพร หารพรม

ความเปราะบางของงานและรายได้ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คนอีสานเสี่ยงต่อการหลุดออกมาเป็นคนไร้บ้าน เพราะเมืองใหญ่ที่หวังจะยกระดับชีวิต ไม่ได้ตอบโจทย์วิถีชีวิตของแรงงานมากนัก ด้วยค่าครองชีพที่สวนทางกับรายได้
“เป็นเส้นหมิ่นเหม่ ที่วันไหนคุณไม่มีงานทำ โอกาสที่จะหลุดมาเป็นคนไร้บ้านก็จะสูง เพราะในเมืองมันตอบโจทย์เรื่องของวิถีชีวิตค่อนข้างยาก ค่าครองชีพสูง ค่าที่อยู่อาศัยก็สูง การกินการอยู่ก็สูง มันไม่เหมือนบ้านเรา เขาเรียกว่าเส้นที่ทำให้แรงงานกับคนไร้บ้านต่างกันนิดเดียวเอง”
สมพร หารพรม
ด้าน ที่ดินทำกิน เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้คนอีสานหันเหเข้ามาทำงานในเมือง โดย สมพร ให้เหตุผลว่าภาคการเกษตรของอีสานจะเน้นการปลูกข้าว มันสำปะหลัง และอ้อยเป็นหลัก โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเป็นข้าวนาปีที่ต้องอาศัยน้ำฝนตามฤดูกาลจึงจะได้ผลผลิตดี ต่างจากการเกษตรของภาคอื่น ๆ ที่มีระบบเศรษฐกิจที่ดีกว่า และสามารถปลูกพืชผักได้หลากหลายชนิดกว่าภาคอีสาน
เมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจ และระบบเศรษฐกิจยังไม่ดีพอที่จะยกระดับชีวิตได้ คนจำนวนหนึ่งในภาคอีสาน จึงต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดด้วยการออกจากบ้านเกิดมายังที่ยังพอดีโอกาสและความหวังมากกว่า เพื่ออนาคตของตัวเองและครอบครัว
ไม่เพียงเท่านั้น สำหรับบางคนออกจากบ้านมาโดยที่ไม่มีทรัพย์สมบัติอยู่ข้างหลัง และมากกว่านั้นคือการขายสมบัติที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อเป็นทุนตั้งต้นสร้างชีวิตใหม่ในเมืองใหญ่จนไม่เหลืออะไรรองรับเมื่อชีวิตไม่ไปเป็นตามที่ฝันไว้ หรืออย่างที่เข้าใจว่า “มาตายเอาดาบหน้า” อย่างแท้จริง จึงอาจไม่มีเหตุผลให้เขาเหล่านั้นกลับบ้าน เพราะไม่รู้ว่ากลับไปแล้วชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไร ซึ่งจากประสบการณ์ของสมพร ก็พบว่ามีคนอีสานน้อยคนที่เข้ามาทำงานในเมืองแล้วประสบความสำเร็จ และกลับบ้านไปสร้างชีวิตใหม่ในฐานเดิมที่ดีกว่าในตอนจากมา
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะคว้าโอกาสนั้นได้ เมื่อความฝันและความหวังที่แบกมาจากบ้านหายไปกับคำว่า “ไม่ประสบความสำเร็จ” ทั้งยังมีค่านิยมของคนต่างจังหวัดที่คาดหวังว่าการออกไปเมืองใหญ่จะต้องยกระดับชีวิตได้ ทำให้คนส่วนมากมักไม่กล้ากลับบ้าน เพราะต้องเจอกับคำดูถูกและสายตาที่ตอกย้ำความล้มเหลวของตัวเอง จึงทำให้คนธรรมดาที่กำลังจะกลายเป็นคนไร้บ้าน จำเป็นจะต้องใช้ชีวิตในเมืองต่อไป จนกระทั่งหมดหนทางที่จะไปต่อ และกลายมาเป็นคนไร้บ้านในที่สุด
“การที่ขึ้นมาตายเอาดาบหน้าเข้ามาในเมืองใหญ่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็ไม่กล้ากลับไปนะ ด้วยความที่เป็นคนต่างจังหวัดด้วย เพราะเรารู้สึกว่ามันอาย กลัวคนนินทา จากที่ไปหาเช่าห้องรายวัน เงินก็เริ่มหมดอีก งานก็ยังไม่ได้ จนบางทีบางคนอาจจะมานอนในที่สาธารณะ”
สมพร หารพรม
ปัญหาในครอบครัว เป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้คนบางส่วนออกจากบ้านเพื่อหาพื้นที่พักใจในสภาพแวดล้อมอื่น ๆ เพราะเมื่อครอบครัวไม่สามารถโอบอุ้มหรือเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับคนในบ้าน ก็ไม่ได้ต่างจากการผลักให้เขาออกมาบ้าน โดยเฉพาะความรุนแรงในครอบครัว ไม่ว่าเป็นการกระทบที่จิตใจหรือร่างกาย ก็ล้วนแต่มีส่วนทำให้หลายคนเลือกที่จะออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อย่างการเป็น LGBTQAI+ หรือการมีโรคภัยที่คนส่วนใหญ่รังเกียจ จนไม่กล้าที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมแบบเป็นกลุ่ม และปลีกตัวออกมาใช้ชีวิตคนเดียวในที่สาธารณะ
สมพร ยังเล่าด้วยว่า การที่คนไร้บ้านใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะอย่างเต็มตัว เป็นเรื่องยากที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงให้เห็นเส้นทางชีวิตอื่น ๆ เพราะเมื่อชีวิตไม่ประสบความสำเร็จแล้ว ทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกชินชากับชีวิตที่ผิดหวัง และเริ่มไม่คิดถึงชีวิตในอนาคต แม้แต่การกลับบ้าน ก็กลายเป็นสิ่งที่คนไร้บ้านไม่ต้องการกลับไปอีกต่อไปแล้ว
“เขาชินแล้วกับการที่ถูกดูถูก ถูกคนมอง ชินกับการที่ไม่คิดอะไรกับอนาคตของตัวเองแล้ว ฉันพอแค่นี้แล้ว ชีวิตฉันไม่เอาอะไรแล้ว ฉันอยากนอนตรงไหนก็ได้ เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว การที่เราจะไปชวนเขาลุกขึ้นมาจัดการเปลี่ยนแปลงตัวเองมันยาก”
สมพร หารพรม

รัฐสวัสดิการเท่าเทียม-ชุมชนแข็งแรง ให้คนกลับบ้านได้
ไม่ใช่เพียงคนอีสาน ไม่ใช่เพียงคนต่างถิ่น แต่นั่นหมายถึงทุกคนที่มีโอกาสกลายเป็นคนไร้บ้านได้ทุกเมื่อหากชีวิตยังไม่มั่นคงมากพอ เพราะสำหรับ สมพร มองว่า การที่จะหลุดมาเป็นคนไร้บ้านมีหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะเครือข่ายครอบครัว สังคม และรัฐ ที่เป็นตัวแปรสำคัญให้ใครหลายคนเข้าใกล้คำว่า “ออกจากบ้าน” มากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่สิ่งหนึ่งที่อาจช่วยให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นอย่างที่ไม่ต้องมาลงเอยกับการใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ สำหรับ สมพร คือ รัฐต้องมีสวัสดิการรองรับ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ที่มีหลายองค์ประกอบในการทำให้เขาเหล่านั้นหลุดจากระบบและขาดโอกาสเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางชีวิต
“รัฐสวัสดิการของผู้สูงอายุ เราจะจัดการยังไง ลูกหลานบางทีก็ต้อง ปากกัด ตีนถีบ ไปทำงาน ต้องเป็นระบบสวัสดิการที่ดูแลการเปลี่ยนแปลงของเขาด้วย ต้องมีระบบสวัสดิการที่ดูแลให้เขาอยู่ได้”
สมพร หารพรม
เรื่องการพัฒนาเมืองใหญ่กับชนบทก็สำคัญไม่แพ้กัน ในตอนนี้ เราอาจพูดไม่ได้อย่างเต็มปากว่า เราพัฒนาทั้งสองสิ่งได้อย่างสมดุล เพราะจากเรื่องราวทั้งหมดที่สมพรเล่าให้ฟัง จะเห็นแต่คำว่า โอกาส-ชีวิตที่ดีกว่า-ความหวัง โดยทั้งหมดนี้ คนอีสานหรือคนต่างจังหวัดไม่สามารถหาได้จากบ้านเกิดของตัวเอง เพราะท้องถิ่นยังไม่เข้มแข็งพอที่จะโอบล้อมให้คนไม่หลุดออกจากพื้นที่
สำหรับ สมพร มองว่า ต้องหาตรงกลางเพื่อเชื่อมให้ระบบเศรษฐกิจและสังคมสามารถดูแลคนในชุมชนได้ โดยไม่ต้องดิ้นรนออกมาทำงานในเมือง หรือให้ชุมชนเป็นพื้นที่แห่งโอกาสมากพอที่จะให้ใครก็ได้สามารถตั้งหลักได้ที่บ้านของตัวเอง
“พอเมืองเปลี่ยน เมืองก็ต้องเดินหน้า เพียงแต่ว่าจะทำยังไงที่จะทำให้คนสมดุลอยู่ได้แบบทั้งสองส่วน แต่ตอนนี้หลายคนไม่ได้คิดเรื่องนั้น ตอนนี้ทุกคนก็ยังบอกว่า เมืองมันต้องเป็นยังไง แล้วชนบทค่อยว่ากัน ค่อยไปพัฒนา เลยรู้สึกว่าคุณไม่ได้มองฐานที่มา แต่ว่าคุณมองที่จะไปข้างหน้าอย่างเดียว”
สมพร หารพรม
การจากบ้านเกิดมาไม่เคยเป็นเรื่องง่าย และยิ่งไม่ใช่ “ความล้มเหลว” อย่างที่สังคมเคยมอง เพราะเบื้องหลังของทุกคนไร้บ้านล้วนมีความหวัง ความฝัน และความพยายามที่ใครหลายคนไม่เคยเห็น เรื่องราวของคนไร้บ้านที่ สมพร ถ่ายทอดออกมา จึงไม่ได้บอกเพียงสถิติของคนไร้บ้านชาวอีสานที่มีมากจนน่าตกใจ แต่ยังสะท้อนให้เห็นเงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจ และโครงสร้างที่ผลักให้ผู้คนหลุดออกจากบ้านมากกว่าที่จะดึงให้พวกเขายืนหยัดอยู่ได้ในพื้นที่ของตัวเอง
ท้ายที่สุด การป้องกันไม่ให้ใครต้องลงเอยกับการใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ ไม่ได้เริ่มต้นจากการ “ช่วยคนไร้บ้าน” เท่านั้น แต่ต้องเริ่มจากการสร้างระบบที่แข็งแรงพอให้คนไม่ต้องออกจากบ้านแต่แรก ตั้งแต่รัฐสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพ เมืองและชนบทที่พัฒนาไปด้วยกัน ไปจนถึงชุมชนที่แข็งแรงพอจะรองรับคนในทุกจังหวะของชีวิต
- เนื้อหาส่วนหนึ่งจาก : พาข้าวพอดแคสต์ EP.8 | 60% ของคนไร้บ้าน เป็นคนอีสาน
