จากผลสำรวจ พบว่า หากเลือกวาระสุดท้ายได้ คนส่วนใหญ่ขอเลือก ตายที่บ้าน มากที่สุด รองลงมาขอตายที่ สถานชีวาภิบาล, ฮอสปิส (hospice) และ เนอร์สซิ่งโฮม (Nursing home)
หากเจ็บป่วยเข้าสู่ระยะท้ายแล้ว กว่า 80% ขอเลือก การดูแลแบบประคับประคอง ส่วน 20% ที่เหลือบอกว่า ไม่ขออยู่ต่อ หากเป็นไปได้ขอให้มี การุณยฆาต
ข้อมูลดังกล่าว อาจไม่ใช่ข้อสรุปของคนไทยทั้งประเทศ เพราะมากจากการสำรวจแบบ real-time จากผู้ร่วมตอบ 121 คน (ที่กว่าครึ่ง เป็นผู้สูงอายุ 60-70 ปี) ภายในงาน “Palliative care day 2025 ตายดีที่ไหน…ขอแค่มีหัวใจกรุณา”
แต่อย่างน้อย เป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่า คนไทยมีทัศนคติต่อการตายที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน โดยเชื่อว่าตนเองสามารถ ตายดีที่บ้านได้ โดยไม่ต้องมีวาระสุดท้ายในโรงพยาบาล และยังทำให้เห็นว่าความรู้เรื่อง การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) เข้าถึงประชาชนมากขึ้นกว่าในอดีตด้วย
The Active ชวนสำรวจที่ตาย ทั้งบ้าน โรงพยาบาล และ เนอร์สซิ่งโฮม แต่ละที่มีข้อดี-ข้อเสียต่างกันอย่างไร ? พร้อมทำความเข้าใจการใช้ชีวิตในระยะท้าย ว่าที่ไหนจะเป็นที่สุดท้ายที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด
ตายดี…ที่บ้าน
ด้วยวิถีชีวิตแบบไทย ๆ มีวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่ผูกพันธ์กับครอบครัวและสถานที่ ทำให้ บ้าน กลายเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของใครหลายคน
ข้อดีของการตายที่บ้านที่เห็นชัดที่สุด คือ ความปลอดภัยทางใจ เพราะผู้ที่อยู่ในวาระท้ายจะอยู่ใกล้ชิดกับครอบครัวและสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย

หากใครประสงค์จะตายที่บ้าน แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ตอนนี้ในไทยมีตัวช่วยไม่น้อย เพราะโรงพยาบาลหรือสถานบริการทางการแพทย์หลายแห่งมีระบบการเยี่ยมผู้ป่วยที่บ้าน คอยจัดการอาการและความสุขสบายของผู้ป่วย และคำแนะนำแก่ญาติ โดยที่ไม่ต้องมาโรงพยาบาลเลย
นพ.อิศรางค์ นุชประยูร จาก เยือนเย็น วิสาหกิจเพื่อสังคม อธิบายว่า ข้อดีของการตายที่บ้าน คือ สามารถออกแบบวิธีการดูแลรักษาได้ง่าย มีความยืดหยุ่น และเป็นอิสระมากกว่า เพราะไม่ต้องยึดตามกฎเกณฑ์ หรือมาตรฐานใด ๆ เหมือนที่โรงพยาบาล การออกแบบจึง customize ได้ตามความพอใจของผู้ป่วย
“คนไข้บางคนชอบฟังธรรมะ แต่บางคนชอบฟังเพลงลูกทุ่ง บางคนชอบกินไวน์ บางคนอยากกินสเต็ก เรื่องทางใจแบบนี้ คนใกล้ชิดจะดูแลได้ดีที่สุด”
นพ.อิศรางค์ นุชประยูร
แต่อย่าลืมว่า…การเลือกตายที่บ้านก็มีข้อท้าทายอยู่ไม่น้อย
นพ.อิศรางค์ เล่าว่า เมื่อคนไข้ขอเลือกตายที่บ้าน เป็นเรื่องธรรมดาที่คนในครอบครัวจะลังเล และกังวล เพราะไม่มั่นใจว่าเมื่อเกิดเหตุคับขันจะรับมืออย่างไร แม้กระทั่งเป็นครอบครัวของเหล่าบุคคลากรทางการแพทย์เอง
“คำแนะนำแรก คือ เมื่อคนไข้ตัดสินใจจะตายที่บ้านแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ การประชุมครอบครัว เพื่อทำความเข้าใจและหาข้อตกลงร่วมกันระหว่างสมาชิกในบ้าน ว่าระหว่างเส้นทางการดูแลนี้ มีความเป็นไปได้ใดบ้างที่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย และผู้ดูแลควรทำอย่างไร”
เพราะการรู้ไว้ก่อน ช่วยลดการตื่นตระหนกได้มากเมื่อถึงสถานการณ์จริง รวมถึงหาข้อตกลงร่วมกันถึงแนวทางการดูแลโดยยึดความต้องการของผู้ป่วยเป็นหลัก เพื่อเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจแล้ว ลูกหลานจะได้ไม่ขัดแย้งกันเอง
แต่สำหรับหลายบ้าน การหาข้อสรุปร่วมกันเป็นเรื่องยากลำบาก เป็นเรื่องปกติที่จำเป็นต้องมีคนกลางในการช่วยหาข้อตกลงร่วมกัน
“การให้ผู้ป่วยอยู่มีวาระท้ายที่บ้าน จะทำเราจะได้เจอคนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา เป็นโอกาสดีที่จะชวนคุยว่าแต่ละคนมีความคาดหวังอย่างไร และแต่ละช่วงเวลาควรดูแลอย่างไร”
นพ.อิศรางค์ นุชประยูร
เพราะเมื่อคนไข้เข้าสู่ระยะท้ายจริง ๆ การดูแลทางกายก็แทบไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว เหลือแต่เพียงการดูแลทางจิตใจ และจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในครอบครัวทำได้ดีที่สุด โดยเฉพาะในสถานที่คุ้นเคยอย่าง บ้าน
“เมื่อคนไข้เดินทางมาถึงจุดสุดท้าย หมอจะไม่แทรกแซงการดูแลทางร่างกายอีกแล้ว เช่น คนไข้ไม่อยากกินอาหาร ก็จะไม่พยายามฝืนให้กิน เพราะยิ่งทำให้ทั้งคนไข้และคนดูแลเป็นทุกข์”
นพ.อิศรางค์ นุชประยูร
ขณะเดียวกันหลายคนยังคิดว่าการมีคนตายที่บ้านเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่ แต่จากประสบการณ์การทำงานของเยือนเย็น สามารถส่งคนให้ตายดีที่บ้านมาแล้วกว่า 1,500 เคส และไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด หากมีการวางแผนและเตรียมไว้เป็นอย่างดี
โดยแนะนำว่า ระหว่างการดูแลที่บ้าน ควรเตรียมเอกสารไว้ให้พร้อม ทั้งบันทึกการรักษา-การดูแล เจตจำนงของผู้ป่วย หรือ Living Will เพื่อลดความยุ่งยากของญาติในการชี้แจงต่อเจ้าหน้าที่เมื่อผู้ป่วยเสียชีวิตในบ้าน
เห็นได้ว่า การตายที่บ้าน มีข้อดีมาก ทั้งลดค่าใช้จ่าย ได้อยู่ใกล้ชิดกับคนที่รัก ในสถานที่ที่คุ้นเคย และยังสามารถออกแบบการดูแลให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนได้ตามสไตล์ โดยยึดความต้องการของผู้ป่วยเป็นสำคัญ และมั่นใจได้ว่า หากเมื่อถึงวาระสุดท้ายจริง ๆ จะไม่โดนยื้อชีวิตตามเจตนาอย่างแน่นอน แต่ต้องไม่ลืมที่จะวางแผนการดูแล (ระหว่าง-หลังเสียชีวิต) จัดเตรียมเอกสารให้ดี และหารือกับสมาชิกในครอบครัวให้เรียบร้อยเสียก่อน
เพราะเมื่อถึงเวลาสุดท้ายจริง ๆ ทุกคนจะอยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบางมาก ๆ และอาจนำมาสู่ความขัดแย้ง จนทำให้ไม่สามารถส่งผู้ป่วยตายดีได้อย่างแท้จริง
ตายดี…ที่โรงพยาบาล
โรงพยาบาล คือ สถานที่ที่คนส่วนใหญ่ให้ความมั่นใจ เพราะมีบุคลากร และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ครบกัน คนจำนวนไม่น้อยอุ่นใจกว่าหากให้อยู่ป่วยอยู่ในสายตาของแพทย์ 24 ชั่วโมง
แต่การมีวาระสุดท้ายที่โรงพยาบาล ก็มีข้อจำกัดยิบย่อย ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว ความยืดหยุ่นต่ำในการดูแลผู้ป่วยเพราะต้องยึดถือตามกฏเกณฑ์ที่เหมาะสมต่อคนหมู่มาก และยังทำให้ไม่ได้สามารถใกล้ชิดญาติพี่น้องได้มากเท่ากับอยู่ที่บ้าน

หรือบางกรณีที่ผู้ป่วยเข้าสู่สภาวะฉุกเฉิน อาจถูกนำเข้ากระบวนการยื้อชีวิตทั้งที่ขัดต่อเจตจำนงของตนเองด้วยความเป็นไปได้หลายสาเหตุ สุดท้าย ก็ทำให้ไม่ได้ตายดีสมปรารถนา
แต่ในผู้ป่วยระยะท้ายหลายราย เลือกที่จะขอตายที่โรงพยาบาล ด้วยหลายสาเหตุ เช่น ไม่อยากทิ้งความทรงจำที่ไม่ดีให้ลูกหลานหรือสถานที่ หรือบ้านไม่เอื้ออำนวยต่อการดูแล ทั้งลักษณะทางกายภาพของบ้าน และขาดผู้ดูแล
หมอแนต – พญ.นิษฐา เอื้ออารีมิตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลคูน อธิบายว่า ผู้ป่วยแต่ละคนมีระยะเวลาช่วงท้ายของชีวิตที่ต่างกัน และแต่ละวันไม่ได้ราบรื่นทุกวัน แม้เชื่อว่าการตายที่บ้านจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่บางกรณี การอยู่ที่โรงพยาบาล อาจทำให้ผู้ป่วยและญาติสุขสบายมากกว่า
“ระยะท้ายของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคน 3 เดือน บางคน 6 เดือน แต่ละวันมีความท้าทายแตกต่างกันไป”
หมอแนต ย้ำว่า ผู้ป่วยระยะท้ายบางคนอยู่ในระยะที่โรคลุกลาม เช่น มะเร็งกระจายตัวอย่างมากและมีการติดเชื้อ จึงจำเป็นต้องเข้า-ออก โรงพยาบาลหลายครั้งเพื่อบรรเทาอาการ เพื่อให้คุณภาพชีวิตดีแม้จะอยู่ระยะท้ายแล้วก็ตาม
หรือผู้ป่วยบางคนมีอาการทางสมองร่วมด้วย เช่น ชัก หากให้ยาไม่เพียงพอจะไม่หยุดชัก กรณีแบบนี้ เมื่อมีอาการขึ้นมาเมื่อไหร่ จะทำให้ครอบครัวจะเครียดและทรมานมาก
ต่างจากผู้ป่วยระยะท้ายบางคน ก็สามารถคุมอาการได้นิ่ง กรณีแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาล สามารถอยู่บ้านได้อย่างสบายใจ
กรณีเหล่านี้ หมอแนต บอกว่า หากให้ใช้ชีวิตในระยะท้ายที่โรงพยาบาลจะสุขสบายมากกว่าที่บ้าน เพราะสามารถเข้าถึงยาได้ง่าย ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และที่สำคัญจะลดการบาดเจ็บทางจิตใจให้กับญาติมากกว่าอยู่ที่บ้าน
แต่คำแนะนำของ หมอแนต คือ คนไข้ไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลทุกวัน อาจเลือกเป็นบางช่วงก็ได้ หรืออยู่โรงพยาบาลจนอาการคงที่แล้ว ค่อยกลับบ้านก็ได้
“โรงพยาบาลไม่ได้เป็นสถานที่ควรอยู่ทุกวันนะ คนไข้ควรอยู่ในที่สบายที่สุด ประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด และเมื่อเกิดอาการควบคุมไม่ได้ค่อยไปโรงพยาบาล สำหรับคนไข้แล้ว ถ้ามีข้อมูลให้เขาเข้าใจความเจ็บป่วยของตัวเอง เขาจะสงบลงได้ แต่คนที่คุยยากกว่าคือญาติ เพราะเราต้องทำให้เขารู้สึกว่า พวกเขาได้ทำดีที่สุดแล้วให้ได้”
พญ.นิษฐา เอื้ออารีมิตร
ผู้ป่วยและญาติหลายครอครัว ก็กังวลว่า หากเลือกการดูแลผู้ป่วยที่บ้านมาตลอด ถ้าวันหนึ่งเกิดมีเหตุฉุกเฉินต้องไปโรงพยาบาล ก็กังวลว่าจะไม่มีเตียง หรือไม่ได้รับการดูแล หมอแนต ยืนยันจากประสบการณ์ว่า ภายใน 1 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลมีการจำหน่ายคนไข้ออกจากโรงพยาบาลทั้งที่ยังมีชีวิต มากกว่าเสียชีวิตเสียอีก ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลในประเด็นดังกล่าว
“เราควรทำให้พวกเขาออกจากรพ. แล้วกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านอย่างมีความสุข แล้วเมื่อไหร่ที่ต้องการการดูแลแบบประคับประคอง ก็ค่อยกลับมาที่โรงพยาบาลก็ได้”
พญ.นิษฐา เอื้ออารีมิตร
แต่ไม่ว่าจะตายที่บ้านหรือโรงพยาบาล ความยากของการจัดการไม่ใช่ตอนผู้ป่วยกำลังอยู่ในวาระสุดท้าย แต่เป็นเรื่องของระหว่างทางต่างหาก
“ยิ่งพาคนไข้มาหาหมอพาลิได้ยิ่งเร็วยิ่งดี ไม่ต้องรอให้ใกล้เสียชีวิต เพราะหมอพาลิไม่ได้ทำให้ใครตายเร็วขึ้น แต่จะทำให้ผู้ป่วยมีระยะท้ายที่ราบรื่นได้มากขึ้นต่างหาก”
พญ.นิษฐา เอื้ออารีมิตร
หมอเนต ยังบอกอีกว่า การจะเลือกตายที่ไหนนั้น สถานที่ทางกายภาพ ไม่ได้สำคัญเท่ากับสถานที่ทางใจ ซึ่งควรยึดตามความปรารถนาของผู้ป่วยเป็นหลัก เพราะคำว่า in place จะเป็นที่ไหนก็ได้ แต่เป้าหมายสุดท้าย ขอให้เป็น in peace หรือการจากไปอย่างสงบก็เพียงพอแล้ว
“คำว่า บ้าน ไม่ใช่แค่สถานที่ แต่คือครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ไหนก็ตาม หากเป็นที่ที่พวกเขาได้รับการดูแลที่ดี สุขสบายที่สุด และสมความปรารถนา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
พญ.นิษฐา เอื้ออารีมิตร
ไม่ว่าจะเลือกตายที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นคนมีครอบครัว หรือคนโสด หมอเนต ย้ำว่า สิ่งที่วางแผนได้เลย คือการหากใครสักคนที่รู้ความต้องการของเรา และช่วยตัดสินใจแทนในวันที่เราตอบสนองไม่ได้ ควรหาไว้อย่างน้อย 2 คน เผื่อว่ามีใครเป็นอะไรไปเสียก่อน ซึ่งสำคัญพอ ๆ กับเอกสารทีเดียว
ตายดี…ที่เนอร์สซิ่งโฮม
ที่ผ่านมา สังคมไทยมีมายาคติเกี่ยวกับเนอร์สซิ่งโฮมที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะคนไทยมีอคติเรื่อง การนำพ่อแม่มาทิ้งไว้บ้างพักคนชรา บ้าง มีคำว่า ลูกอกตัญญู บ้าง
แต่วันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ทัศนคติที่คนไทยมีต่อสถานที่เหล่านี้เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น เนอร์สซิ่งโฮม หรือ บ้านพักคนชรา ถูกมองว่าเป็นตัวช่วยในการดูแลผู้สูงวัยและผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น และเหมาะสมกับยุคสมัย
“ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน เนอร์สซิ่งโฮม ถูกมองด้วยสายตาติดลบ ใครพาพ่อแม่ไปเนอร์สซิ่งโฮม ก็เหมือนพาพ่อแม่ไปทิ้ง แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว”
นั่นเป็นมุมมองของ นิตยา ชไนศวรรย์ ผู้อำนวยการเอเชียเนอร์สซิ่งโฮม ที่ย้ำถึงสถานการณ์ในสังคมไทยที่เปลี่ยนไป เพราะตอนนี้ หลายบ้านเป็นครอบครัวขนาดเล็ก มีสมาชิกไม่กี่คนในบ้าน เมื่อมีคนป่วยหรือคนสูงวัยในบ้าน สมาชิกในบ้านก็ขาดทั้งเวลา ความรู้ และความพร้อมในการดูแล

“ปัญหาของครอบครัวส่วนใหญ่ตอนนี้ คือ ขาดเวลา ขาดความรู้ และขาดอุปกรณ์ การดูแลคนที่เรารักได้ดีนั้น หากขาด 3 อย่างนี้ ต่อให้มีความรัก ก็อาจออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร”
นิตยา ชไนศวรรย์
และหน้าที่หลักจะไปตกอยู่กับญาติ เพราะหลายบ้านต้องลาออกจากงาน รายได้หดหาย ทิ้งชีวิตและความฝันเพื่อมาดูแล นำมาสู่ความเครียดและความขัดแย้งในครอบครัว
“สุดท้าย คนไข้จะกลายเป็นฝ่ายที่ต้องแบกรับความรู้สึกนี้ไปด้วย” และด้วยช่องว่างนี้เอง ทำให้เนอร์สซิ่งโฮมเข้ามาทำหน้าที่นี้
“แม้เราเชื่อว่าการตายที่บ้านดีที่สุด เพราะมีลูกหลานรายล้อม แต่ต้องดูบริบทที่บ้านดี ๆ ว่า ดูแลได้จริงไหม บางคนอยู่บ้านก็หกล้มหลายรอบ เพราะบ้านไม่ได้ออกแบบมาให้เหมาะสม หรือกินยาผิด จนโรคลุกลามรุนแรง”
นิตยา ชไนศวรรย์
ก่อนหน้านี้ หากผู้ป่วยในเนอร์สซิ่งโฮมมีอาการทรุดหนัก ระบบจะออกแบบให้รีบส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลทันที และเมื่อถึงมือหมอ คนไข้จะถูกส่งต่อเข้าห้องฉุกเฉิน และเข้าสู่กระบวนการยื้อชีวิต ซึ่งหลายครั้งผิดจากเจตจำนงของคนไข้
แต่ตอนนี้ เนอร์สซิ่งโฮมหลายแห่งปรับนโยบายใหม่ ยินยอมให้ผู้ป่วยสามารถเสียชีวิตในสถานที่นั้น ๆ ได้เลย โดยการทำงานร่วมกับทีมแพทย์ที่ดูแลแบบประคับประคอง
ตอนนี้ เนอร์สซิ่งโฮมจึงกลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า และผู้ป่วยระยะท้้ายหลายรายเลิือกใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อรับการรักษาแบบประคับประคอง และจนกระทั่งเสียชีวิต
จุดเด่นของเนอร์สซิ่งโฮม คือ การดูแลผู้ป่วยด้านสุขอนามัย ความสะอาด และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้ผู้ป่วยระยะท้าย 24 ชั่วโมง ซึ่งการดูแลทั้งหมดนี้ หากต้องทำที่บ้านจะเป็นภาระงานที่หนักกับญาติ เนอร์สซิ่งโฮมจึงเข้ามาทำหน้าที่เพื่อลดภาระของครอบครัว
การมาอยู่ที่ เนอร์สซิ่งโฮม ผู้ป่วยจะได้ความเป็นอยู่ที่สุขสบายและได้สังคม ลูกหลานสามารถมาอยู่ด้วยได้ 24 ชั่วโมง และยังเป็นสถานที่ที่ครอบครัวสามารถใช้เป็นพื้นที่กลางในการประชุมหารือ หรือวางแผนให้กับผู้ป่วยได้ด้วย โดยมีทีมเจ้าหน้าที่คอยดูแล อำนวยความสะดวกทั้งทางร่างกายและจิตใจ
“ที่นี่สามารถใช้เป็นที่นัดหมายให้กับญาติผู้ป่วยมาเจอกันได้ และหากมีเรื่องกระทบใจ ทางเนอร์สซิ่งโฮม ก็จะทำหน้าที่ซัปพอร์ต ให้คำปรึกษา หรือเป็นพี่เลี้ยงให้ได้ด้วย”
นิตยา ชไนศวรรย์
นิตยา ยังเล่าว่า ผู้ป่วยระยะท้ายหลายคนลดความหวาดกลัวจากการเจ็บป่วยและความตายของตนเองลงได้ เมื่อความปรารถนาของตัวเองได้รับความเข้าใจจากคนในครอบครัว
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด หลายบ้านคุยกันไม่ได้ คนในครอบครัวเห็นต่างกันจึงจำเป็นต้องมีคนกลางเข้าช่วย ซึ่งเนอร์สซิ่งโฮมจะทำหน้าที่ตรงนี้ด้วย
สำหรับผู้ป่วยหรือญาติที่กังวลใจ ว่าการพามาอยู่ที่เนอร์สซิ่งโฮมจะเป็นการจากบ้านตลอดไปไหม ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ผู้ใช้บริการสามารถเลือกแบบ Hybrid หรือ ไป-มา ระหว่างศูนย์ดูแลกับบ้าน หรือโรงพยาบาลก็ได้ สามารถออกแบบได้ตามความเหมาะสมของคนไข้และความสะดวกของญาติโดยไม่มีอะไรตายตัว และแม้เนอร์สซิ่งโฮมจะไม่มีแพทย์คอยประจำ แต่ก็ทำงานร่วมกันกับแพทย์ ทั้งการประเมินอาการ และการจ่ายยาอย่างเป็นระบบ
ผู้อำนวยการเอเชียเนอร์สซิ่งโฮม ยังเล่าประสบการณ์ว่าเเมื่อก่อน ลูกหลานที่เอาพ่อแม่มาฝากไว้ที่นี้ต้องแอบมาเยี่ยม เพราะกลัวคำครหาว่าพาพ่อแม่มาทิ้ง แต่ค่านิยมตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
“ตอนนี้ ลูกหลานมาเยี่ยมพ่อแม่อย่างเปิดเผย มีการ check-in หรือ แชร์ ผ่านโซเชียลมีเดียด้วย ว่าพ่อแม่อยู่ที่นี่แล้วทำอะไรบ้าง”
นิตยา ชไนศวรรย์
ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยหลายคน พึงพอใจกับการอยู่ที่นี่ บางคนบอกว่าสนุกดี และไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด และเมื่อลูกหลานเห็นพ่อแม่มีความสุข ทั้งร่างกายและจิตใจ ก็ทำให้พวกเขาไม่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดหรือความทุกข์ไว้กับตัวเองด้วย
เธอย้ำว่า การจะมาอยู่ที่เนอร์สซิ่งโฮม ไม่จำเป็นต้องรอให้เข้าสู่การเจ็บป่วยระยะท้ายก็ได้ แต่สามารถมาอยู่ได้ตั้งแต่ในช่วงเวลาแห่งการดูแล เช่น หกล้ม หรือเจ็บป่วย แล้วเข้าสู่ระยะที่ต้องการการฟื้นฟู
“เราคำนึงเสมอว่าต้องดูแลคนไข้ให้ดีที่สุดจนวาระสุดท้าย เพราะคนที่อยู่ต่อจะได้ไม่รู้สึกผิดไปอีกทั้งชีิวิต เมื่อคนที่พวกเขารักจากไป การมาอยู่เนอร์สซิ่งโฮมสามารถเป็นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสมกับยุคสมัย และมีความเป็นไปได้หลายเงื่อนไข โดยมีเป้าหมายเดียว คือ ทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด“
นิตยา ชไนศวรรย์

วางแผนให้ดี…ก่อนตายดี
ไม่ว่าจะเลือกตายที่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือ การวางแผนให้ดี ไม่จำเป็นต้องรอให้ล้มลงเจ็บป่วย หรือเข้าสู่ระยะท้าย ก็วางแผนได้เลย เพราะยิ่งมีเวลามากเท่าไหร่ ยิ่งสามารถวางแผนได้ละเอียดมากเท่านั้น
หากเลือกตายที่บ้าน ขอให้พิจารณาให้ดีว่าสถานที่ของบ้าน และสมาชิกในครอบครัวมีความพร้อมเพียงพอหรือไม่ และหากเลือกแล้ว ขอให้วางใจที่ต้องเผชิญกับเหตุไม่คาดฝันในช่วงเวลาแห่งการดูแล แต่อย่าลืมว่าแผนปรับได้ตลอด ความยืดหยุ่นเป็นสิ่งสำคัญ
หากเลือกตายที่โรงพยาบาล ขอให้สื่อสารให้ชัดเจนถึงเจตจำนงค์ในวาระสุดท้ายหากไม่ต้องการยื้อชีวิต และไม่ต้องลังเลหากจะเข้า-ออก โรงพยาบาล สลับ ๆ กันไปตามแต่อาการ เตรียมใจรับความเปลี่ยนแปลง หากถึงวาระท้ายจริง ๆ แล้วโรงพยาบาลเกิดไม่มีเตียงว่าง อาจต้องย้ายไปสถานที่อื่น เพราะสถานที่อาจไม่สำคัญเท่ากับการที่วาระท้ายมีคนเคารพความปรารถนาของผู้ป่วยอย่างแท้จริง
หากเลือกได้แล้วว่าจะตายที่เนอร์สซิ่งโฮม ก็อย่าลืมถามให้ดีก่อนว่าสามารถเสียชีวิตที่นั่นได้หรือไม่ หากไม่ได้ก็เตรียมย้ายหาที่ใหม่ ที่ปัจจุบันมีทางเลือกมากขึ้นแล้ว และสำหรับลูกหลานหรือญาติ ขอให้อย่าแบกความรู้สึกผิด หรือความทุกข์ที่พาพ่อแม่มาอยู่ที่นี่ เพราะเป้าหมาย คือ การที่ผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความสุขที่สุดต่างหาก
เพราะสำหรับการตายดีแล้ว สถานที่ สามารถเป็นที่ไหนก็ได้ แต่ขอให้คนไข้มีความพึงพอใจตามปรารถนาและสอดคล้องความพร้อมของครอบครัวก็เพียงพอ
มาถึงตรงนี้…ผู้อ่านอาจยังไม่ต้องตัดสินใจเรื่อง สถานที่ตาย ก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องเริ่มลงมือทำทันที คือ การวางแผนการตาย
เมื่อเตรียมเอกสารเรียบร้อยดีแล้ว แล้วอย่าลืมเตรียมคนรอบตัวให้ยอมรับกับการเลือกของเราเอง เพราะขั้นตอนนี้อาจยากลำบาก และใช้เวลานานมากกว่าที่คิด
ควรระลึกไว้เสมอว่า เราสามารถสื่อสารความต้องการออกไปได้โดยไม่ใช่การสั่ง สิ่งสำคัญคือ การฟัง ว่าครอบครัวมีความกังวลใจหรือไม่ และจะดูแลความต้องการกันอย่างไร ให้สงบสุขทางใจทั้ง 2 ฝ่าย และอย่ากังวลใจเกินไปว่าจะเป็นการผูกมัดหรือไม่ เพราะแผนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
ท้ายที่สุด อย่าลืม ออกแบบใจ ของเราสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ด้วย ที่ไม่ช้าก็เร็ว วันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องออกเดินทางไปบนเส้นทางเดียวกัน
เนื้อหามาจากส่วนหนึ่งของงาน “Dying in Place ตายดีที่ไหนในใจคุณ ?” เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 68

