ภาพชาวบ้านจำนวนมากประกาศตามหาญาติพี่น้องที่เป็นทหารกัมพูชาซึ่งสูญหายไประหว่างการปะทะในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา นับเป็นอีกเครื่องยืนยันความ ‘สูญเสีย’ ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดไม่ว่าจะเป็นความสูญเสียจากฝั่งไหน
ก่อนหน้านี้ กองทัพอากาศไทย ออกมาเรียกร้องไปทางฝั่ง ‘กัมพูชา’ ให้เร่งดำเนินการค้นหาร่าง และแจ้งการเสียชีวิต/สูญหาย แก่ญาติอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ครอบครัวได้รับทราบ และได้ภาคภูมิใจในเกียรติยศของผู้ที่เสียชีวิต พร้อมทั้งเยียวยาอย่างเหมาะสม
สอดรับกับท่าทีล่าสุด เมื่อ 1 ใน 13 ข้อเสนอในข้อตกลงหยุดยิง จากการประชุม GBC ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งผู้แทนจาก 2 ฝ่าย ได้เห็นพ้องแนวทางการปฏิบัติ เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ซึ่งระบุให้ “อำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็ว และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ”
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นชวนให้กลับมาพิจารณาถึงความสูญเสีย และ ความตายจากสงคราม พร้อมชวนตั้งคำถาม ถึงต้นทุนความสูญเสียของ 2 ประเทศที่ต้องจ่าย กับเหตุปะทะไทย -กัมพูชา คืออะไร และสงครามจะยุติความขัดแย้งได้หรือไม่ ?
“สงคราม” อาจเป็นเครื่องมือของการเมืองหรือความมั่นคง แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือความสูญเสียที่มนุษย์ต้องเผชิญ ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความหวังของผู้คนจำนวนมากที่ถูกทำลายไปในพริบตา โดยเฉพาะ “ชีวิต” ที่หายไปกับสงครามทั้งทหาร และพลเรือน คือราคาที่ทุกฝ่ายต้องจ่าย
แม้ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทยและกัมพูชา จะเกิดขึ้นเพียง 1-2 สัปดาห์ จากวันที่ 24 กรกฏาคม 2568 ที่ผ่านมา แต่ต้องแลกกับความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมาก
ย้อนไทม์ไลน์เหตุปะทะไทย -กัมพูชา
แม้ความขัดแย้งระหว่างไทย กัมพูชาจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2554 ที่มีข้อพิพาท ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งนำมาสู่ความสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินของทหารพลเรือนของทั้งสองฝ่ายจำนวนมาก ซึ่งที่สุดแล้วความขัดแย้งดังกล่าวจบลงด้วยการเจรจา และขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลก
แต่ความขัดแย้งดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นอีก จากการปะทุรอบใหม่ ปี 2568 ที่มีความรุนแรงมากขึ้น เริ่มตั้งแต่วันที่13 กุมภาพันธ์ 2568 หลังจากนักท่องเที่ยวและทหารกัมพูชาร้องเพลงชาติกัมพูชาที่ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาท และกลายเป็นเหตุการณ์ที่เป็นจุดกระตุ้นให้ความตึงเครียดมาอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เกิดการปะทะกันครั้งแรกอีกครั้งบริเวณ สามเหลี่ยมมรกต ซึ่งพื้นที่พิพาทใกล้ปราสาทพระวิหาร โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที มีทหารกัมพูชาถูกสังหารหนึ่งนาย โดยทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มยิงก่อน
ความตรึงเครียดสะสมเพิ่มมากขึ้น หลังทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ทหารไทย 3 นายได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิดในขณะลาดตระเวนบริเวณ เนิน 481 เขตอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
และเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ทีมลาดตระเวนจาก พันราบที่ 14 (กองทัพ 2, มทภ. 2) ได้เหยียบทุ่นระเบิดบริเวณ ช่องอานม้า ที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ขณะลาดตระเวนอีกครั้ง ทำให้ทหาร 1 นายสูญเสียขาขวา และบาดเจ็บอีก 4 นาย
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กองทัพภาคที่ 2 สั่งปิดด่านชายแดน 4 จุด ได้แก่ ช่องอานม้า ช่องสะงำ ช่องจอม และช่องสายตะกู รวมถึงปิดปราสาทโบราณตาเมือนธม และปราสาทตาควาย เพื่อยกระดับมาตรการตอบโต้กับกัมพูชาอย่างทันที กระทั่งวันที่ 24 กรกฎาคม เริ่มเกิดปะทะ และมีการเจรจา และสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฏาคม 2568

2 สัปดาห์ของ “ความเสียหาย” และ “ความตาย”
การปะทะ แม้จะใช้เวลา เพียงแค่ 2 สัปดาห์ แต่หากเราหันไปสำรวจดูตัวเลขต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น จะทำให้เข้าใจถึง “ต้นทุนที่จ่ายอย่างแท้จริง” ของความรุนแรงจากการปะทะในครั้งนี้
ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) และกระทรวงสาธารณสุขสรุปตัวเลขผู้ได้รับผลกระทบจากการปะทะชายแดนไทยและกัมพูชา ล่าสุด ณ วันที่ 31 ก.ค. ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตแบ่งออกเป็น
- ทหาร
- 15 นาย
- 196 นาย
- พลเรือน (ข้อมูลล่าสุด 7 ส.ค.68)
- เสียชีวิต 17 คน
- บาดเจ็บ 39 คน
นอกจากนี้ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบ จากการต้องย้ายออกจากที่อยู่อาศัยไปศูนย์อพยพ ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. – 6 ส.ค. 68 โดยมียอดสูงสุดในวันที่ 29 ก.ค. 68 เวลา 16.00 น. จำนวน 191,345 คน ในศูนย์พักพิงฯ 768 แห่ง ใน 7 จังหวัด
เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายขึ้น หลายคนเริ่มย้ายกลับบ้าน ข้อมูลล่าสุด ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา กระทรวงมหาดไทย (ศบ.ทก.มท.) รายงานวันที่ 6 ส.ค. 68 เวลา 18.00 น. ระบุว่ามี 3 จังหวัดที่ปิดศูนย์พักพิงฯ แล้ว โดยยังมีผู้อพยพเหลืออยู่ 75,873 คน ในศูนย์พักพิงฯ 358 แห่ง ใน 4 จังหวัด ดังนี้
- จังหวัดสุรินทร์ 30,427 คน ศูนย์พักพิง 97 แห่ง
- จังหวัดศรีสะเกษ 30,989 คน ศูนย์พักพิง 165 แห่ง
- จังหวัดบุรีรัมย์ 4,381 คน ศูนย์พักพิง 27 แห่ง
- จังหวัดอุบลราชธานี 10,076 คน ศูนย์พักพิง 68 แห่ง
ฝั่งกัมพูชาแม้จะไม่มีรายงานความเสียหายทั้งชีวิต ทรัพย์สินของพลเรือน และทหาร แต่ข้อมูลจากการเผยแพร่ของสื่อไทยและสื่อต่างประเทศพบว่ามี ทหารเสียชีวิต 13 นาย โดยมี ร.ท.เฮง เตียง กองพลปฏิบัติการพิเศษที่ 1 เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และมีรายงานทางการไทยส่งมอบศพทหารกัมพูชา 12 นาย ขณะที่ มาลี โสเจียตา โฆษกกลาโหมกัมพูชา รายงานตัวเลขผู้อพยพของฝั่งกัมพูชารวมทั้งผู้อพยพลี้ภัยทั้งสิ้น 172,094 คน
ตัวเลขต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้เราสามารถมองเห็นภาพความสูญเสียของสงครามได้ชัดเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะตัวเลขความสูญเสียของพลเรือนของทั้งสองฝั่งบริเวณชายแดนที่เกิดขึ้นจากการสู้รบ และยังมีผลกระทบทางอ้อมเมื่อทหารที่เคยเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องชีวิตจากการสู้รบ ย่อมส่งผลต่อรายได้และความเป็นอยู่ของครอบครัวที่อยู่เบื้องหลัง
ต้นทุนที่ต้องจ่ายของชุมชนชายแดน
หากนับความสูญเสียที่ต้องจ่ายไปกับความขัดแย้งของเหตุปะทะไทยกัมพูชา นอกจากชีวิตและทรัพย์สินที่เสียหาย คือ ชีวิตของผู้คนรอบชายแดน ที่หยุดนิ่ง ในศูนย์อพยพ แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงแต่ชีวิตและเศรษฐกิจชายแดนได้หยุดชะงักลงแบบที่ไม่รู้ว่าจะฟื้นฟูเยียวยาอย่างไร
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี สื่อมวลชนอาวุโส ซึ่งถือเป็นผู้ประสบภัยคนหนึ่ง ใน อ.อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เนื่องจากมีบ้านและสวนทุเรียน ที่ ห่างจากจุดเกิดเหตุภูมะเขือประมาณ 700-800 เมตร ขณะที่หากนับจากเส้นทางตามถนนบ้านของเขาห่างจากจุดเกิดเหตุ 10 กิโลเมตร โดยห่างจากบ้านเขาไปไม่ไกลเป็นที่ตั้งของปืนใหญ่อัตราจรของกองทัพ ทำให้หากฝั่งกัมพูชาปรับทิศทางปืนผิดพลาด บ้านของเขาก็ถือเป็นเป้าหมายสำคัญ
ในวันเกิดเหตุ “เขาและภรรยา” ยังอาศัยอยู่ในบ้าน โดยเวลาประมาณ 8.00 น.กำลังดื่มกาแฟได้ยินเสียงระเบิด และจรวดแหวกท้องฟ้า ไปตกที่ปั้มน้ำมันแยกบ้านพือ จนทำให้เขาและภรรยาต้องอพยพออกจากพื้นที่ จนถึงวันนี้ยังไม่ได้กลับไปพักที่บ้าน ทำได้เพียงกลับไปเก็บทุเรียนที่ตัดไว้ออกจากพื้นที่เพื่อมาขายในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับครอบครัว “สุภลักษณ์” ประเมินมูลค่าไม่ได้ เนื่องจากทั้ง สวนทุเรียน สวนยางพารา ไม่สามารถกลับเข้าไปดูแลได้ ทำให้เขาเห็นว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แต่รวมถึง “ชีวิตที่หยุดชะงัก” ของผู้คนในพื้นที่ในอำภอชายแดน ที่ไม่รู้ว่าจะฟื้นฟูให้กลับมาได้อีกเมื่อไหร่
“ถ้าประเมินความเสียหายที่เป็นรูปธรรม จากการเห็นด้วยตาเปล่า เช่น ปั๊มน้ำมันที่ถูกระเบิด มูลค่าความเสียหายที่เขาเรียกร้องมาประมาณ 20 ล้านบาท ขณะที่บ้านเรือน ประชาชนที่เสียหายหากประเมินมูลค่าบ้านหลังหนึ่งราคาหลายแสนบาท รวมไปถึง สัตว์เลี้ยงที่เสียชีวิต ซึ่งความเสียหายหากประเมินมูลค่าที่ต้องเยียวยาต้องใช้งบฯจำนวนมาก”
ขณะที่ความเสียหายโดยอ้อมที่เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจชายแดนที่ต้องหยุดชะงักลง โดยอาจจะใช้เวลานานหลายเดือน หรือ ระยะเวลาเป็นปีถึงจะฟื้นตัวได้ โดยมีตัวเลขความเสียหายประเมินแล้วเดือนละหมื่นกว่าล้าน
นอกจากนี้ ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นแบบทวีคูณ คือผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะกระทบกับ อำเภอชายแดนทั้งหมด และบางแห่งอาจจะรวมไปถึงอำเภอเมืองที่เศรษฐกิจซบเซาทั้งหมด
“ความเสียหายแบบทวีคูณที่ อ.ชายแดน เห็นชัดเจนมากในวันที่เกิดเหตุปะทะเพราะทุกอำเภอ ร้านปิดหมด เมืองเงียบสงบ แม้ว่าเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 3 วัน ผมไปจัดรายการ ออกอากาศในอำเภอ ไม่มีร้านข้าวเปิดเลย ปิดหมดเลย แม้แต่ร้านเคเอฟซี ก็ปิดซึ่งอันนี้ถือเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจแบบทวีคูณ”
สุภลักษณ์ มองว่า เหตุปะทะครั้งนี้ทำให้เศรษฐกิจในอำเภอชายแดนหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในพื้นที่ เช่น กรณีผู้ประกอบการบางรายที่พึ่งเปิด รีสอร์ตรับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรต้องหยุดกิจการ แต่เขาต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละล้าน ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ไม่สามารถประกอบอาชีพเหมือนเดิมได้ เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ประชาชนถูกอนุญาตให้กลับไปดูทรัพย์สินของตัวเองเท่านั้น หลายคนมีสวนยางพาราไม่กล้าลงไปกรีดยาง
“ตอนนี้เรียกว่าเกิดภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ ชาวบ้านประกอบอาชีพเหมือนเดิมไม่ได้ คนที่มีรายได้ มีเงินเก็บก็อาจจะพอดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ชาวบ้านในพื้นที่ ชีวิตจริงชาวบ้านไม่มีรายได้ มีเงินแบบหาเช้ากินค่ำ พอทำงานไม่ได้ ประกอบอาซีพไม่ได้ก็ไม่มีรายได้ ซึ่งผลกระทบเหล่านี้ไม่รู้ว่าใครจะช่วยเหลือเยียวยา และก็ไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้เมื่อไหร่”
ขณะที่ ยอด ลายตีเงิน อายุ 55 ปี ชาวบ้านจากหมู่ 1 ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จนต้องอพยพเข้ามาพักในศูนย์อพยพของรัฐ พร้อมกับครอบครัวและเพื่อนบ้านอีกจำนวนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ นางยอดและสามีทำอาชีพเกษตรกรรม ปลูกข้าว ปลูกมันสำปะหลัง และรับจ้างทั่วไป โดยสามีของเธอรับจ้างขนส่งวัสดุก่อสร้างตามร้านค้า ได้ค่าแรงวันละ 300 บาท รายได้แม้ไม่มากนัก แต่ก็พออยู่ได้แบบพอเพียง
“เราก็แค่ทำนาทำไร่ ปลูกมัน สามีก็รับจ้างส่งของ พอมีพอกิน ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ก็ไม่เดือดร้อนเหมือนตอนนี้”
แต่การอพยพครั้งนี้กลับทำให้ชีวิตของเธอและครอบครัวสะดุดลงทันที ข้าวที่เพาะปลูกไว้ยังไม่ได้ดูแล น้ำฝนก็ยังไม่ตก ไม่มีการใส่ปุ๋ยหรือตัดหญ้า ขณะที่หนี้สินจากเงินกู้ ธ.ก.ส. ยังคงหมุนเวียนอยู่ทุกปี
“ปีนี้ไม่รู้จะได้เกี่ยวข้าวไหม เพราะมาอยู่ศูนย์ก็ไม่ได้กลับไปดูนา ปลูกไว้แล้วแต่ไม่ได้ดูแลเลย คงไม่ได้ผลเท่าไหร่ ถ้าได้สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี ปีที่แล้วก็แล้ง ปีนี้ก็ยังไม่มีฝน”
เมื่อถามถึงรายได้ในช่วงที่อพยพ เธอบอกว่าแทบไม่มี ทุกอย่างหยุดชะงัก รายได้จากการรับจ้างและเกษตรกรหายไปหมด ในขณะที่ยังต้องใช้จ่ายประจำวัน โดยเฉพาะค่าอาหารและของใช้จำเป็นที่แม้ทางรัฐจะช่วยเหลือบางส่วน แต่ก็ไม่เพียงพอ
“ตอนนี้ไม่มีรายได้เลยค่ะ รายได้ที่เคยมีจากรับจ้างก็ไม่มี ทำนาก็ทำไม่ได้ อยู่ศูนย์แบบนี้มันก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน”
โอกาส ฟื้นสัมพันธ์ว่าด้วยเรื่องของ “อำนาจ” สร้างสำนึกพลเมือง
จตุพร ดอนโสม คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ม.ราชภัฎบุรีรัมย์ ที่เคยศึกษาวิจัยเรื่อง “ปฏิบัติการในชุมชนชายแดนรัฐจัดตั้งบนพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา” วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ การปะทะระหว่างชายแดนไทยกัมพูชารอบนี้ว่า ในวิกฤตมองเห็นโอกาสของการจัดระเบียบ ขับเคลื่อนและสร้างสังคมใหม่ ด้วยการพัฒนาและสร้างพลเมืองของทั้งสองรัฐ ให้กลายเป็นพลเมืองที่พร้อมจะพัฒนาและอยู่ในสังคมที่มีอารยะ
“ต้นทุน” ที่จะเป็นก้าวสำคัญของการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส นั่นก็คือ ความสัมพันธ์ที่มีมาแต่ในอดีต ประวัติศาสตร์บอกเล่าถึงชุมชนชายแดน คือ กลุ่มชาติพันธ์เขมรที่ถูกเส้นแบ่งเขตแดนของทั้งสองรัฐแยกออกจากกัน แต่ไม่อาจตัดความสัมพันธ์ที่เคยมีร่วมกันในอดีตอย่างแน่นแฟ้น ซึ่งไปมาหาสู่กัน ยึดโยงไว้ด้วยวัฒนธรรม การศึกษา และการค้า
“ในยุคที่เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เราซื้อขายแลกเปลี่ยนยึดโยงกัน รัฐไทยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไปเยอะมาก มีการข้ามฝั่งมาเรียนที่เรา มีหมู่บ้านคู่ขนานเยอะ เมื่อปิดชายแดนสิ่งนี้กระทบเสียหายเยอะมาก แต่วิกฤตนี้ยังมีโอกาสที่จะจัดระเบียบใหม่”
ผลประโยชน์ที่ซ้อนทับ มีทั้งอำนาจรัฐ อำนาจทุน อำนาจชุมชน เกี่ยวข้องกันอยู่ หากสามารถเชื่อมโยงและทำให้อำนาจทั้งสามเจอกันได้ จะเป็นโอกาสของการสร้างพลเมืองใหม่ของทั้งสองรัฐ พลเมืองที่จะขับเคลื่อนสังคมได้ เริ่มจากสร้าง “สำนึกพลเมือง”

ความตาย ต้นทุนราคาแพงที่ต้องจ่ายในสงคราม
หากนับความสูญเสียที่ต้องจ่ายไปกับความขัดแย้งและความรุนแรงของสงคราม “ต้นทุนชีวิต” ดูจะมีราคาแพงมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อกลับไปดูสถิติของจำนวนผู้เสียชีวิตจากสงครามในประวัติศาสตร์โลกเราจะเห็นภาพความสุญเสียและรุนแรงที่น่าตกใจ จนต้องตั้งคำถามว่า “เราทำสงครามกันเพื่ออะไร”
สงครามโลกครั้งที่ 2 (1939–1945)
- มีผู้เสียชีวิตรวมประมาณ 70–85 ล้านคน รวมทั้งพลเรือนและทหาร นับเป็นสงครามที่คร่าชีวิตมนุษย์มากที่สุดในประวัติศาสตร์
สงครามโลกครั้งที่ 1 (1914–1918)
- ประมาณ 15–20 ล้านคนเสียชีวิต
สงครามกลางเมืองจีน (1927–1950)
- มีผู้เสียชีวิตรวมประมาณ 8 ล้านคน
สงครามเวียดนาม (1955–1975)
- ประมาณ 3–4 ล้านคน
สงครามเกาหลี (1950–1953)
- มีผู้เสียชีวิตกว่า 2.5 ล้านคน
แม้จำนวนผู้เสียชีวิตจากสงครามจะมีจำนวนมาก และโลกจะพัฒนาไปไกล แต่สงครามยังไม่เคยหายไป
สงครามยูเครน–รัสเซีย (2022–ปัจจุบัน)
- มีผู้เสียชีวิตแล้วหลายแสนคนทั้งทหารและพลเรือน และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สงครามในตะวันออกกลาง (ซีเรีย, เยเมน, ปาเลสไตน์)
- มีผู้เสียชีวิตนับแสน และผู้ลี้ภัยอีกหลายล้านคน
ความขัดแย้งในซูดาน, เอธิโอเปีย, และประเทศในแอฟริกาอื่น ๆ
- มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการสู้รบและผลพวงของความอดอยากหลายหมื่นคนในแต่ละปี
แม้เหตุการปะทะของไทยและกัมพูชา แม้จะเข้าสู่กระบวนการเจรจาในเวทีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม 2568 จะสิ้นสุดลงและทั้งสองประเทศเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ
แต่ ความเกลียดชังของทั้งสองฝ่ายที่ตอบโต้ผ่านโชเซียลมีเดีย มีความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นความแตกแยกลึกซึ้ง ที่ฝั่งลึกจนต้องใช้เวลาฟื้นฟูไปอีกนาน จนทำให้ทางออกของสันติภาพ “เปราะบางริบหรี่” เต็มทน
บทเรียนและคำถาม ต่อต้นทุนของสงครามที่หมายถึงชีวิตผู้คนที่สูญเสียไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คือ มนุษย์เรียนรู้อะไร จากสงครามบ้าง? เพราะตราบใดที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแก้ด้วยความรุนแรง และสงคราม จะไม่มีฝ่ายใดชนะ แต่มีต้นทุนชีวิตของผู้คนที่ต้องจ่ายโดยที่ไม่สามารถประเมินค่าความสูญเสียได้