หลายจังหวัดโดยเฉพาะในเขตพื้นที่เขตอุตสาหกรรม มีหลายกรณีที่การตั้งอยู่ของโรงงานอุตสาหกรรม ส่งผลกระทบต่อชุมชน และประชาชนโดยรอบ ปัญหามลพิษ กากของเสีย และสารเคมีที่รั่วไหลปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม จนดิน น้ำ อากาศ เกิดความเสียหาย สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านทั้งการใช้ชีวิต และพื้นที่ทำกิน
แต่คำถามสำคัญ คือ ในช่วงการหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง นายก อบจ. และ ส.อบจ. เฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหามลพิษอุตสาหกรรม หรือพื้นที่ซึ่งเกิดผลกระทบจากมลพิษซ้ำซาก ทำไม ? เราแทบไม่ค่อยเห็นนโยบายของผู้สมัคร อบจ. คนไหน หยิบเรื่องการแก้ปัญหามลพิษ และปัญหาสิ่งแวดล้อมจากสารเคมีปนเปื้อน ขึ้นมานำเสนอต่อชาวบ้าน โดยอาศัยบทบาท อบจ. ร่วมหาทางออกเลย
คำตอบที่มักได้ยินเสมอ จึงหนีไม่พ้นคำว่า “อบจ. ไม่มีอำนาจ” และหน้าที่จัดการเป็นของเจ้าของพื้นที่ อย่าง อบต. เทศบาล และคนควบคุมกิจการอย่าง “กรมโรงงานอุตสาหกรรม”
อย่างที่ บ้านหนองพะวา อ.บ้านค่าย จ.ระยอง หนึ่งในพื้นที่สำคัญที่ชาวบ้านเผชิญปัญหามลพิษจากโรงงาน วิน โพรเสส มาอย่างยาวนาน ก่อนการเลือกตั้ง คำตอบจากผู้สมัคร อบจ.ในเวลานั้น ยอมรับเลยว่า “ท้องถิ่นไม่มีปัญญาทำอะไร เพราะไม่มีอำนาจ” ต้องขอให้ส่วนกลางช่วย อนุมัติงบฯ กลางเพื่อมาแก้ปัญหา ขณะที่บางคน ก็มองว่า อย่างน้อย ๆ บทบาทของการเข้าไปร่วมฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม คือ หน้าที่ของ อบจ. แต่ก็ติดขัดเรื่องงบประมาณ อบจ.จึงจะต้องป้องกันตั้งแต่ต้นทาง ออกข้อบัญญัติเพื่อให้สามารถติดตาม ตรวจสอบ การมีอยู่ของสารพิษ สารเคมี และการปล่อยของเสียในพื้นที่ได้
เมื่อปัญหาสิ่งแวดล้อมปนเปื้อนด้วยมลพิษจากอุตสาหกรรม กลายเป็นความเดือดร้อนของประชาชน ข้อสงสัยที่เกิดขึ้น คือ “ว่า ทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า อบจ. ไม่มีอำนาจจัดการอะไรได้เลยจริง ๆ หรือ ? แล้วมีหนทางไหนหรือไม่ ? สำหรับ อบจ. ที่มีงบประมาณอยู่ในมือ จะเข้ามาแก้ไขเรื่องนี้ให้กับประชาชน
The Active ชวนหาคำตอบเรื่องนี้ กับ ชำนัญ ศิริรักษ์ นักกฎหมาย และทนายความด้านสิ่งแวดล้อม กรรมการสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ ที่ทำงานช่วยเหลือประชาชนในด้านกฎหมายในหลายพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม อย่างกรณี ปัญหามลพิษวินโพรเสส บ้านหนองพะวา จ.ระยอง, กรณีโรงงานเอกอุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา รวมไปถึงเรื่องการลักลอบขนย้าย ทิ้ง กากของเสีย ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ในพื้นที่โซนภาคตะวันออก EEC ปัญหาบ่อขยะ ทางภาคใต้ คดีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ ปลาหมอคางดำ
ตามกฎหมาย อบจ. มีอำนาจ แต่…ไม่กล้าใช้
ถามว่า อำนาจ อบจ.มีไหม ? ทนายชำนัญ ตอบเลยว่า “มี…แต่ถูกซ้อนทับ” และมีปัญหาเรื่อง การบูรณาการอำนาจ ระหว่างจังหวัด อบจ. อบต. และ เทศบาล ซึ่ง อบต. กับ อบจ. มีความคาบเกี่ยวกัน แต่อาจไม่เคยทำงานบูรณาการกัน เช่น กรณีสถานประกอบการ หรือ แหล่งกําเนิดมลพิษ ตั้งอยู่ในเขตท้องที่ อบต. หนึ่ง ส่วนชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบอยู่อีกเขต อบต. หนึ่ง และปัญหาคือแต่ละท้องที่ไม่มีอํานาจคาบเกี่ยวในการบังคับบัญชาหรือควบคุมสถานการณ์ของตัวเอง หาก นายก อบจ. จะใช้อำนาจแก้ปัญหานี้ก็สามารถทำได้โดยอาศัยอำนาจ ในฐานะที่เป็น เจ้าพนักงานสาธารณสุข โดยสามารถที่จะเข้าไป กํากับ หรือบูรณาการขอความร่วมมือ ออกหนังสือ หรือมีการแจ้งเตือนให้ใช้อํานาจต่าง ๆ แต่ปัญหาที่ผ่านมา พบว่า “อบจ. ไม่กล้าใช้อำนาจนี้”
“ผมว่าอํานาจเขายังมีนะ แต่ปัญหาคือเขาไม่กล้าใช้ แล้วก็อีกอย่าง คือ ที่มาของ อบจ. อบต. เทศบาล เกิดจากฐานอํานาจทางการเมืองเสียส่วนใหญ่ เมื่ออยู่คนละซุ้มคนละบ้าน บางที อบต. นี้ซุ้มบ้านหนึ่ง อบจ. ซุ้มบ้านหนึ่ง เขาไม่เคยคุยกัน ดีไม่ดีอะไรที่เป็นนโยบายที่จะทําให้อีกบ้านหนึ่งมีผลงาน อีกบ้านนึงก็จะไม่ร่วมมือ ท้ายที่สุดก็เลยทําให้เห็นว่าบ้านเมืองเรามันไม่ได้พัฒนาบนพื้นฐานตรงนี้”
ชำนัญ ศิริรักษ์
ดังนั้น คนที่จะเป็น นายก อบจ. หรือ คนที่จะมาเป็นสมาชิกสภา อบจ. ควรมีบทบาทหน้าที่ เป็น “มือประสานสิบทิศ” เพราะว่า มีทั้งอํานาจ มีงบประมาณ จึงต้องใช้วิธีการบริหารงบประมาณ ที่เหมาะสมในการที่จะดูแลท้องถิ่น หรือทําให้ท้องถิ่น สร้างความร่วมมือกับคุณ ภายใต้งบประมาณหรือโครงการที่ อบจ. เขียนขึ้น
อบจ. ทำอะไรได้-ไม่ได้บ้าง ในปัญหามลพิษ
ทนายชำนัญ อธิบายว่า ตามอํานาจหน้าที่ อบจ. โดยปกติแล้วจะมีอํานาจในฐานะที่ นายก อบจ. เป็นเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ซึ่งกฎหมายการสาธารณสุขนี้ จะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการควบคุมกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เหตุรำคาญต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายที่ติดอยู่กับท้องถิ่นในการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตามแม้ นายก อบจ. จะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย แต่อาจจะมีข้อจํากัดในการใช้อํานาจอยู่บ้าง เนื่องจากความซ้อนทับกับ นายก อบต. หรือ นายกเทศมนตรี ตลอดจนผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะ ทุกคนที่เป็นหัวหน้าหน่วยงานส่วนท้องถิ่นเหล่านี้ ถูกแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานเหมือนกัน ทําให้บทบาทภารกิจของ นายก อบจ. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับด้านสิ่งแวดล้อม หรือมลพิษ ค่อนข้างบางลงไป บทบาทหน้าที่จึงไม่มีความชัดเจนอย่างที่ควรจะเป็น
“อีกด้านหนึ่งที่เราจะเห็น ก็คือ นายก อบจ. จะไปเดินดําเนินงานในเรื่อง จัดการขยะ น้ำเสีย แต่ท้ายที่สุด มันก็เป็นเรื่องที่ต้องบูรณาการกันระหว่างท้องถิ่น เพราะด้วยอํานาจของ นายก อบจ. เอง เป็นอํานาจที่ทับซ้อนกันอยู่ใน องค์กรปกครองส่วนท้อถิ่น (อปท.) ที่เป็นขนาดย่อยลงไปในจังหวัด”
ชำนัญ ศิริรักษ์
แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ผ่าน ‘ยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัด’
ทนายชำนัญ ยังระบุอีกว่า อบจ.จะมีการเขียนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาจังหวัด รวมถึง แผนพัฒนาจังหวัดต่าง ๆ โดยสามารถระบุถึงปัญหาของพื้นที่ เช่น เรื่องน้ําประปา เรื่องมลพิษ เรื่องขยะ ซึ่งแต่ละจังหวัดจะมีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป และการจะจัดการปัญหาเหล่านั้นได้ จะต้องถูกวางแผนไว้ในแผนรวม ที่มีส่วนเชื่อมโยงกับการจัดงบประมาณ หรือ โครงการย่อยที่จะเข้ามาอยู่ภายใต้แผนนั้น
ขณะที่ การจัดการมลพิษ ที่เป็นลักษณะสถานการณ์ เรื่องโรงงาน เรื่องกากขยะอุตสาหกรรม ที่ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการกํากับดูแลของหน่วยงานอนุญาตหรือควบคุม อย่างกรมโรงงานอุตสาหกรรม ภายใต้ พ.ร.บ.โรงงาน ส่วน อบจ. ไม่ได้มีอำนาจกำกับควบคุมแบบเดียวกันนี้ในมือ
แต่หากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากสถานประกอบการ ที่เกิดอันตราย เกิดความเดือดร้อนรําคาญ เกิดมลพิษกับชุมชน อํานาจของ อบจ. ก็จะมีอยู่ในส่วนของ การป้องกันภัย หรือ ภัยพิบัติ โดย อบจ. สามารถออก “ข้อกําหนดฉุกเฉิน” ในการแก้ไขปัญหา เพื่อดึงงบประมาณออกมาใช้แก้ปัญหาได้ เช่น กรณีของที่ โรงงาน วินโพรเสส เกิดไฟไหม้ในพื้นที่ จ.ระยอง ทุกคนจะเห็นภาพของการใช้งบประมาณภัยพิบัติ ในเรื่องของการขุดบ่อ การทําระบบป้องกันน้ํารั่วไหลออกจากพื้นที่โรงงาน แม้ว่าจะยังถูกตั้งคำถามในเรื่องความรู้ความเชี่ยวชาญในการขุดบ่อเก็บน้ำ ที่ไม่สามารถการันตีได้ว่าสารเคมีจะไม่รั่วไหลออกสู่พื้นที่ชุมชนก็ตาม
“แต่ถ้ามองในเชิงรุก อบจ. อาจจะทำงานในลักษณะของการเป็นผู้จัดการเรื่องงบประมาณให้กับท้องถิ่น ตั้งงบประมาณกํากับดูแลมากกว่า ถามว่าสามารถทําได้ไหม ได้ครับ แต่ปัญหาคือ อย่างที่ผมเรียน คือว่าท้องถิ่นแต่ละท้องถิ่นไม่ได้บูรณาการกับส่วนกลางที่เป็นจังหวัดจริง ๆ”
ชำนัญ ศิริรักษ์
ในขณะที่ท้องถิ่น อย่าง อบต. หรือ เทศบาล มีกองสาธารณสุข มีเครื่องมือตรวจวัด มีแผนการตรวจสอบ กิจการโรงงานที่เป็นกิจการอันตรายต่อสุขภาพอย่างชัดเจนหรือไม่ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ก็สามารถทําเป็นโครงการ และเบิกงบประมาณจาก อบจ. มาอุดหนุนได้ โดยที่ อบจ. ต้องเขียนแผนงบประมาณไว้ให้ชัดเจน
แนะ อบจ. ทำงานบูรณาการ มากกว่าทำงานผ่านอำนาจ
“ไม่มีอํานาจ ผมว่ามันไม่ได้ถูก 100% มันมีอํานาจนะครับ แต่ปัญหาคืออํานาจ อบจ. มันซ้อนอยู่กับอํานาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดย่อยในจังหวัด วิธีการ ก็คือว่า ถ้าเรามองในบริบทของคนที่จะมีอํานาจจัดการใน ในจังหวัดของตนเอง ตัว อบจ. นายก อบจ. ควรจะมีวิธีการคิดเชิงบูรณาการมากกว่า แทนที่จะใช้เรื่องอํานาจ”
ทนายชำนัญ ย้ำถึงคำว่าว่า อํานาจ ของ อบจ. ที่หลายคนอาจจะมองไปถึงเรื่องการใช้อํานาจในการสั่ง ปิด-สั่งเปิด แต่จริง ๆ แล้วไม่จําเป็น เพราะ นายก อบจ. อาจจะใช้วิธีการ ขอความร่วมมือ หรือบูรณาการอํานาจระหว่างนายกส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ เช่น การรายงานสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงในจังหวัดทั้งหมด เพราะ อบจ. มีสิทธิที่จะรู้ เพราะ อบจ. เป็นเจ้าพนักงาน รวมไปถึงการเฝ้าระวังต่าง ๆ
“ถ้าคนที่เป็น นายก อบจ. ไม่ว่าจังหวัดใดก็แล้วแต่ ที่ได้รับเลือกมา มองอํานาจตัวนี้เป็น Soft power ไม่ใช่มองในเรื่องของ Hard power ที่จะเน้นเรื่องการบังคับบัญชา หรือ ควบคุมอย่างเดียว มองเป็นเรื่องของการใช้อํานาจในลักษณะของการเข้าแทรกซึมเข้าไปมีส่วนร่วม ในการช่วยกัน กํากับ ดูแล เป็นหมวกอีกหนึ่งใบที่ช่วยตรวจสอบการทํางานการร่วมกัน ระหว่าง อบจ. กับ ท้องถิ่น ถ้าทําอย่างนั้น มันก็สามารถทําให้เกิดการ Double check ระหว่าง อบต.กับ อบจ. ได้ เช่น โรงงานกิจการอันตรายต่อสุขภาพบางประเภท อยู่ในเขตพื้นที่ อบต. แห่งหนึ่ง เรามองว่าเป็นกิจการประเภทที่มีความเสี่ยง คืออย่าปล่อยให้เฉพาะอําเภอหรือจังหวัดทำ อบจ. ก็สามารถเข้าไปร่วมตรวจสอบได้”
ชำนัญ ศิริรักษ์
นอกจากนี้ ทนายชำนัญ ยังชี้ว่า ด้วยศักยภาพของ อบจ. ที่มีงบประมาณเรื่องอัตราจ้างยังสามารถจ้างนักวิชาการ จ้างผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม ที่สามารถหนุนเสริมให้ลงไปทํางานร่วมกับท้องถิ่นจะเป็นประโยชน์มากกว่าการปล่อยให้ท้องถิ่นพูดคําว่า
“ผมไม่มีคน
ผมไม่มีความรู้
ผมไม่มีเครื่องมือ”
ที่สำคัญท้องถิ่นอย่าง อบต. เทศบาล ที่อยู่ในเขตอํานาจของ อบจ. ก็ยังต้องใช้งบประมาณจาก อบจ. ในหลาย ๆ ด้าน ดังนั้นถ้า อบจ. เปิดให้มีการใช้งบประมาณ หรือ มีการจัดจ้างบุคลากรที่มีความสามารถดูแลทั้งจังหวัดเสริมเข้ามา เช่น การตรวจควบคุมมลพิษ การติดตาม เฝ้าระวัง หากสามารถทำได้จริง จะทําให้ท้องถิ่นมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น
“เราพยายามกระจายอํานาจ แต่ทุกท้องถิ่นจะพูดคําเดียวว่ามีมาแต่อํานาจ
แต่ไม่มีงบประมาณ ไม่มีคน ไม่มีบุคลากร ไม่มีความรู้”
นั่นอาจเป็นสิ่งที่ท้องถิ่นคิดมาตลอด แต่สำหรับทนายชำนัญแล้วกลับคิดในทางกลับกัน โดยมองว่า อบจ. มีทั้งหมด ทั้งงบประมาณที่มีอย่างเหลือล้น เพราะในบางพื้นที่ ก็ใช้งบประมาณไปทำในเรื่องที่ไม่ได้เกิดประสิทธิภาพ จึงเห็นความควรเปลี่ยนการใช้งบประมาณเหล่านั้น มาเป็นงบประมาณที่เหมาะสมกับการหนุนเสริม
คุณค่า อบจ. ที่ควรยึดโยงประชาชน
ทนายชำนัญ ยังเชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นความสําคัญของ นายก อบจ. หรือ ส.อบจ. นั่นเป็นเพราะ ส.อบจ. ในพื้นที่ไม่ทํางานยึดโยงกับชาวบ้านในพื้นที่เท่าที่ควร บทบาทใหม่ที่อยากเห็นหลังจากนี้ คือ ส.อบจ. ควรทํางานบูรณาการ กับ อบต. และ เทศบาล ที่อยู่ในเขตตนเอง และนำปัญหา นําข้อขัดข้องต่าง ๆ มาเสนอต่อ สภา อบจ. เพื่อให้เขตของตัวเอง ได้รับงบประมาณ ได้รับการหนุนเสริมต่าง ๆ ท้ายที่สุด ชาวบ้านก็จะได้รับการดูแล และการตรวจสอบอํานาจระหว่างกันก็จะเกิดขึ้นจริง
ในเมื่อมันไม่มีอํานาจ…แล้วคุณวิ่งเข้าหาอํานาจนี้ทําไมกัน ?
สำหรับเรื่องอำนาจนั้น ทนายชำนัญ อธิบายว่า อบจ เป็นหน่วยงานที่คล้าย ๆ ผู้ใหญ่ บ้านกํานัน แต่ อบจ.ดีกว่าตรงที่ อบจ. มีงบประมาณ มีระบบการจัดเก็บภาษี และเชื่อว่า อบจ. มีอํานาจต่อรองสูงมากในจังหวัดแต่ อบจ. ไม่เคยสร้างตัวเองให้มีความน่าเชื่อถือกับความเชื่อมั่นกับประชาชนในพื้นที่
“บางที นายก อบจ. หลายจังหวัด เป็นแค่เพียงคนไปร่วมงาน ไปเปิดงาน เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะให้มันเกิดภาพจริง ๆ ผมคิดว่า อบจ. ควรมีส่วนร่วมในการบริหาร หรือจัดการกับหน่วยงานส่วนกลาง ที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่จังหวัดด้วย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมจังหวัด สิ่งแวดล้อม สาธารณสุขจังหวัด ที่สังกัดกระทรวง แล้วเขาก็มาอยู่ภายใต้ผู้ว่าราชการจังหวัด”
“อยากจะให้ ผู้ว่าฯ หรือ นายก อบจ. ทํางานเชิงประสาน แล้ว อบจ. ในฐานะที่ถือเงิน เชื่อว่ามีอํานาจที่จะคุยที่จะตรวจสอบงบฯ หรือที่จะอุดหนุนงบประมาณไปกับหน่วยงานที่จะของบฯ ตรงนี้ได้ เพียงแต่ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์อย่างไร เพราะถ้าเรามองอยู่บนพื้นฐานเดิมว่า เราไม่มีอํานาจ จะไปสอดคล้องกับสิ่งที่นักวิชาการพูดว่า นายก อบจ. ไม่ต้องมีก็ได้ ถ้ามีแต่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีน่าจะดีกว่า แต่ว่าก็ต้องไปหาทางแก้ เพราะสุดท้ายมันต้องแก้เชิงโครงสร้างครับ”
ชำนัญ ศิริรักษ์
อย่างประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม จากประสบการณ์ทำงานกับประชาชนในพื้นที่ ทนายชำนัญ บอกว่า บางพื้นมีปัญหาเรื่องบ่อขยะ เห็นแต่ชาวบ้านทะเลาะกับ อบต. ทะเลาะกับ เทศบาล ไม่เคยเห็นบทบาทของ อบจ. ที่มาบอกว่า ต่อไปนี้ พื้นที่นี้ โซนนี้ห้าม หรือขอความร่วมมืออนุเคราะห์อะไร และตั้งคำถามว่า ทำไมถึงปล่อยให้ท้องถิ่นดําเนินการกันเอง การทำงานกระจัดกระจาย แล้ว อบจ. เป็นเหมือนผู้ชม ซึ่งท้ายที่สุด ประชาชนก็ประเมินค่าของ อบจ. ต่ำลง
สำหรับกรณีโรงงาน บริษัท วิน โพรเสส จ.ระยอง นั้น ทนายชำนัญ บอกว่า ตั้งแต่เข้าพื้นที่ทํางานร่วมกับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษโรงงานมาเกือบ 10 ปี ต้องบอกว่า
“ไม่เคยเห็น อบจ. อยู่ในตัวเลือกใด ตัวเลือกหนึ่ง ที่ชาวบ้านนึกถึงเลย
ทุกคนจะมุ่งเป้าไปที่จังหวัด ที่กระทรวง หรือว่าหน่วยงานท้องถิ่น อย่าง อบต.”
แต่บทบาทของ อบจ. เริ่มเด่นชัดขึ้นหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ เมื่อ 22 เม.ย. 67 เนื่องจากเข้าเกณฑ์ในเรื่องของภัยพิบัติ ทำให้ อบจ. สามารถ ใช้งบประมาณจัดการเรื่องการทําบ่อกักเก็บน้ำเสีย
“ในคราวแรกที่ลงมาทํา ก็ยอมรับว่ายังมีความขัดแย้งในหลักการวิชาการพอสมควร เราเองก็ประเมินว่าไม่เหมาะกับการที่จะใช้พื้นที่ของชาวบ้าน ขุดบ่อเพื่อเก็บสารเคมี อันนี้คือเราก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ แสดงให้เห็นว่า อบจ. เองมีงบประมาณ มีความสามารถในการใช้เงินแต่ขาด องค์ความรู้ ขาดการบูรณาการ แสดงว่าไม่ได้เคยคุยกับใคร ไม่เคยรับรู้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เขามองในมิตินี้อย่างไร”
ชำนัญ ศิริรักษ์
ฝากการบ้าน ว่าที่ นายก อบจ.ระยอง
สำหรับ อบจ.ระยองทีมใหม่ ที่กำลังจะเข้ามาบริหารนั้น ทนายชำนัญ ได้ฝากการบ้าน ให้ลองคิดในเรื่องมิติของ น้ําใต้ดิน ที่เป็นปัญหาใหญ่ของพื้นที่ ที่ยังเป็นปัญหาใต้พรม ยังไม่มีหน่วยงานใดพูดต่อ ทั้งที่มีการพูดในเชิงวิชาการว่า มีสารโลหะหนัก บางตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานเป็นหมื่นเท่า
“วันนี้เงียบนะครับ ชาวบ้านไม่รู้เลยว่าใต้ผืนดินที่เขาเดินอยู่ ที่เขาดึงน้ํามาใช้ ในปีนี้เป็นอย่างไร อีก 2 ปีข้างหน้า 3 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร ผมคิดว่า ในเมื่อ อบจ.มีศักยภาพ น่าจะอุดหนุนเงินหรืองบประมาณเข้ามาเพื่อหนุนเสริมเรื่องของการเฝ้าระวัง แล้วก็ในการเตือนภัยมลพิษที่จะไปต่อนะครับ ตลอดจนเรื่องการจัดการบ่อบําบัดน้ําเสียรวม”
ชำนัญ ศิริรักษ์
ดังนั้นถ้า อบจ. มีศักยภาพ เคยวางโมเดลไว้ว่า ตามกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สามารถจะขอมติในเรื่องของการเวนคืนพื้นที่ และจ่ายค่าตอบแทนให้กับชาวบ้านบางส่วน เช่น ที่ดินของ เทียบ สมานมิตร โดยเก็บพื้นที่นี้เป็นบ่อบําบัดน้ําเสียรวม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับชาวบ้าน
“อาจจะเป็นเรื่องที่วาดฝัน แต่คิดว่า ถ้ามันมีงบประมาณ กฎหมายมีครับ แต่ปัญหา คือ มันไม่ได้ถูกเขียนไว้ใช้ แต่ถ้านํามาใช้ได้ เมื่อทำให้ชาวบ้านที่พื้นที่เสียหายอยู่แล้ว จ่ายเวนคืนได้ไหม ผมเชื่อว่าชาวบ้านยินดีให้เวนคืน เมื่อเวนคืนเสร็จ ก็ทําบ่อบําบัดตามมาตรฐาน ดีกว่ารองบประมาณ ที่ไม่รู้ว่าจะมีมาให้เมื่อไร”
ชำนัญ ศิริรักษ์
นอกจากนี้ อบจ. ยังสามารถของบประมาณอุดหนุนจาก “กองทุนสิ่งแวดล้อม” ในการทำระบบการบําบัดน้ําเสียได้ ทำให้ชาวบ้านได้รับการชดเชยไปในตัว คือ ได้เงิน และไม่ต้องทุกข์ร้อนอยู่บนที่ดินที่ไร้ประโยชน์ ซึ่ง อบจ. สามารถใช้อํานาจพิเศษได้
ถึงตรงนี้ ทนายชำนัญ ยังย้ำเสมอถึงอีกช่องทางที่ นายก อบจ. จะสามารถทำได้ในการจัดการปัญหามลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม คือ การออกข้อบัญญัติ เช่น การระบุพื้นที่ห้ามตั้งโรงงาน ซึ่งมีข้อดี คือ จะเป็นการกำหนดพื้นที่ไหนทำอะไรได้-ไม่ได้บ้าง เช่น พื้นที่เกษตร พื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัย ซึ่งข้อบัญญัติจะมีความเฉพาะเจาะจงมากกว่ากฎหมายทั่วไป
ท้ายที่สุดนี่ทั้งมุมมอง และข้อเสนอที่เกิดขึ้น คือความพยายามหาคำตอบว่าจริง ๆ แล้ว อบจ. มีอำนาจแค่ไหน ? กับการแก้ปัญหามลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม แต่หลังการเลือกตั้ง 1 กุมภาพันธ์นี้ คงเป็นบทบาทสำคัญของว่าที่ นายก อบจ.คนใหม่ ต้องแสดงฝีมือการทำหน้าที่ เพราะปัจจุบันหลายจังหวัดกำลังเผชิญกับปัญหามลพิษอุตสาหกรรมอย่างรุนแรง และเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจุดขึ้นได้ทุกเมื่อ
อย่างน้อย ๆ ขอแค่ อบจ.หยิบยื่นความช่วยเหลือ มีมาตรการช่วยบรรเทาทุกข์ ความเดือดร้อน เท่าที่ตัวเองจะทำได้ตามบทบาทหน้าที่ ก็น่าจะเพียงพอ ให้สมกับการเป็นกลไกท้องถิ่นที่ใกล้ชิดชาวบ้านมากที่สุด แต่จะจริงใจต่อการแก้ปัญหาให้กับพวกเขาแค่ไหน ? นี่คือบทพิสูจน์นับจากนี้