มองกรณี ‘รพ.สรรพสิทธิประสงค์’ : ตามหาตรงกลาง ระหว่าง ‘มนุษยธรรม’ กับ ‘ความมั่นคง’

จากกรณีโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี
กับการรักษาผู้ป่วยกัมพูชา ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ

เอกสารภายใน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ที่ว่าด้วยเรื่อง “ยกเลิกการปฏิบัติงานของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชาและการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา” ซึ่งถูกเผยแพร่อยู่ในโลกออนไลน์ นำมาสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ และความกังวลในแนวทางปฏิบัติต่อผู้ป่วยต่างชาติ ในสถานการณ์ชายแดนที่ตึงเครียดอยู่เวลานี้

The Active ชวนสำรวจบริบท ความซับซ้อน และชั่งน้ำหนักระหว่างหลัก มนุษยธรรม จริยธรรมทางการแพทย์ กับ ข้อจำกัดด้านความมั่นคง และศักยภาพของระบบสาธารณสุขชายแดน ผ่านมุมมองของบุคลากรทางการแพทย์

หนังสือภายใน จุดเริ่มต้นความเข้าใจคลาดเคลื่อน

ต้นตอของกระแสความตื่นตระหนกในโซเชียลมีเดีย เกิดจากการหลุดรอดของหนังสือเวียนภายใน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ ที่ระบุการยกเลิกให้บริการผู้ป่วยกัมพูชา และการปฏิบัติงานของผู้ช่วยล่ามแปลภาษา ต่อมาแม้ทางโรงพยาบาลจะชี้แจงว่าเป็นเพียงการ “ปรับลดการบริการที่ไม่เร่งด่วน” เพื่อตอบสนองสถานการณ์ไม่ปกติ โดยยังคงดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ป่วยเดิมตามหลักมนุษยธรรม แต่อารมณ์ของผู้คนในโลกออนไลน์ได้ถูกกระตุ้นไปแล้ว

นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผอ.รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี

คลิปความยาวกว่า 6 นาทีที่ นพ.มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผอ.รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แถลงชี้แจงประเด็นที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่า

“โรงพยาบาลยังคงให้การดูแลผู้ป่วยตามหลักมนุษยธรรมทุกเชื้อชาติ
ไม่ว่าคนไทยหรือชาวกัมพูชา”

แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่ามีการปรับระบบบริการ ลดภารกิจที่ไม่เร่งด่วน เช่น OPD Premium และ SMC Premium เพื่อระดมทรัพยากรรับมือผู้ป่วยจากสถานการณ์ชายแดน รวมถึงจำกัดการเข้าถึงของล่ามและญาติผู้ป่วยบางส่วนเพื่อ “เสริมความปลอดภัย”

เมื่อ ‘ความมั่นคง’ ปะทะ ‘มนุษยธรรม’ ในโรงพยาบาล ‘เขตสีส้ม’

เหตุการณ์โดรนบินเข้าใกล้พื้นที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา อาจเรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ โรงพยาบาล ต้องยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย ทั้งต่อตัวบุคลากร สถานที่ และผู้ป่วยทุกเชื้อชาติ

“โรงพยาบาลต้องคงความเป็นพื้นที่ปลอดภัยสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตชายแดน”

ผอ.รพ.สรรพสิทธิประสงค์ เน้นย้ำ

มาตรการที่เกิดขึ้นแม้จะตั้งอยู่บนพื้นฐานความจำเป็น แต่ในสายตาของบุคลากรทางการแพทย์บางคน กลับสะท้อนถึงความเปราะบางของ หลักมนุษยธรรม ที่อาจถูกลดทอน เมื่อชนกับข้อจำกัดด้าน ความมั่นคง และทรัพยากร

มนุษยธรรมยังต้องอยู่ – บทเรียนจาก ‘ชายแดนใต้’

ในอีกฟากหนึ่งของประเทศ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.โรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา ในฐานะประธานชมรมแพทย์ชนบท ผู้ซึ่งมีประสบการณ์วิชาชีพแพทย์ในพื้นที่ความขัดแย้งชายแดนใต้ มากว่า 20 ปีแสดงท่าทีชัดเจนว่า “การแพทย์ต้องอยู่เหนือความขัดแย้ง ดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียม”

นพ.สุภัทร ยอมรับกับ The Active ถึงประเด็นที่เกิดขึ้น นับเป็น บทเรียนสำคัญของระบบสาธารณสุขไทย ว่าไม่อาจปล่อยให้ชุดความคิด เลือกปฏิบัติ เข้ามาครอบงำบริการทางการแพทย์ได้

โดยหลักการของการทำหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ ต้องยืนอยู่บนหลักความเป็นกลาง ดูแลความเจ็บป่วยของทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าเชื้อชาติ ศาสนา หรือฝ่ายใดก็ตาม… ถ้าใครเจ็บป่วยเข้ามา เราต้องให้บริการอย่างเต็มที่และเท่าเทียมกัน คือสิ่งที่ประธานชมรมแพทย์ชนบท เน้นย้ำ

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.โรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา – ประธานชมรมแพทย์ชนบท

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ น่าจะเป็นเรื่องของการสื่อสารภายใน ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และเมื่อมีการชี้แจงจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้ว สถานการณ์จึงเริ่มคลี่คลาย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าห่วงคือ “ความรู้สึกของบุคลากรทางการแพทย์” ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากสถานการณ์มากเกินไป จนเกิดชุดความคิดที่นำไปสู่การให้บริการแบบเลือกปฏิบัติ

นพ.สุภัทร ยังยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงของตนเองในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ว่า การก่อความไม่สงบที่ยาวนานกว่า 20 ปี เคยสร้างภาวะอคติต่อผู้ป่วยจากฝ่ายขบวนการ จนต้องใช้เวลาเยียวยาทัศนคตินี้อย่างยาวนาน

“กว่าเราจะผ่านความรู้สึกเหล่านั้นมาได้ ก็ใช้เวลาหลายปี เราตระหนักรู้ว่าบทบาทและภารกิจของสาธารณสุขต้องยืนบนหลักการแพทย์คือสะพานสู่สันติภาพ ดูแลทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ เราทำเช่นนั้นจากหัวใจจริง ๆ ไม่ใช่เพราะคำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่เป็นเพราะเขาก็คือมนุษย์ เป็นผู้ประสบเหตุ เป็นผู้ป่วยของเราเหมือนกัน”

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ

สำหรับข้อกังวลเรื่องความปลอดภัย ที่ถูกยกมาเป็นเหตุผลในการลดการให้บริการผู้ป่วยข้ามแดน นพ.สุภัทร ย้ำว่า “เข้าใจได้” เพราะในภาวะที่มีข่าวลือเรื่องการโจมตีโรงพยาบาล หรือการลอบแฝงตัวของสายลับ ก็ย่อมสร้างความหวาดระแวงให้กับบุคลากรทางการแพทย์ได้

“แต่ไม่ว่าอย่างไร การจัดบริการและการให้บริการต้องยืนหลักให้มั่น ความปลอดภัยต้องอาศัยความเข้มงวดของระบบและเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่การหยุดบริการหรือลดบริการกับชาวต่างชาติ ซึ่งแบบนั้นไม่ถูกต้อง”

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ

นพ.สุภัทรเสนอว่ากรณีนี้ควรถูกนำมาพิจารณาอย่างจริงจังในเชิงระบบ โดยเฉพาะโรงพยาบาลชายแดนทั่วประเทศที่ต้องให้บริการกับประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมักเลือกใช้บริการโรงพยาบาลไทยเพราะมาตรฐานดีและราคาย่อมเยา

“นี่คือกรณีศึกษาที่สำคัญ… ทุกพื้นที่ต้องใส่ใจกับแนวคิด สันติภาพทางการแพทย์ ที่เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดโดยไม่แบ่งแยกฝ่าย ต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งในทุกระดับ”

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ

เขายังย้ำว่า การแพทย์ควรเป็นกลไกที่สร้างความสัมพันธ์และความไว้วางใจระหว่างประชาชนสองฝั่งชายแดน ไม่ใช่ปล่อยให้ความขัดแย้งทางการเมือง หรืออารมณ์ชาตินิยมบั่นทอนจรรยาบรรณและความเป็นมนุษย์ของวิชาชีพแพทย์

“เราต้องยืนในหลักว่า Health as a bridge for peaceการแพทย์คือสะพานสู่สันติภาพ เพราะการดูแลความเจ็บป่วยอย่างเท่าเทียม จะเป็นสายใยที่สะสมความเข้าใจและความผูกพันของชาวบ้านสองฟากฝั่งชายแดน สร้างสันติภาพในระยะยาวได้จริง”

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ

นพ.สุภัทร ทิ้งท้ายว่า กรณีนี้ควรถูกนำมาเป็นบทเรียนของทั้งสังคมและบุคลากรสายสุขภาพ และเป็นโอกาสในการเผยแพร่แนวคิดทางจริยธรรมที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อระบบสุขภาพชายแดนในสถานการณ์เปราะบางเช่นนี้

อย่าดึงดรามา! เรากำลังบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่ละเลยมนุษยธรรม

แต่ดูเหมือนสวนทางกับความเห็นของ พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม อดีตแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลแม่สอด จ.ตาก ซึ่งเคยปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดน และมีประสบการณ์ตรงกับระบบการส่งต่อผู้ป่วยข้ามแดน ให้ความเห็นในเชิงระบบกับ The Active ว่า เรื่องนี้ควรเข้าใจในฐานะการบริหารจัดการความเสี่ยง ไม่ใช่ประเด็นจริยธรรมหรือการละเลยมนุษยธรรม

“จริง ๆ เขายังไม่ได้หยุดอะไรอย่างนั้นนะ สถานการณ์จริง ๆ มันไม่มีอะไรเลย ถ้าอ่านหนังสือตามเนื้อความ ก็จะเห็นว่าไม่ได้ปฏิเสธการรักษาอะไร เพียงแค่แจ้งว่าจะปิดคลินิก SMC ซึ่งเป็นบริการสำหรับผู้ป่วยที่เดินทางมาจากฝั่งกัมพูชาเพื่อรักษาฝั่งไทยในระบบ Medical Hub”

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม อดีตแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลแม่สอด จ.ตาก

พญ.ณัฐกานต์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ในภาวะปกติ ผู้ป่วยจากกัมพูชาที่เข้ามารักษาในฝั่งไทยมักเป็นกลุ่มที่มีเงิน สามารถจ่ายสดเพื่อรับบริการในคลินิกพิเศษ โดยใช้ระบบข้ามแดนผ่านด่านที่เปิดเฉพาะเวลาราชการ หรือหากฉุกเฉินก็ติดต่อผ่าน ตม. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“เวลาฉุกเฉินนอกเวลาราชการ เช่น โดนสะเก็ดระเบิด ขาขาด เลือดออก ก็สามารถร้องขอผ่านช่องทางพิเศษได้ แต่ก็ต้องประเมินก่อนว่าโรงพยาบาลฝั่งไทยพร้อมหรือไม่ เช่น ICU เต็ม ห้องผ่าตัดไม่มี หมอไม่พอ ถ้าไม่ไหวก็ต้องปฏิเสธ ซึ่งไม่ผิด เพราะเป็นการประเมินตามทรัพยากร”

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม

ในสถานการณ์สงครามหรือความขัดแย้งชายแดน เช่น ปัจจุบัน โรงพยาบาลไทยหลายแห่งต้องแบกรับภาระดูแลทั้งผู้ป่วยในประเทศและผู้ได้รับผลกระทบจากแนวชายแดน โดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ดังนั้น การบริหารผู้ป่วยต่างชาติที่ร้องขอเข้ามาจึงต้องเป็นไปตามมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุด

“เราเป็นหมอ พยาบาล เราไม่มีเครื่องตรวจอาวุธ ห้องฉุกเฉินกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงที่สุด ถ้าคนไข้ที่เข้ามาไม่ชัดเจนว่าอยู่ฝ่ายไหน อาจโดนทำร้ายได้ แม้แต่ผู้ป่วยชาวกัมพูชาเอง ถ้าถูกแอดมิท ก็ต้องจัดให้อยู่ในโซนลับ ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ตรงไหนเพื่อความปลอดภัย”

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม

เธอ ยังระบุว่า การปิดบริการ SMC เป็นเรื่องปกติในสถานการณ์ไม่ปกติ เช่นเดียวกับช่วงโควิด-19 ที่ด่านปิดเป็นปี ก็ไม่มีใครตั้งคำถามว่าทำไมโรงพยาบาลไม่รับผู้ป่วยจากฝั่งโน้น เพราะ “ผู้ป่วยมาไม่ได้อยู่แล้ว”

“ถึงไม่ปิดบริการ SMC เขาก็ข้ามแดนมาไม่ได้ เพราะด่านมันปิด คือมันไม่ใช่ประเด็นว่าจะรับหรือไม่รับ แต่สถานการณ์มันทำให้ไม่มีทางเลือกตั้งแต่ต้นแล้ว”

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม

เมื่อถูกถามถึงกระแสวิจารณ์ที่กล่าวว่าโรงพยาบาลขาดจรรยาบรรณ พญ.ณัฐกานต์ แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน

“อย่าไปดึงดราม่า…มันไม่ใช่ประเด็นจริยธรรมหรือมนุษยธรรม แต่มันคือการบริหารจัดการภายในโรงพยาบาล เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เราไม่สามารถควบคุมได้”

ทั้งนี้หากบุคลากรโรงพยาบาลไทยเหนื่อยล้าในการปฏิบัติงานภายใต้ภาวะวิกฤต การตัดสินใจงดบริการบางส่วนเพื่อรักษาความพร้อมในระบบ ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ และไม่ควรถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม

“บางคนด่าเขาว่าไร้จรรยาบรรณ คุณเคยไปผ่าตัดกับเขาไหม ? เขาอาจไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาเป็นสิบวันแล้วด้วยซ้ำ”

สำหรับข้อเสนอในการจัดการความเข้าใจผิดในสังคม พญ.ณัฐกานต์ เสนอว่า ต้องเน้นการสื่อสารที่ชัดเจน และไม่ควรรีบตัดสินใจตีความเจตนาของบุคลากรในภาวะสงคราม

“เราควรฟังกันด้วยใจเย็น ๆ อย่ารีบตีความว่าใครไม่มีมนุษยธรรม เพราะทุกคนก็รักชาติและทำงานภายใต้หลักการเหมือนกันหมด”

พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม

เธอทิ้งท้ายว่า ผู้ป่วยจากฝั่งไทยที่อยู่ในระบบ ไม่ว่าจะมีบัตรหรือไม่มีบัตร หากเป็นเคสฉุกเฉิน โรงพยาบาลไทยก็ยังคงให้การดูแลเช่นเดิม เช่น จะคลอดลูก ก็รับรักษา ไม่เคยปฏิเสธเลย

ไม่ควรให้ความขัดแย้งรัฐต่อรัฐ กลายเป็นความเกลียดชังระหว่างประชาชน

ส่วนมุมมองของ พญ.กัลยพัชร รจิตโรจน์ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร บอกกับ The Active ว่าเหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนใหญ่ เพราะในเวทีโลก เรายืนยันตลอดว่า การโจมตีโรงพยาบาลคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ ถ้าเรากลับมาเลือกปฏิบัติกับผู้ป่วยเพียงเพราะสัญชาติ จะกลายเป็นว่า เราเองก็ละเมิดหลักเดียวกันไปด้วย

จากการเคลื่อนไหวของสมาชิกในกรรมาธิการฯ และการประสานงานของ สส.พื้นที่กับกระทรวงสาธารณสุข ทำให้กระทรวงรับทราบสถานการณ์ และมีการสั่งการให้โรงพยาบาลออกแถลงการณ์ใหม่ เพื่อชี้แจงอย่างเป็นทางการว่า ยังไม่มีการงดรับบริการผู้ป่วยข้ามชาติทั้งหมด เพียงระงับคลินิกพิเศษบางประเภทเท่านั้น

พญ.กัลยพัชร รจิตโรจน์ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร

อย่างไรก็ตาม พญ.กัลยพัชร ระบุว่า ความไม่ชัดเจนของแถลงการณ์รอบแรก และการให้เหตุผลเรื่อง ความมั่นคง เช่น อาจมีสปายเข้ามาในโรงพยาบาล ก็ยิ่งทำให้สังคมตั้งคำถาม

“โรงพยาบาลไม่ใช่ฐานทัพ หรือหน่วยข่าวกรอง ถ้าเขาเจ็บป่วยจริง ๆ เขาก็ไม่มีแรงจะมาทำอะไรแล้ว สิ่งที่เราควรยึดคือหลักมนุษยธรรม โรงพยาบาลคือพื้นที่ปลอดภัย ไม่ควรเลือกปฏิบัติโดยใช้เรื่องความมั่นคงมาเป็นเหตุผล

พญ.กัลยพัชร รจิตโรจน์

รองประธานกรรมาธิการฯ ย้ำว่า การไม่เลือกปฏิบัติเป็นหลักจรรยาบรรณพื้นฐานของแพทย์ ซึ่งได้ให้ปฏิญาณมาตั้งแต่ตอนเรียนแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา หรือสัญชาติ ก็ไม่ควรมีผลต่อการตัดสินใจรักษาผู้ป่วย

“เราเคยเจอมาแล้วในอดีต ที่มีอาจารย์แพทย์บางคนไม่ยอมรักษาคนเสื้อแดง หรือเสื้อเหลือง ทั้งที่เป็นคนไทยด้วยกันด้วยซ้ำ พอมาเป็นเรื่องสงครามชายแดน ก็ยิ่งไม่ควรให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอีก”

“ยิ่งในบริบทที่เรากำลังเรียกร้องให้โลกประณามการโจมตีโรงพยาบาลในประเทศเพื่อนบ้าน เราเองต้องรักษาหลักการเดียวกันให้มั่น ถ้าเราเลือกปฏิบัติ มันจะทำให้เราเสียเปรียบในเวทีโลก”

พญ.กัลยพัชร รจิตโรจน์

พญ.กัลยพัชร จึงเสนอว่า กระทรวงสาธารณสุขควรออกแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับโรงพยาบาลชายแดน ในสถานการณ์วิกฤตหรือมีความขัดแย้งระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด และย้ำหลัก “Take the high road” การรักษาความเป็นมืออาชีพโดยไม่โต้ตอบด้วยอคติ

“ภาพลักษณ์ของระบบสาธารณสุขไทยต้องรักษาให้ดี เราต้องทำให้โลกเห็นว่า ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เรายังรักษาหลักจรรยาบรรณและสิทธิมนุษยชนไว้ได้ ไม่ว่าคนไข้คนนั้นจะเป็นใคร”

พญ.กัลยพัชร รจิตโรจน์ ฝากทิ้งท้าย

กรณีที่เกิดขึ้นกับ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ อาจกำลังสะท้อนความท้าทายที่ไม่ได้มีเพียงแค่ในโรงพยาบาล แต่คือนโยบายสาธารณสุขระดับประเทศ

เมื่อ จรรยาบรรณ และ มนุษยธรรม ไม่อาจถูกละเลย เช่นเดียวกับ ความปลอดภัย และ ความมั่นคง ที่ก็ไม่ควรถูกมองข้าม ดังนั้นในวันที่ทั้ง 2 มิตินี้ดูจะยังสวนทางกัน การออกแบบระบบและแนวปฏิบัติที่กลมกลืน สมดุล จึงเป็นบททดสอบสำคัญ ว่า ระบบสาธารณสุขของประเทศจะสามารถรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้มากเพียงใด แม้ในวันที่สถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ

Author

Alternative Text
AUTHOR

วชิร​วิทย์​ เลิศบำรุงชัย

ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข ThaiPBS