หากอากาศมีความทรงจำ
– If the Air has Memories หากอากาศมีความทรงจำ,
อากาศจะจดจำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้
ทั้งหมดทั้งมวลได้หรือเปล่า
ซะการีย์ยา อมตยา –
บทกวี “If the Air has Memories หากอากาศมีความทรงจำ” เขียนขึ้นเพื่อนิทรรศการ “สดับเสียงเงียบ : จดจำตากใบ 2547” ในปี 2566 เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมตากใบ เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2547 ที่มีผู้เสียชีวิตจากใช้กระสุนจริงในการสลายการชุมนุมหน้า สภ.ตากใบ และการลำเลียงผู้ถูกจับกุมและขนย้ายโดยให้ซ้อนทับกัน 3-4 ชั้น บนรถบรรทุกกว่า 5-6 ชั่วโมง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 85 คน และผู้บาดเจ็บอีกไม่น้อย
แม้เหตุการณ์ตากใบ ผ่านมา 21 ปี คดีหมดอายุความเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และไม่มีผู้เกี่ยวข้องรายใดได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม แต่ความทรงจำต่อเหตุการณ์ความรุนแรงของผู้ได้รับผลกระทบนั้น ไม่ได้หมดอายุตาม
เช่นเดียวกับ “หากอากาศมีความทรงจำ” ความทรงจำนั้นอาจแปลกประหลาด เพราะนอกจากจะอยู่ในสมองของมนุษย์คนหนึ่งแล้ว ความทรงจำยังลอยล่องอยู่ในอากาศ แทรกซึมอยู่ในสิ่งของ และซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ ของที่ดูเหมือนไร้ชีวิตเหล่านี้ สามารถสะท้อนชีวิตและตัวตนของบุคคลเจ้าของได้ เป็นแหล่งเก็บเรื่องราว ความทรงจำ และอารมณ์ สร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในมิติต่าง ๆ รวมถึงเชื้อเชิญและรอคอยเรา ในฐานะคนนอก ให้ทำความเข้าใจและค้นพบมัน
The Active ชวนสำรวจเรื่องราว สถานที่ และสิ่งของ ในฐานะตัวแทนของความทรงจำ จากความรุนแรง และความอยุติธรรม ผ่านเสวนา “บ้านร้าง วัตถุพยาน และสื่อศิลปะ” ในงานประชุมวิชาการมานุษยวิทยา 68 หัวข้อ “พหุปฏิสัมพันธ์ : มนุษย์กับสิ่งไม่ใช่มนุษย์ (Interactive Pluralism: Human-Nonhuman)” โดย วลัย บุปผา คณะทำงานพิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุชายแดนใต้, ภัทรภร ภู่ทอง ผู้ร่วมก่อตั้งพิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุชายแดนใต้ และ ผศ.แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
ผู้ร่วมเสวนาทั้ง 3 คน เป็นผู้จัดทำโครงการพิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุจังหวัดชายแดนใต้ (The Deep South Museum & Archives) และทำงานเกี่ยวข้องกับความทรงจำในมิติต่าง ๆ โดยเฉพาะความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้โดยตรง
บ้าน(ร้าง) : เมื่อพื้นที่ปลอดภัยเปลี่ยนไป ความสัมพันธ์ก็เปลี่ยนตาม
ภัทรภร เริ่มต้นจากการฉายภาพบ้านร้างในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา บนถนนสายยาวจากเบลเกรด เมืองหลวงของเซอร์เบีย ไปยัง ซาราเยโว เมืองหลวงของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ระหว่างทางมีบ้านร้างเรียงรายจำนวนมาก

ที่มา : SAC Channel – ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

ที่มา : SAC Channel – ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
บ้านร้างและพื้นที่รกร้างเหล่านี้ส่งสัญญาณว่า ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตร่วมอาศัย มีผู้คนใช้ชีวิตอยู่ ภัทรภร ยกตัวอย่างสวนครัวของบ้านร้างหลังหนึ่ง ที่ยังพบเห็นร่องรอยมนุษย์ผ่านสวนสมุนไพรเล็ก ๆ ที่ยังเติบโตในฤดูใบไม้ผลิ และแห้งเหี่ยวในฤดูหนาว
สาเหตุของบ้านร้างเหล่านี้ เกิดจากสงครามกลางเมือง ความรุนแรงปะทุขึ้นถึงขั้นคนเข่นฆ่ากัน เมื่อสงครามจบลง คำถามจากผู้เสวนาคือ เราจะยังอยู่ในพื้นที่ที่เพื่อนบ้านเราเกลียดชังเราถึงขั้นจะฆ่าเรา จะข่มขืนเราได้จริงหรือ ? อยู่ในพื้นที่ที่มีคนในครอบครัวของเราเสียชีวิตตรงนี้ ถูกข่มขืนตรงนี้ เราจะอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ได้จริง ๆ หรือ ?
เช่นเดียวกับบ้านไม้หลังเก่าในพื้นที่ชายแดนใต้ หากมองผ่าน ๆ อาจจะเห็นเป็นบ้านหลังหนึ่ง แต่ถ้าได้เข้าไปดูใกล้ ๆ หรือเดินวนรอบบ้าน ก็จะเห็นสิ่งของและร่องรอยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แก้วน้ำ หม้อใส่อาหาร ไม้แขวนเสื้อ ที่ยังอยู่ตรงนั้นและไม่มีการเคลื่อนย้ายไปไหน
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ครั้งหนึ่งเคยมีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่ ในบ้านหลังนี้

ที่มา : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร

ที่มา : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ภัทรภร เฉลยว่า บ้านหลังนี้ถูกทิ้งร้างมากว่า 11 ปี เมื่อก่อนเป็นบ้านของครอบครัวที่มีพ่อ แม่ ลูกชาย 3 คน (อายุ 5, 9 และ 11 ขวบ) และลูกสาวในครรภ์อีก 1 คน ในค่ำวันหนึ่งเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ได้เกิดเหตุกราดยิงรอบบ้าน เด็กชายทั้ง 3 คนเสียชีวิต พ่อแม่ได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าตอนนี้คดีจะสิ้นสุดแล้ว ก็สถานการณ์ก็ยังคลุมเครือว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ เกิดอะไรขึ้น และเจ้าของบ้านอยู่ฝ่ายไหน
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนำมาสู่การย้ายออกของครอบครัวนี้อย่างไม่หวนกลับ ตามมาด้วยคำถามว่า
“เราสามารถอยู่ในบ้านได้ไหม ? ถ้ามีลูกเล็กถูกยิงเสียชีวิตในบ้าน
เมื่อเราเปิดประตูเข้าไป เราเห็นมุมเล่นของเด็ก ๆ
มุมนี้เป็นมุมทำกับข้าวและชงนมให้ลูก”
เหตุการณ์บ้านร้างใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ไม่ได้มีแค่หลังนี้หลังเดียว หลายหลังย้ายออกไม่ใช่ด้วยสาเหตุจากความรุนแรง แต่มาจากการคุกคามของเจ้าหน้าที่ หรือคนบางกลุ่ม เช่น มีคนมาเคาะประตูกลางดึกแล้วถามไถ่ การกระทำดังกล่าวนอกจากจะทำให้คนที่อยู่หวาดกลัวแล้ว ยังส่งผลถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าบ้านกับคนอื่น ๆ ในชุมชน เช่น ความไว้วางใจแปรเปลี่ยนไป คำถามที่ว่าชีวิตคนในชุมชนจะปลอดภัยไหม หรือหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงจะโดนลูกหลงไหม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของการย้ายออก ที่ไม่ใช่แค่ในทางกายภาพ แต่ความผูกพันระหว่างเจ้าของบ้านกับคนในชุมชนที่เปลี่ยนไป ก็ทำให้หลายคนไม่สะดวกสบายใจที่จะอยู่ในชุมชนนั้นต่อ
“การโยกย้ายถิ่นฐานของคนในบางชุมชน ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ย้ายออกทั้งครอบครัว เป็นการถอนรากที่หยั่งลงในพื้นที่นั้น ถ้าไม่ใช่มีเหตุของความรุนแรง ถ้าไม่ใช่เหตุของความคับแค้น ถ้าไม่ใช่เหตุของการไม่สามารถอยู่ในพื้นที่นั้นได้อีกต่อไป คงไม่มีคนจำนวนมากที่จะตัดสินใจโยกย้าย“
ภัทรภร อธิบายเสริม
ผศ.แพร อธิบายภาพของพื้นที่เทศบาลนครยะลา ที่ส่วนใหญ่เป็นคนจีน (ต่างจากเรื่องราวจังหวัดชายแดนใต้ข้างต้นที่เป็นคนมลายู) โดยปกติแล้วลูกหลานคนจีนจะเรียนข้างนอก ทำงานข้างนอก บางส่วนก็กลับมาอยู่กับพ่อแม่และทำงานที่เทศบาลนครยะลา
แต่หลังเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2547 รวมถึงการระเบิดครั้งใหญ่เรื่อยมา ส่งผลให้ลูกหลานชาวจีนเหล่านี้ออกจากยะลาเยอะขึ้น จนบางบ้านเหลือเพียงคนแก่ที่อยู่อาศัยในบ้าน แม้อาจไม่ได้ถูกจับจ้องโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือกลุ่มอื่นเหมือนกรณีข้างต้น แต่พวกเขาเหล่านั้นรู้สึกถึง ความไม่ปลอดภัยของเมือง เมื่อลูกหลานมีทางเลือกอื่น เลยเลือกที่จะอยู่ที่อื่นและไม่กลับมา คนแก่ที่อยู่อาศัยอย่างโดดเดี่ยวก็เริ่มทยอยเสียชีวิต บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตชีวาก็กลายเป็นบ้านร้าง ซึ่งส่งผลกระทบในหลายมิติ
“สถานการณ์ของความรุนแรง บ้านซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยของทุกคน เป็นพื้นที่ของความสัมพันธ์จากรุ่นสู่รุ่น มันถูกทำลายและการเปลี่ยนบ้านที่มีผู้คนอยู่ตรงนั้นเป็นบ้านร้าง มันเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่ในครอบครัว แต่รวมถึงความสัมพันธ์ในตัวผู้คนที่ปฏิสัมพันธ์กันในละแวกบ้าน ในเมืองนั้น ในชุมชนนั้นไปด้วย”
ผศ.แพร สรุป
เมื่อเพื่อนบ้านเปลี่ยนหน้า คนใหม่ย้ายเข้ามา ต้นทุนความสัมพันธ์ก็ไม่ได้มีแต่เดิม การมีบ้านร้างอยู่ก็สร้างความหวาดกลัวบางประการ ตัวบ้านจึงเปลี่ยนภูมิทัศน์บางอย่างของความสัมพันธ์ของเมืองและผู้คน หรือแม้แต่ตัวเราที่รู้สึกว่าเมืองเปลี่ยนไปจากย่านที่เคยคึกคักด้วยผู้คน ก็เงียบเหงาลงตามกาลเวลา
วัตถุพยาน : บันทึกความจำ เป็นพยาน เยียวยา และหยัดยืน
นอกเหนือจากสถานที่ที่ส่งผลต่อปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์แล้ว สิ่งของก็มีเช่นกัน ซึ่งสิ่งของต่าง ๆ ไม่ใช่มนุษย์ (non-human) แต่สะท้อนเรื่องราวของมนุษย์ ผ่านสารคดี หากอากาศมีความทรงจำ (ชื่อเดียวกับบทกวีข้างต้น) และนิทรรศการต่าง ๆ ที่จัดแสดงสิ่งของตัวแทน เช่น “ลบไม่เลือน 20 ปี ตากใบ” หรือ “สดับเสียงเงียบ : จดจำตากใบ 2547”
วลัย ระบุถึง นิทรรศการมีวัตถุจัดแสดงหลากหลาย แต่ละชิ้นบอกเล่าความทรงจำของแต่ละบุคคล โดยมีจุดร่วมคือ ความเปราะบางทางความรู้สึกและความเจ็บปวด ซึ่งพาเราไปสำรวจความทรงจำของผู้ได้รับผลกระทบ โดยผู้ร่วมเสวนารายนี้บอกเล่าเรื่องราวของสิ่งของหลายชิ้นได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น
ปาตีเมาะ พึ่งตั้งครรภ์รุสตัน ได้ 4 เดือน ตอนที่เสียสามีจากเหตุการณ์ตากใบ ความเชื่อมโยงเดียวของพ่อ-ลูกที่ไม่เคยพบหน้าคือ รุสตันชอบใช้ เบ็ดตกปลา ของพ่อเพื่อไปตกปลาดุก และชอบกินผัดเผ็ดปลาดุกเหมือนพ่อ
เธอยังพบว่า รุสตันมีนิสัยบางอย่างที่คล้ายกับผู้เป็นพ่อ แต่ไม่ได้สื่อสารออกไป เพราะไม่อยากให้ลูกโตขึ้นมาด้วยมีความแค้นต่อเหตุการณ์ตากใบ รวมถึงกลัวว่าจะถูกจับตามอง

ที่มา : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
อย่างไรก็ตาม รุสตันรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ เมื่อโตขึ้นผ่านอินเทอร์เน็ต และยังมีสิ่งของอื่น ๆ ที่ชวนให้ระลึกถึงพ่อผู้ล่วงลับ เช่น รวงข้าวนาแรก จากการดำนาแรกของพ่อและแม่ ซึ่งเก็บมากว่า 20 ปีในยุ้งข้าวซึ่งเดิมเป็นเรือนหอ หรือ ผ้าห่มสีเหลือง ของรุสตัน ซึ่งไม่ยอมให้แม่เอาไปทิ้ง เพราะเป็นผ้าห่มผืนเดียวที่ได้มาจากพ่อ
ก๊ะยะ เสียสามีไปในวันเกิดเหตุ หลังเหตุการณ์ตากใบ ก๊ะยะทนฟัง เสียงนกกวัก ไม่ได้อีกต่อไป ท้ายที่สุดก็ปล่อยไปทั้งหมด เพราะรู้สึกว่าเสียงไม่ไพเราะ เสียดหู เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ วลัย ตั้งคำถามว่า เสียงนกตัวใหม่ ร้องเพลงใหม่ แต่บรรจุความทรงจำเจ็บปวดเก่า ๆ ไว้ได้อย่างไร ?
ชานบ้าน ที่อะเยาะห์ (แปลว่า พ่อ) และรอสือไมย์ (ลูกชาย) ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นมา เมื่อผู้เป็นพ่อมองไปที่ชานบ้านเมื่อไรก็หวนคิดถึงลูกชายที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2567 ทำให้อาเยาะห์ต้องย้ายออกจากบ้าน ความทรงจำที่เจ็บปวดกับชานบ้านหลังนี้ก็ค่อย ๆ คลี่คลายไป

ที่มา : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
จาก 3 เหตุการณ์ข้างต้น วลัย ย้ำว่า เวลา ก็เป็นหนึ่งใน non-human (สิ่งไม่ใช่มนุษย์) ที่สำคัญเช่นกัน เวลาทำให้กะย๊ะ ได้เรียนรู้ ขับเคลื่อนให้จากคนที่เป็นช้างเท้าหลัง เป็นแม่ศรีเรือนมาตลอด กลายมาเป็นผู้ฟ้องร้องลำดับที่ 1 ของคดีตากใบ
หรืออย่างกรณีของ รอสือไมย์ อาหามะ ซึ่งเป็นน้องชาย อยากฟ้องร้องคดีดังกล่าว แต่ด้วยภาระที่ต้องดูแลพ่อ (อาเยาะห์) ทำให้ไม่มีเวลาไปขึ้นโรงขึ้นศาล เวลาจึงเป็นแรงเสียดทานสำคัญของการต่อสู้ด้วยเช่นกัน

ที่มา : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
เสื้อสีเทา ของน้องชายอายุ 17 ปีที่จากไป พี่ชายยืนยันว่า
“หากต่อสู้ด้วยกฎหมายไม่ได้ ก็จะต่อสู้ด้วยความทรงจำ”
เสื้อดังกล่าวได้เยียวยาผู้บาดเจ็บให้แข็งแรง และกล้าลุกขึ้นยืนหยัดต่อกระบวนการยุติธรรมของรัฐ
มูฮัมหมัด (นามแฝง) ที่บอกว่า “ความสุขอยู่ใน บ้าน ความสุขไม่ได้อยู่ข้างนอก” เพราะออกไปข้างนอกแล้วเจอผลกระทบจากเหตุการณ์ตากใบ
รอยงัดประตู ที่เจ้าของบ้าน ยืนยันว่า จะไม่ซ่อม เพื่อย้ำเตือนว่า ครั้งหนึ่งทหารเคยงัดเพื่อบุกเข้ามาในบ้านตอนที่พวกเขาไม่อยู่

ที่มา : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ศาลาหน้าสถานีตำรวจภูธรตากใบ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ มี รอยรูกระสุน ที่เป็นพยานสำคัญว่า ถ้าไม่มีคนยิงขึ้นไป ก็ต้องมีคนยิงลงมา วัตถุจึงเป็นพยานในเหตุการณ์ได้เช่นกัน
หรือแม้แต่ สารคดี เรื่องนี้เอง วลัย ก็มองว่าว่า เป็นหนึ่งในวัตถุที่สื่อสารเรื่องการยืนหยัดอย่างเงียบ ๆ นี้ด้วย
สิ่งเหล่านี้จึงไม่ได้เป็นเพียง วัตถุไร้ชีวิต เท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนส่วนขยายอดีตที่มีชีวิต คอยบันทึกความทรงจำที่เจ็บปวด ช่วยยืนยันและเป็นพยาน เหตุการณ์ความรุนแรง (เช่น รอยรูกระสุนที่ สภ. ตากใบ) ช่วยเยียวยาเจ้าของ (เช่น บ้านของมูฮัมหมัด) บางครั้งก็สะท้อน ความโกรธ (เช่น รอยงัดประตู) และเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้และหยัดยืน (เช่น เสื้อสีเทา) เช่นกัน
วัตถุจึงไม่ใช่แค่วัตถุในฐานะส่วนบุคคล แต่เป็น collective history (ประวัติศาสตร์ร่วม) ด้วย
ผู้ร่วมเสวนา ยังตั้งคำถามต่อว่า แล้ว collective history นี้เป็นของใคร ? เป็นของคนที่สนใจเหตุการณ์ตากใบเท่านั้นหรือไม่ ? ฉะนั้น ตากใบไม่ได้ถูกทำให้เลือนไปโดยกระบวนการบางอย่าง แต่อาจเป็นเรื่องของช่วงเวลา ภาวะ สมัย ความสนใจในชีวิต หรือความจำเป็นในชีวิตที่ต้องสนใจเศรษฐกิจปากท้องก็ได้ มันอาจไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของทุกคน เพราะบางคนไม่ได้อยากจำ หรือบางคนก็ไม่ได้จะจำ
‘วัตถุพยาน’ ในฐานะตัวแทนสะท้อนประสบการณ์หนหลัง
วลัย ยังชวนสนทนาต่อว่า นอกจากวัตถุ สิ่งของ พื้นที่ และเวลา จะเป็นประจักษ์พยาน และเป็นเครื่องมือบันทึกความทรงจำของเหตุการณ์ตากใบแล้ว สิ่งไร้ชีวิตเหล่านี้ยังสะท้อนว่า ความยุติธรรมมันล้มเหลว และกลายเป็น agency (ตัวแทน) ที่สำคัญในการสื่อสารความทรงจำ เหล่านี้
ตัวอย่างเช่น ในสารคดี บางครั้งบทสนทนาก็ถูกตัดออก เหลือเพียงภาพ และความเงียบที่ทำงาน เพราะความทรงจำถูกบรรจุในอากาศ ในชานบ้าน ในข้าวที่อยู่ในยุ้งฉาง ในทุ่งนา หรือในสิ่งของ-สถานที่ต่าง ๆ ที่คอยสื่อสารความทรงจำ
“เหตุการณ์ตากใบเป็นแผลกับผู้คนที่อยู่ในใจของผู้เกี่ยวข้อง มันไม่ใช่แค่เหตุการณ์ แต่เป็นทั้งวัตถุ พื้นที่ ระยะเวลา กลายเป็น agency สำคัญที่มีบทบาทในการสื่อสารความทรงจำ และทำความสัมพันธ์ระหว่าง human (มนุษย์) และ non-human (สิ่งไม่ใช่มนุษย์) หรือในทางกลับกัน non-human และ human ให้ชัดเจนและเสียดทานกันมากขึ้น”
วลัย อธิบายเสริม
ผศ.แพร ยังเสริมด้วยว่า บ้านร้าง และวัตถุพยาน โดยตัวมันเองเป็นสิ่งไม่ใช่มนุษย์ก็จริง แต่มันก็ เป็นพยานและหลักฐานของการดำรงอยู่ของมนุษย์ที่อยู่ตรงนั้นมาก่อน
ในกระบวนการทำงานสารคดีหรือนิทรรศการ การดำรงอยู่ของวัตถุพยานแต่ก่อนอาจเป็นในรูปแบบ object แต่เมื่อคณะทำงานได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่นั้น วัตถุพยานก็ได้แปรเปลี่ยนเป็น subject ที่กำลังบอกผู้ทำงานว่า ถ้าอยากทำเรื่องบางเรื่อง เขาก็พร้อมเล่าเรื่อง ซึ่งสิ่งที่เขาเล่าคือ ครั้งหนึ่งเคยมีมนุษย์อยู่ร่วมกับเขา มีปฏิสัมพันธ์กับเขา แล้ววันหนึ่ง มนุษย์เหล่านั้นได้หายไป หายไปแบบไหน ? แบบยังคงความสัมพันธ์ หรือแบบถอนรากถอนโคนหรือเปล่า ?
วลัย ยกตัวอย่าง บริเวณหน้า สภ. ตากใบ ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ และกักเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ ส่งผลให้ภรรยาและคนจำนวนไม่น้อย จะไม่กลับไปหน้า สภ.ตากใบ ถ้าไม่จำเป็น นี่คือการทำงานในฐานะ agency ซึ่งพื้นที่เหล่านี้สื่อสารด้วยตัวมันเอง
หรืออย่าง เสื้อสีเทา ที่ก็เป็น agency เช่นกัน เนื่องจากตอนจัดนิทรรศการ มีผู้ชายนอกเครื่องแบบอายุใกล้เกษียณมายืนอ่านนิทรรศการ วลัย เลยเข้าไปถาม เขาก็เล่าให้ฟังว่า วันที่เกิดเหตุตากใบ เขาเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ที่ สภ.ตากใบ บรรจุมาได้แล้ว 7 ปี ในวันนั้นเขาตะโกนว่า “อย่ายิง” แต่เพื่อนไม่ฟัง แล้วเขาก็เงียบไป เพราะเด็กชายเจ้าของเสื้อนั้น ก็อาจเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากช่วงเวลานั้นก็ได้ เสื้อดังกล่าวสามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง และเป็น agency อย่างหนึ่ง
เช่นเดียวกันกับ บ้านร้าง ระหว่างทางไปเมืองซาราเยโว ซึ่ง ภัทรภร ระบุว่า แม้ว่าคนในชุมชนจะไม่ได้พูดถึง แต่ว่าการไม่พูดถึงหรือความเงียบ หรือการถามคนในพื้นที่ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วสีหน้าแววตาเปลี่ยน ก็สะท้อนความเป็น agency ของสถานที่นั้น ทำให้เห็นว่า เกิดอะไรขึ้นในพื้นที่นั้น บางพื้นที่เราอาจไม่รู้เรื่องราวก็จริง แต่ถ้าเราเห็นรอยกระสุนรอบบ้านเต็มไปหมด ก็อาจพอบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ พื้นที่บ้านเหล่านี้เปล่งเสียงออกมาเอง เป็นเจ้าของเรื่องราวของสถานที่ด้วยตัวมันเอง
“agency ทำงานในฐานะที่มันตะโกนอะไรออกมาไม่รู้อย่างกึกก้อง และมันสื่อสารประสบการณ์หนหลังของพื้นที่หรือสิ่งของนั้น ๆ ด้วยตัวมันเองโดยไม่ต้องกล่าวกัน สำหรับคนที่ไม่รู้คนที่ไม่รู้ พื้นที่อาจไม่ทำงาน แต่ถ้าเราเคยได้ยินเหตุการณ์ตากใบมาบ้าง มีหรือเราจะไม่อยากรู้”
วลัย อธิบาย
บทส่งท้าย : วัตถุพยาน ในฐานะตัวแทนต่อสู้กับ ‘วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด’ และความอยุติธรรม
บ้านร้างและวัตถุพยานเหล่านี้ จะไม่ได้เป็นและถูกบอกเล่าอย่างเช่นทุกวันนี้ หากไม่ได้ผ่านความรุนแรงของเหตุการณ์ตากใบ
บ้านร้างและวัตถุพยานเหล่านี้ ผ่านประสบการณ์และช่วยเก็บจำความรุนแรงร่วมกับมนุษย์ที่อยู่กับมัน และแม้ว่ามนุษย์เหล่านี้จะไม่อยู่แล้ว หรือจะล้มหายตายจากไปแล้ว แต่วัตถุเหล่านี้ยังอยู่
ผศ.แพร ย้ำว่า คณะทำงานเป็นคนนอก เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบ้านร้างและวัตถุพยาน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการบอกเล่าประสบการณ์ การดำรงอยู่ และการถูกกระทำด้วยความรุนแรง
อย่างไรก็ตาม กระบวนการทำงานเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดส่วนสำคัญอย่าง เจ้าของบ้านร้าง และวัตถุพยาน ที่ออกมาบอกเล่าประสบการณ์ของเขากับผู้ที่จากไปแล้ว สะท้อนให้เห็นปฏิสัมพันธ์ที่หลากหลาย (หรือพหุปฏิสัมพันธ์) ที่จะทำให้เรื่องเล่าเป็น agency ดังนั้นแล้ว ความเป็น agency จึงไม่ใช่วัตถุพยยานเล่าด้วยตัวมันเอง แต่คือ ปฏิสัมพันธ์ ทั้งหมดนี้ และเล่าออกมาผ่านวิธีการต่าง ๆ ทั้งผ่านตัวผู้ทำงาน ผ่านเจ้าของความทรงจำ หรือผ่านบ้านร้าง-วัตถุพยาน โดยเล่าอย่างมีเป้าประสงค์ ไม่ใช่เล่าอย่างกระจัดกระจาย
“แล้วเราทำเรื่องนี้ไปทำไม ?” คือสิ่งที่ ผศ.แพร ถามทิ้งทวน ก่อนจะให้ตอบว่า งานทั้งหมดนี้บอกเล่าเรื่องราวของการทำงานท่ามกลางความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ เพราะซึ่งการบอกเล่าโดยตรง อาจก่อให้เกิดอันตรายกับตัวผู้เล่าได้ ผู้จัดทำจึงพาวัตถุ-สถานที่ มาเล่าเรื่องแทน ซึ่งทำให้เขาเหล่านี้กล้าเล่าและกล้ายืนหยัดต่อสู้อีกครั้ง
“เราทำเรื่องนี้ทำไม ? เพราะการเล่าเรื่องโดยคนที่ยังมีชีวิตอยู่และสัมพันธ์กับความรุนแรง มีอันตรายกับตัวเขา เราจึงนำพาวัตถุ-บ้านร้าง มาเล่าเรื่องแทนเขา ความสำเร็จของโครงการของเราคือ ทำให้คนที่ผลกระทบจากตากใบ กล้าเล่าเรื่องความทรงจำเจ็บปวด และกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องตากใบอีกครั้งหนึ่ง เพราะสิ่งที่เล่าไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่อยู่ที่วัตถุพยาน และเขารู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่าที่จะเล่าเรื่องผ่านวัตถุพยานและความทรงจำนั้น ๆ ความทรงจำเจ็บปวดจึงเผยตัวของมันผ่านวัตถุพยานนั้น ไม่ใช่เขา นี่คือ agency ในการต่อสู้กับวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดและความอยุติธรรม”
ผศ.แพร ทิ้งท้าย

ที่มา : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร – SAC
เรียบเรียงเนื้อหาจากวงเสวนา “บ้านร้าง วัตถุพยาน และสื่อศิลปะ” โดย วลัย บุปผา, ภัทรภร ภู่ทอง และ ผศ.แพร ศิริศักดิ์ดำเกิง ในงานประชุมวิชาการมานุษยวิทยา 68 หัวข้อ “พหุปฏิสัมพันธ์: มนุษย์กับสิ่งไม่ใช่มนุษย์ (Interactive Pluralism: Human-Nonhuman)” โดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

