หลังโควิด-19 ประเทศญี่ปุ่นต้องเผชิญกับปัญหาประชากร มีอัตราการฆ่าตัวตาย และ การแยกตัวทางสังคม สูงขึ้นอย่างมาก รัฐบาลมองว่านี่คือปัญหาใหญ่อาจส่งผลกระทบในระยะยาว กระทั่งมีการประกาศแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อรับมือเรื่องความโดดเดี่ยว (Minister of Loneliness) ขึ้นในปี 2021
ฝั่งประเทศอังกฤษ ในรัฐบาลของ เทเรซา เมย์ (Theresa May) เริ่มประกาศสงครามกับความเหงาและตั้งรัฐมนตรีด้านนี้ขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 2018 ตามแรงผลักดันของรายงาน Jo Cox Commission ที่เผยให้เห็นว่าความเหงากำลังทำลายสุขภาพของชาติในระดับโครงสร้าง
ล่าสุด ในปี 2023 ดร.วิเวก เมอร์ธี (Vivek H. Murthy) โฆษกด้านสุขภาพของชาติ (U.S. Surgeon General) สหรัฐอเมริกา ออกคำประกาศว่า ความเหงาเป็นวิกฤตสาธารณสุขระดับชาติ (A Public Health Epidemic) หลังพบว่าชาวอเมริกันครึ่งหนึ่งมีความรู้สึกเหงาอย่างต่อเนื่อง และคนวัยหนุ่มสาวกำลังรู้สึกขาดการเชื่อมต่อทางสังคมอย่างรุนแรง
เมอร์ธี อธิบายว่า ความเหงา ไม่ใช่แค่ความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราว แต่เชื่อมโยงกับความเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด สมอง ซึมเศร้า ภาวะสมองเสื่อม และอัตราตายก่อนวัยอันควร ความรุนแรงทั้งหมดนี้เทียบเท่าการสูบบุหรี่วันละ 15 มวน
สถานการณ์ทั่วโลกทั้งหมดนี้ กำลังสะท้อนว่า ความเหงา ได้ก้าวข้ามสถานะทางความรู้สึกส่วนบุคคลไปแล้ว แต่กำลังกลายเป็น ปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งจำเป็นที่รัฐต้องมีนโยบายเข้ามารองรับอย่างจริงจัง ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
The Active ชวนกลับมามองสังคมไทย ในวันที่ความเหงาเข้าขั้นวิกฤต หลังมีการเปิดเผยผลสำรวจพบ คนไทย 83% รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว กับ รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมเข้าใจ 4 หลักการเพื่อเติมเต็มช่องว่างทางใจเบื้องต้น ในวันที่รัฐต้องเร่งสร้างนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตที่กำลังลุกลามนี้อย่างจริงจังเสียที

คนไทยเหงาเข้าขั้นวิกฤต
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ มีการเปิดเผยงานวิจัยชิ้นสำคัญเกี่ยวกับความเหงาและความโดดเดี่ยวเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
จากงานวิจัยเก็บข้อมูลคนไทยจำนวน 864 คน ช่วงอายุ 18-75 ปี ในหลากหลายอาชีพ ได้แก่ ครู นักเรียน นิสิต นักศึกษา พนักงานทั้งข้าราชการ เอกชน และฟรีแลนซ์ ทั้งในเขตเมืองและต่างจังหวัด ผ่านการตอบแบบสอบถามทางจิตวิทยา UCLA Loneliness Scale (Version 3) โดยนำมาแปลและปรับคุณภาพของภาษาให้เป็นคำถามในบริบทที่คนไทยคุ้นเคย
แบบสำรวจนี้ มีการสอบถามเกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้ตอบ รวมไปถึงความสัมพันธ์ และปฏิสัมพันธ์ที่มีแต่ผู้อื่น สิ่งแวดล้อม กระทั่งตัวเอง
แม้เราจะได้ยินเสียงบ่นเหงาในโลกโซเชียลมีเดียประปรายมาเป็นระยะ คงคาดเดาได้ไม่ยากว่าคนไทยคงรู้สึกเปลี่ยวเหงาอยู่บ้าง แต่ผลสำรวจกลับน่าตกใจเสียยิ่งกว่า เมื่อชี้ชัดอย่างเป็นรูปธรรมว่าตอนนี้ มีคนไทยถึง 83% กำลังเผชิญกับความเหงา โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็น เหงาน้อย 17% เหงาปานกลาง 65% และ เหงามาก 18%
ไม่น่าแปลกใจนัก หากผลสำรวจเผยว่ากลุ่มคนที่มีความเหงามากที่สุด คือ กลุ่มพนักงานบริษัทเอกชนแบบทำงานเต็มเวลาในเขตเมือง
“คนที่อยู่ในเมืองรู้สึกเหงากว่าคนในชนบท นั่นเพราะเมื่อใดที่เขาอยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างกลับมักจะเป็นเรื่องยากที่จะได้รับการตอบสนอง ทั้งที่อยู่ท่ามกลางแสงสีและผู้คนมากมาย”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี
รศ.สมบุญ อธิบายว่า ความรู้สึกของคนกลุ่มนี้อยู่ในระดับน่าเป็นห่วง เพราะนอกจากต้องใช้ชีวิตแข่งขันกับเวลาแล้ว การทำงานในเมืองยังกดดันให้ต้องแข่งขันกับตัวเองและผู้อื่น ผู้คนล้วนอ่อนล้าและไร้เรี่ยวแรงในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และเมื่อเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้น ก็ยากที่จะได้รับการตอบสนอง คนจำนวนไม่น้อยจึงหันหน้าเข้าหา AI แทน

เมื่อ ‘ทักษะทางสังคม’ กำลังถูกด้อยค่า
“AI เป็นเพื่อนที่ดีของคุณหรือเปล่า ?”
นี่หนึ่งในคำถาม ที่แบบสำรวจสอบถามไปถึงพฤติกรรมการใช้ AI ของผู้ตอบ ว่าพวกเขามีพฤติกรรมที่ใช้เป็นเพื่อนคลายเหงามากแค่ไหน
ผลวิจัยพบว่า คน 1 ใน 5 ยอมรับว่า AI เข้าใจตัวเองได้ดีกว่าเพื่อน พ่อแม่ และคนในครอบครัว ฟังแบบนี้ดูเหมือนไม่น่าแปลกใจเท่าไร แต่ รศ.สมบุญ บอกกับว่า สถานการณ์นี้น่าเป็นห่วง เพราะกำลังสะท้อนถึง วิกฤตด้านความสัมพันธ์ของมนุษยชาติ
“ข้อค้นพบนี้น่าตกใจมาก เพราะสำหรับนักจิตวิทยาแล้ว ตัวเลขนี้ควรเป็นศูนย์ด้วยซ้ำ”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี
ตัวเลขเพียงแค่ 1 ใน 5 นี้อาจดูไม่มากมายอะไร แต่กลับชี้ให้เห็นวิกฤตที่ซ่อนอยู่ เพราะหมายความว่า เรากำลังอยู่ในยุคสมัยที่มนุษย์ไม่สามารถไว้วางใจคนรอบตัว เพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวได้อีกต่อไป แต่ AI กลับทำหน้าที่ได้ดีกว่าแทน
ทั้งหมดนี้ มากจากการขาดหายไปของ ทักษะทางสังคม ของมนุษย์ ที่ส่วนหนึ่งมากจากการพยายามพัฒนาทักษะอื่นเข้ามาแทนที่
“ดูเหมือนเรากำลังด้อยค่าทักษะทางสังคมลงไป แล้วให้ความสำคัญกับทักษะอื่นแทน ทั้งที่โดยธรรมชาติแล้ว สังคมมนุษย์จะดำรงอยู่ได้ต้องมีความสัมพันธ์และมิตรภาพเป็นพื้นฐาน”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี
นักจิตวิทยา ยังย้ำว่า ทักษะเป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่จะยิ่งทำได้ดีเท่านั้น ทักษะทางสังคมก็เช่นกัน ยิ่งฝึกฝนผ่านการพูดคุย มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจริง ๆ รอบตัวได้มากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสามารถในการสร้างสายสัมพันธ์กับคนรอบตัวได้มากเท่านั้น
‘ยิ่งแก่ ยิ่งเหงา’ – มายาคติความเหงาในสังคมไทย (ที่ไม่เป็นจริง)
เราอาจได้ยินเรื่องวิกฤตผู้สูงอายุโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา เพราะบางบ้านลูกหลานแยกตัวออกไปอยู่ที่อื่น หรืออีกหลายบ้านลูกหลานออกไปทำงานแต่เช้ามืด กลับมาถึงบ้านอีกครั้งหลังตะวันตกดิน ช่วงกลางวันจึงอาจกลายเป็นช่วงเวลาอันยาวนานสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว
แต่งานวิจัยชิ้นนี้กลับพบว่า อายุไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเหงาอย่างมีนัยสำคัญเลย
“เรามักมี stereotype ว่าผู้สูงอายุจะต้องเหงา แต่แท้จริงแล้วการมีอายุมากขึ้นไม่ได้หมายความว่าจะเหงามากขึ้นเลย แต่เกี่ยวข้องกับบริบทชีวิตและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปมากกว่า”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี
ข้อสรุปของงานวิจัยนี้สอดคล้องกับงานวิจัยชิ้นอื่น ๆ ในต่างประเทศอีกหลายชิ้น ที่ระบุว่าความเหงาไม่ได้พบมากในผู้สูงวัย แต่กลับพบในวัยรุ่นและหนุ่มสาวมากกว่า เพราะมีการใช้ชีวิตออนไลน์มากกว่าชีวิตจริง นำไปสู่การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ทั้งยังอยู่ในระหว่างการค้นหาตัวตน และยืนอยู่บนความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง
ในขณะที่ผู้สูงอายุที่รู้สึกเหงา กลับไม่ได้มากจากอายุ แต่มาจากปัจจัยอื่นรายล้อม เช่น การสูญเสียคู่ชีวิต สุขภาพที่ถดถอย รายได้และกิจกรรมน้อยลง รวมไปถึงบ้านเมืองที่ไม่เอื้ออำนวยให้เดินทางหรือพบปะผู้คน
“ความเหงาไม่ได้เพิ่มขึ้นตามอายุ แต่ยังมีบริบทรอบตัวอีกหลายปัจจัย แม้กระทั่งคนหนุ่มสาววัยทำงานที่แม้อายุยังน้อย และออกไปเจอผู้คนทุกวัน แต่สภาพสังคมในเมืองใหญ่ก็ทำให้พวกเขากลายเป็นกลุ่มที่เหงาที่สุดจนได้”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี

ความเหงาแก้ได้ แค่หายโสด ?
คนจำนวนมากเมื่อรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวก็มักเชื่อว่า การมองหาใครสักคนมาเป็นคู่หรือทำหน้าที่คนรักจะช่วยเติมเต็มหรือบรรเทาความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาได้
ดูเหมือนจะสอดคล้องกับผลการวิจัยที่บอกว่า คนที่อาศัยอยู่กับครอบครัว จะมีความเหงาน้อยกว่าคนที่อาศัยอยู่เพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยว
แต่คำว่าครอบครัวกลับไม่ใช่สถานะเดียวกับการแต่งงานเสมอไป และการแต่งงานกลับไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานี้เท่าที่ควร
“เราพบว่าคนโสดกับคนที่แต่งงาน มีความเหงาแทบไม่ต่างกัน แต่คนที่อาศัยอยู่กับครอบครัวต่างหากที่เราพบว่ามีความเหงาน้อยกว่าคนที่อาศัยอยู่คนเดียวเพียงลำพัง”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำของนักจิตวิทยา คือ ไม่จำเป็นต้องออกปาร์ตี้หรือแสวงหาเพื่อนฝูงมากมาย แต่ขอให้มีเพื่อนสนิทหรือคนที่ไว้วางใจได้สัก 2-3 คน ก็จะทำให้ทักษะทางสังคมยังอยู่และลดความเปลี่ยวเหงาได้
4 วิธี ดูแลหัวใจ – เมื่อความเหงาเรื้อรัง กำลังฆ่าเราช้า ๆ
ความเหงาเป็นสภาวะทางใจที่จะนำไปสู่ความวิตกกังวล เปรียบได้กับโรคทางกายอย่าง NCD ที่ยังไม่แสดงให้เห็นชัดเจน แต่ส่งผลกับร่างกายเรื้อรังยาวนานและนำมาสู่โรคร้ายได้ในอนาคต
ต่างประเทศหลายแห่ง มีความความพยายามในการสร้างพื้นที่บรรเทาความเครียดและโดดเดี่ยวให้แก่ประชาชน ซึ่งโดยมากจะเป็นรูปแบบ โปรแกรมเชิงจิตวิทยา (Psychological Programs / Group Interventions) ที่จัดหลังเลิกงาน หรือเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมเพื่อฝึกทักษะทางอารมณ์ การสื่อสาร หรือการจัดการความเครียด
โปรแกรมเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการนัดหมายมาเจอกันแล้วปาร์ตี้สนุกสนานเฮฮาแต่เป็นการคุยกันเชิงลึก เรียนรู้กันและกันผ่านทักษะการฟัง มีผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเป็นคนนำวงสนทนา
“ในวงแบบนี้จะมีการแชร์ความรู้สึก และประสบการณ์ต่อกันไม่ว่าจะเป็นเชิงบวกหรือลบ เมื่อมีคนรับฟังพวกเขาอย่างตั้งใจ ความเหงาก็จะลดลง บรรเทาความโดดเดี่ยวที่จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตระยะยาว”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี
รศ.สมบุญ ยังบอกอีกว่า ตอนนี้ในบ้านเราเริ่มมีบรรยากาศในการพูดคุยแบบนี้บ้างแล้ว โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยที่มีการเรียนการสอนด้านจิตวิทยา แต่อาจยังไม่เพียงพอกับผู้คนอันเปลี่ยวเหงาที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวันในสังคมไทยอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ยังค้นเจอ 4 วิธีสำคัญ ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยบรรเทารความเหงาและความโดดเดี่ยวได้ ได้แก่
1. การสนับสนุนทางสังคม (Social Support)
เมื่อใดที่ชีวิตเราเริ่มสะดุด เจออุปสรรค หรือรู้สึกว้าเว้ หากมองไปรอบ ๆ แล้วยังเจอคนที่สามารถเป็นที่พักพิงช่วยเหลือ เป็นกำลังใจ หรือคอยถามไถ่ความเป็นไปของชีวิตได้ นั่นหมายความว่าเรากำลังมีแรงสนับสนุนทางสังคมที่ดี
“ถ้าเรามี Social Support จะทำให้ลดความรู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกมีคุณค่าเพราะได้เป็นส่วนหนึ่งกลุ่ม (ครอบครัว กลุ่มเพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงาน) เมื่อเกิดปัญหาจะมีคนคอยช่วยรับฟัง ปลอบประโลม ทั้งหมดนี้จะทำให้น้ำหนักในใจลดลง ความเหงาก็จะเบาบางลงด้วย”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี
ทั้งนี้การสนับสนุนทางสังคมที่ดีนั้น จะช่วยลดการแยกตัวออกจากสังคม ซึ่งเป็นต้นตอของความเหงาเรื้อรัง และสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่จำนวนของเพื่อนฝูงที่รายล้อม แต่เป็น คุณภาพของความสัมพันธ์ ที่เป็นหัวใจของ Social Support ต่างหาก
2. การกำกับตัวเอง (Self-Regulation)
คือความสามารถที่เราจะจัดการกับอารมณ์ ความคิด แรงจูงใจ และพฤติกรรมของตัวเองได้ หรือเรียกง่าย ๆ ว่า มีสามารถดูแลจิตใจตัวเองได้ ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกต่าง ๆ อย่างความเครียด ความโกรธ ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือกระทั่งความเหงา เข้าควบคุมเราได้่
การมี การกำกับตัวเอง จะทำให้เรารับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาได้อย่างมีสติ ทำให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น และมีประโยชน์ในระยะยาว
“คนเหงาส่วนใหญ่ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเหงา”
รศ.สมบึญ อธิบายว่า อารมณ์เชิงลบเหล่านี้มักมาโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว หลายคนความเครียดสูงมาก แต่เก็บไว้ข้างใน ปากบอกแต่ว่าไหว แต่ใจห่อเหี่ยวหมดแล้ว หรือหลายคนเผชิญกับความเศร้าโศกเสียใจ หดหู่ยาวนาน โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองตกอยู่ในสภาวะซึมเศร้าไปแล้ว
“สิ่งแรกคือ ให้ลองพยายามสังเกตอารมณ์ตัวเอง ว่าเราเริ่มรู้สึกหม่น ๆ ในใจ หรือมีอารมณ์เชิงลบ ขอให้รู้ตัวให้เร็ว ก่อนที่เมฆหมอกจะมาเกาะกุมใจจนมืดมน และการตระหนักรู้ตัวก่อนนี้จะนำไปสู่การจัดการอารมณ์อย่างมีประสิทธิภาพ”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี
3. การมีความหมายในชีวิต (Meaning in Life)
หลายครั้งที่เราตื่นนอนขึ้นมาแล้วไถหน้าฟีดในโซเชียล มีเดียไปเรื่อย ๆ เรื่องราวร้อยแปดที่แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตเราหลั่งไหลเข้ามาในหัว แต่จะมีสักกี่เรื่องที่มีความหมายกับชีวิตเราอย่างแท้จริง
“ลองถามตัวเองไปเรื่อย ๆ ว่าแต่ละวันเราตื่นขึ้นมาแต่ละวันเพื่ออะไร ?”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี
นักจิตวิทยา ยังชวนถามคำถามง่าย ๆ เพื่อให้เราค่อย ๆ ลองทบทวนตัวเองไปทีละขั้น
“ตื่นขึ้นมาเพราะต้องไปทำงาน”
นี่อาจเป็นคำตอบของหนุ่มสาววัยทำงานหลายคน ที่ รศ.สมบุญ บอกอย่างใจเย็นว่า คำตอบแบบนี้ไม่ได้ผิดอะไร เพราะนี่อาจเป็นเพียงหินก้อนแรก (stepping stone) หรือคำตอบเล็ก ๆ ที่ช่วยเปิดทางให้เราขุดลึกลงลงไปในจิตใจตัวเอง และนำไปสู่การหาความหมายในชีวิตที่แท้จริงเจอก็เป็นได้
“เราอาจคิดว่าแต่ละวันคือการตื่นไปทำงาน แต่ให้ลองหาลึก ๆ ว่าอะไรซ่อนอยู่ในการพยายามทำงานหนักของเรา ไล่ไปเรื่อย ๆ แล้วอาจจะเจอคุณค่าบางอย่าง เช่น ครอบครัว คนรัก อาชีพการงาน หรือความภาคภูมิใจ”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี
การหาความหมายในชีวิต ไม่ได้ยากหรือลึกซึ้งซับซ้อนอะไรเลย แต่อาจมาจากการใช้ช่วงเวลาในการได้พูดคุยกับเพื่อนที่ไว้ใจ การอยู่กับคนรัก หรือการเขียนบันทึกเพื่อทบทวนความคิดของตนเอง การค่อย ๆ สังเกตความคิดตัวเองทีละเล็กละน้อยเช่นนี้ จะช่วยให้เราชัดเจนกับความหมายในชีวิตมากขึ้น
แต่สิ่งท้ายทายของผู้คนในยุคสมัยนี้ คือ คนส่วนใหญ่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้ความสัมพันธ์ที่วางใจ และไม่มีผู้คนให้พูดคุยแลกเปลี่ยนได้มากนัก ทำให้ขาดโอกาสในการตรวจสอบตัวเอง
4. การทำกิจกรรมจิตอาสา (Volunteering)
สำหรับการทำงานอาสาสมัคร นอกจากจะเป็นกิจกรรมที่ทำให้เราต้องออกไปเจอกับผู้คนหลากหลายแบบแล้ว การออกไปช่วยเหลือผู้อื่นยังสร้างความรู้สึกว่า “เรามีประโยชน์” หรือ “เรามีที่ทางในสังคม” ด้วย ความรู้สึกภูมิใจเช่นนี้จะช่วยสร้างความหมาย คุณค่าในตัวเอง (sense of purpose & self-worth) ให้ได้
แต่หากถาม แล้วงานอาสาสมัคร จะช่วยลดความเหงาได้อย่างไร ในเมื่อข้อมูลข้างต้นบอกว่า แม้การอยู่กับผู้คนมากมายรายล้อมก็อาจไม่ได้ช่วยลดความเหงาในใจได้เลย
มีข้อมูลที่น่าสนใจระบุว่า ความเหงาส่วนหนึ่งมาจากการหมกมุ่นความคิดเชิงลบเกี่ยวกับตัวเอง เช่น ไม่มีใครชอบฉัน ฉันไม่สำคัญ ฯลฯ
แต่การทำงานจิตอาสาจะช่วยพาเราให้ออกไปจาก “ฉัน” แต่โฟกัสไปที่ “การช่วยเขา” แทน เมื่อรูปแบบความคิดเปลี่ยนไป จะทำให้สมองไม่จมกับเรื่องราวหรือปัญหาของตัวเองเท่านั้น แต่กลับทำให้มองโลกออกไปได้ไกลขึ้นด้วย
“การออกไปทำงานอาสาฯ เป็นโอกาสให้ออกไปเจอโลก การที่เราได้ใส่ใจช่วยเหลือผู้อื่น หรือรู้จักการแบ่งปันทุกข์-สุข จะทำให้เราได้เชื่อมโยงกับผู้อื่น และทำให้เห็นว่าคนอื่นก็มีความทุกข์ มีความเหงาไม่ต่างจากเรา”
รศ.สมบุญ จารุเกษมทวี
การทำงานอาสาสมัคร นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว การได้เห็นความสุข-ทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะทำให้เราเห็นว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเหงาด้วยกันทั้งสิ้น เพราะความเหงาเป็นอารมณ์พื้นฐานที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เราทุกคนก็สามารถพบเจอและก้าวผ่านมันไปได้ทุกคน

เมืองคลายเหงา : นโยบายสุขภาพใจ ที่รอวันรัฐไทยแก้ไขอย่างจริงจัง
เมื่อตอนนี้ ความเหงาไม่ได้เป็นอารมณ์หรือเรื่องส่วนบุคคลอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นวิกฤตทางสุขภาพจิตของคนไทย ที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่รัฐจำเป็นต้องมีนโยบายรองรับอย่างจริงจัง
การออกแบบผังเมือง สวัสดิการ หรือการมีนโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อการเกิดกิจกรรมที่ช่วยลดความเปลี่ยวเหงาก็เป็นอีกกลไกสำคัญในการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตประชาชนได้
หากลองหันมองประเทศที่มีบริบทใกล้เคียงกับประเทศไทยอย่างญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อว่าผู้คนต้องเผชิญกับปัญหาความโดดเดี่ยวเรื้อรังมาหลายทศวรรษนับตั้งแต่เรื่อง โคโดกุชิ (การเสียชีวิตอย่างเดียวดาย) ไปจนถึงการแยกตัวของผู้สูงอายุและคนวัยทำงาน
รัฐบาลได้มีความพยายามออกนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหามาโดยตลอด เช่น โครงการเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุ เกิดคาเฟ่ชุมชนของเทศบาลเพื่อสร้างพื้นที่กลางให้ผู้คนพบปะกัน หรือนโยบายส่งเสริมชั่วโมงทำงานที่ยืดหยุ่น เพื่อให้คนมีเวลาใช้ชีวิตกับครอบครัวมากขึ้น
และล่าสุดในปี 2021 ที่มีการแต่งตั้ง รัฐมนตรีด้านความโดดเดี่ยวและการแยกตัว (Minister of Loneliness) ในรัฐบาลโยชิฮิเดะ ซูงะ (Yoshihide Suga) มีบทบาท คือ ประสานทุกหน่วยงานเพื่อจัดการปัญหาความโดดเดี่ยว และคอยเก็บข้อมูลความเหงาของประชาชน
ญี่ปุ่น เป็นตัวอย่างหนึ่งในหลาย ๆ ประเทศที่พยายามแก้ไขปัญหานี้ในระดับโครงสร้าง แต่สำหรับในประเทศไทยแล้ว แม้จะยังไม่เห็นนโยบายในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังตรงจุดและต่อเนื่อง
แต่เรายังได้เห็นก้าวแรกอย่างการจัดกิจกรรมดนตรีในสวน หรือการเปิดให้บริการวงพูดคุยทางจิตวิทยาให้กับนักศึกษาและประชาชนทั่วไปในมหาวิทยาลัย รวมถึงเทรนด์การทำงานด้านจิตอาสา ที่กำลังกลับมาได้รับความนิยามจากคนรุ่นใหม่ ที่หักออกจากหน้าจอ และหันมาเจอผู้คนในสังคมมากขึ้น
ทั้งหมดนี้ก็ยังดูเหมือนยังไม่พอ และอาจถึงเวลาแล้ว ที่ต้องการการลงมือลงแรงในระดับนโยบายอย่างจริงจังมากกว่านี้ในระยะยาว

