เสียงที่ถูกฝัง: ถ้าคนใกล้ชิดฆ่าตัวตาย พวกเขาจัดการตัวเองอย่างไร?

ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่มีคนใกล้ชิดและเพื่อนที่ฆ่าตัวตายหลายคน เมื่อระลึกถึงการเจอกันครั้งสุดท้าย หรือการคุยครั้งสุดท้ายก็ตาม คือเสียใจทุกครั้ง เหมือนเราไม่พบสัญญาณผิดปกติ จนเขาจากไปทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกว่าว่าเราไม่ใส่ใจเขาเพียงพอ แต่บางครั้งรู้สึกย้อนแย้งในตัวเอง, เขาเลือกแบบนั้น เพราะเขาไม่อยากอยู่อย่างทรมาน ถ้าเราเกลี่ยกล่อมให้เขาอยู่ต่อได้ เขาคงทรมานมากกว่า ความคิดกลับไปกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนกับไม่ยอมรับทางเลือกของเขา เรารู้ว่าเขาคงคิดมานานมากกกว่าเรา

และความทรงจำสุดท้ายมักจบลงที่ “ทำไมมึงไม่บอกกูว่าตกลงทุกข์อะไร?” “เธอไม่ไว้ใจเรา?” “เธอคิดว่าจะเป็นภาระของเราเหรอ?” “มึงทิ้งกูไปฉยๆ แบบนี้เลยเหรอ?”  มันยิ่งทำให้เรารู้สึกผิดที่ไม่ได้เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เพื่อนเพียงพอ โกรธเพื่อนก็ไมไ่ด้ แต่ที่ทำได้คือโทษตัวเองที่พยายามไม่พอ … 

“ถ้าฉันฆ่าตัวตายบ้างหล่ะ?”

ความคิดฉันวนเวียนถึงตัวเอง ถึงคนอื่น ถ้ารู้สึกว่ากำลังคิดไปไกลมาก ฉันพยายามกลับมาคิดซ้ำ ๆ “ที่เรายังไม่ฆ่าตัวตายเพราะอะไร?”

Image Name

…ถ้าไม่มีพวกกู (พ่อแม่) มึงอยู่ไม่ได้หรอก” 

อยู่ไปก็เป็นภาระของเขา” 

ทำตัวไม่มีประโยชน์…ไร้ค่า”  


นี่คือเสียงที่ถูกบันทึกไว้จากงานวิจัยในไทย ที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้ยินจากครอบครัว ก่อนที่พวกเขาจะพยายามฆ่าตัวตาย  

ลองจินตนาการถึงเช้าวันต่อมา หากคำพูดเหล่านั้นคือสิ่งสุดท้ายที่แม่ได้พูดกับลูก ก่อนที่จะพบว่าลูกของเธอจากไปตลอดกาล

สำหรับ “ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าตัวตาย” (Suicide Loss Survivors) ทั้งสมาชิกในครอบครัว คนใกล้ชิด หรือผู้สูญเสีย คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ความโศกเศร้าไม่ได้เป็นนามธรรม พวกเขามีเสียง มีใบหน้า และมีน้ำหนักของคำพูดสุดท้ายที่วนซ้ำอยู่ในหัวราวกับเสียงที่ถูกฝัง ความรู้สึกผิด ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่คือหลักฐานที่จับต้องได้ ในฐานะ “ผู้ทารุณภายใน” (Internalized Abuser) ที่คอยย้ำเตือนว่าพวกเขา “น่าจะ” ป้องกันโศกนาฏกรรมนี้ได้  

ในแต่ละปี ประเทศไทยสูญเสียประชากรจากการฆ่าตัวตายประมาณ 4,000 – 5,172 คน แต่เรื่องเล่ามักจะจบลงตรงนั้น สังคมมักมองว่าการฆ่าตัวตายคือจุดจบของคนเพียงคนเดียว  

นี่คือความเข้าใจผิดของผู้คนและผู้กำหนดเชิงนโยบายที่ใหญ่หลวงที่สุด

ส่องสถานการณ์การฆ่าตัวตาย “เสียงของคนทุกข์ทรมาน”

ในระดับสากล องค์กรชั้นนำด้านสาธารณสุขระบุตรงกันว่า การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ท้าทายเร่งด่วน ทั้งสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายสากล (IASP) และองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าปี 2021 มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทั่วโลกกว่า 727,000 คน ซึ่งเป็นยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เพราะภายใต้สิ่งที่มองไม่เห็นยังมีการพยายามฆ่าตัวตายทั่วโลกที่ไม่แน่ชัด แต่ได้ให้ข้อมูลเชิงประมาณการที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการสาธารณสุข คือ

อัตราส่วน “20:1”: WHO ระบุว่า “มีข้อบ่งชี้ว่าสำหรับผู้ใหญ่ทุกคนที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย อาจมี คนอื่นอีกมากกว่า 20 คนที่พยายามฆ่าตัวตาย”

นัยทางสถิติ (Implication): หากนำอัตราส่วนนี้มาคำนวณจากตัวเลขผู้เสียชีวิต 727,000 คนต่อปี นี่หมายถึงอาจมีการพยายามฆ่าตัวตายมากถึง 14.5 ล้านครั้งต่อปี ทั่วโลก

ตัวเลข 14.5 ล้านครั้งนี้ สะท้อนถึงภาระด้านสุขภาพจิตที่ซ่อนอยู่มหาศาล และความต้องการบริการฉุกเฉินและการดูแลต่อเนื่องที่ระบบสาธารณสุขในหลายประเทศยังไม่สามารถตอบสนองได้

หากพิจารณาเฉพาะประเทศไทย ข้อมูลทางการล่าสุดจากกรมสุขภาพจิต ชี้ให้เห็นสถานการณ์การฆ่าตัวตายที่น่ากังวล ดังนี้:

ถ้าการเก็บข้อมูลการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในไทยมีแนวโน้มที่น่ากังวล การเก็บข้อมูลการ “พยายามฆ่าตัวตาย” ยิ่งน่ากังวลกว่า เนื่องจากเป็นข้อมูลที่สะท้อนปัญหาที่แท้จริง (ใต้ภูเขาน้ำแข็ง) แต่กลับมีความคลาดเคลื่อนสูง “หลุมดำของข้อมูล” รายงานจาก The Active’- ศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส ให้คำตอบที่น่าตกใจและมีความสำคัญต่อนโยบายสาธารณสุข นั่นคือ ศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายแห่งชาติเพิ่งจะมีการ “นิยามคำว่า ‘พยายามฆ่าตัวตาย’ อย่างชัดเจน เมื่อปี 2566 ซึ่งเป็นข้อจำกัดของระบบของกรมสุขภาพจิตเองที่ “ยังพบข้อจำกัดในการลงรหัสโรค” (Limitations in disease coding) และการขาดการเฝ้าระวังเชิงรุกระบบเฝ้าระวังการฆ่าตัวตาย “ยังไม่เป็น active surveillance และไม่ไวทันต่อปัจจัยที่เปลี่ยนแปลง”

การที่ “นิยาม” ที่เป็นมาตรฐานเพิ่งถูกกำหนดในปี 2566 หมายความว่า ข้อมูลจำนวนผู้ฆ่าตัวตาย หรือพยายามฆ่าตัวตายในอดีต ถูกเก็บในมาตรฐานที่แตกต่างกัน ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบหรือยืนยันได้ และในทางระบาดวิทยา หมายความว่าประเทศไทยกำลัง “บินโดยไม่เห็น” การจัดการวิกฤตการพยายามฆ่าตัวตาย เราไม่สามารถออกแบบการแทรกแซงที่มีประสิทธิภาพสำหรับปัญหาที่เราไม่สามารถวัดผลได้อย่างแม่นยำ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เร่งด่วนที่สุดสำหรับเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่การรักษาเยียวยา แต่คือ การสร้างระบบเฝ้าระวังเชิงรุกที่กรมสุขภาพจิตเองยอมรับว่ายังขาดอยู่

อย่างไรก็ตาม  ภายใต้ “ข้อจำกัด” ข้างต้น จึงจำเป็นต้องใช้ “ข้อมูลตัวแทน” ที่ดีที่สุด เพื่อประเมินขนาดของปัญหาที่ซ่อนอยู่ นั่นคือข้อมูลจากแอปพลิเคชัน “Mental Health Check-In” ของกรมสุขภาพจิต ซึ่งได้จากการประเมินกลุ่มตัวอย่าง 6 ล้านคน ให้ภาพความเสี่ยงประเด็นการฆ่าตัวตายที่ชัดเจนกว่า โดยสรุปคือ 

  • 5.18% มีความเสี่ยงฆ่าตัวตาย (คิดเป็นประมาณ 300,000 คน)
  • 9.14% มีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า (คิดเป็นประมาณ 560,000 คน)
  • 7.87% มีความเครียดสูง (คิดเป็นประมาณ 480,000 คน)

ตัวเลขเหล่านี้ (โดยเฉพาะ 560,000 คนที่มีความเสี่ยงซึมเศร้า และ 300,000 คนที่มีความเสี่ยงฆ่าตัวตาย) คือข้อมูลที่สามารถนำไปปฏิบัติการได้จริง แสดงให้เห็นถึงประชากรกลุ่มเสี่ยง “ก่อน” ที่พวกเขาจะกลายเป็นสถิติการพยายามฆ่าตัวตาย นี่คือส่วนบนของภูเขาน้ำแข็ง และเป็นข้อมูลสำคัญอย่างยิ่งในการจัดสรรทรัพยากรด้านสาธารณสุข

ผู้รอดชีวิตที่มองไม่เห็น: จาก “6 คน” สู่ “700,000 คน”

เป็นเวลากว่า 30 ปี ที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขและสื่อมวลชนในไทย ยังคงอ้างอิงข้อมูลดั้งเดิม

“การฆ่าตัวตาย 1 ครั้ง ส่งผลกระทบต่อคนใกล้ชิดอย่างน้อย 6 คน” ตัวเลขนี้มาจากการประมาณการขนาดครอบครัวในยุค 1970s และไม่เคยมีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ จนกระทั่งมีงานวิจัยเชิงประจักษ์สมัยใหม่ ปี 2018-2019 ดร.จูลี ซีเรล (Dr. Julie Cerel) ได้ปฏิวัติตัวเลขนี้อย่างสิ้นเชิง โดยพบว่า การฆ่าตัวตาย 1 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้ “สัมผัสรับรู้” กับการสูญเสียถึง 135 คน และมีผู้ที่ “ได้รับผลกระทบรุนแรง” ถึง 15-30 คน  

เมื่อนำสถิติการเสียชีวิตของไทยปีล่าสุด จำนวน 5,172 คน คำนวณด้วยโมเดลใหม่นี้ หมายความว่าในแต่ละปี ประเทศไทยมี “ผู้รอดชีวิตที่มองไม่เห็น” หรือผู้ได้รับรู้และได้รับผลกระทบจากการที่คนใกล้ชิดฆ่าตัวตายเกิดขึ้นใหม่ถึง เกือบ 700,000 คน และอย่างน้อย 77,000 – 155,000 คน ได้รับผลกระทบรุนแรงที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยาอย่างจริงจัง 

แต่ไม่ได้หมายความว่าใน ‘โมเดล 135 คน’ นี้ ทุกคนต้องได้รับการบำบัด ทว่าตัวเลขได้ทำหน้าที่เปลี่ยนความจริง สะท้อนให้เห็นว่าเครือข่ายทางสังคมของผู้ได้รับผลกระทบนั้นกว้างใหญ่กว่าที่เคยประเมินไว้ มากกว่านั้น ดร.ซีเรล ได้พัฒนาสิ่งที่เรียกว่า “สเปกตรัมของผู้รอดชีวิตจากการฆ่าตัวตาย” (Continuum of Suicide Servivorship) ซึ่งแบ่งระดับผลกระทบเป็น 4 ขั้น ตั้งแต่ (ก) การสัมผัสรับรู้ (ข) ได้รับผลกระทบ (ค) เศร้าโศกระยะสั้น และ (ง) เศร้าโศกระยะยาว

ยิ่งไปกว่านั้น ‘โมเดล 135 คน’ ได้ขยายขอบเขตของผู้ได้รับผลกระทบให้กว้างกว่า “ครอบครัวสายเลือด” ไปสู่เพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท แฟนเก่า หรือแม้แต่เพื่อนในโลกออนไลน์ งานวิจัยชุดนี้ยืนยันว่า “ความรู้สึกใกล้ชิด” เป็นปัจจัยสำคัญต่อผลกระทบทางจิตใจ มากกว่าความสัมพันธ์ทางกฏหมาย ได้สร้างปัญหาที่เรียกว่า “ความเศร้าโศกที่ไม่ถูกยอมรับ” (Disenfranchised Grief) หรือ “ลำดับชั้นของความเศร้าโศก” เช่น ในทางสังคม เมื่อเพื่อนร่วมงานแสดงออกว่าเสียใจหนักมาก อาจถูกตั้งคำถามทางสังคมว่า “คุณไม่ใช่ครอบครัว ทำไมถึงเสียใจขนาดนี้?”

การที่ “ผู้เศร้าโศกที่ไม่ถูกยอมรับ” ไม่ถูกอนุญาตให้แสดงความเศร้าออกมา ผลกระทบคือ ทำให้พวกเขาไม่กล้าขอความช่วยเหลือ ไม่กล้าลางาน และถูกผลักไสให้ไปเศร้าโศกเพียงลำพังในมุมมืด

การ “เปลี่ยนเรื่องเล่า” เป็นความจำเป็นอย่างน้อยอนุญาตให้ “ผู้เศร้าโศกที่ไม่ถูกยอมรับ” กลุ่มนี้ หรือทุกคนที่สัมผัส รับรู้ถึงการสูญเสียคนที่รัก มีสิทธิ์เศร้า และมีสิทธิ์ที่จะได้รับการเยียวยา

อย่าลืมว่า “การฆ่าตัวตาย” คือความตายที่แตกต่างและซับซ้อนกว่าการสูญเสียในรูปแบบอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บ หรืออุบัติเหตุ เป็นการสูญเสียที่ป้องกันไม่ได้ แต่การสูญเสียจากการฆ่าตัวตาย ทางจิตเวชอธิบายว่าเป็น “ภารกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้น” มันทำให้คนที่มีพื้นที่ชีวิตร่วมกับผู้ตาย หรือผู้ยังรอดชีวิตอยู่มักจะต้องอยู่กับคำถามมากกว่าคำตอบ เพราะเป็นการสูญเสียที่เขาเลือกเดินทางนี้ ซึ่งการ “ฆ่าตัวตายป้องกันได้” และความรู้สึกว่า “น่าจะป้องกันได้” กลายเป็นแหล่งความเจ็บปวดที่ซับซ้อนฝั่งแน่น เป็นแผลใจที่สลัดไม่เคยหลุด

นั่นหมายความว่า หากนโยบายสาธารณสุข ยังคงตั้งเป้าดูแลคนเพียงในมิติเดิม นั่นหมายความว่า ‘คนใกล้ชิดความตาย’ อีกนับแสนคนถูกทิ้งไว้ในความมืด พวกเขาไม่เคยถูกนับในสถิติ และไม่เคยถูกประเมินความเสี่ยงใด ๆ ไม่ได้รับบริการเยียวยาหลังการสูญเสีย และไม่ปรากฏในแผนยุทธศาสตร์ใด ๆ พวกเขาคือกลุ่มคนที่บทความนี้ต้องการส่องสว่างไปถึง การประเมินปัญหาที่ต่ำกว่าความจริง คือการรับประกันว่าทรัพยากรที่จัดสรรให้จะไม่มีวันเพียงพอ!!!

Image Name

“มรดกแห่งความสิ้นหวัง”: ความจริงของผู้รอดชีวิตในไทย

ความเจ็บปวดของผู้สูญเสียจากการฆ่าตัวตายนั้นแตกต่างจากการสูญเสียแบบอื่น เพราะไม่ใช่เพียงแค่ความเศร้า แต่คือการต่อสู้กับ “ตราบาป” (Stigma) ความอับอาย และความรู้สึกผิดที่กัดกินใจ จนนำไปสู่ภาวะ “ภาวะเศร้าโศกยืดเยื้อ” (Prolonged Grief Disorder – PGD) ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดให้เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง เพราะว่าในทางการแพทย์ “พื้นที่ใจ” หรือ “พื้นที่อารมณ์ความรู้สึก” ของคนใกล้ชิดคนฆ่าตัวตายมักจะประกอบไปด้วย 4 มิติที่ทับซ้อนกัน คือ

  1. ความรู้สึกผิดและความรับผิดชอบ: เป็นแกนกลางความรู้สึก พวกเขาจะหมกมุ่นกับการตั้งคำถามว่า “ทำไม?” ซ้ำ ๆ และจะย้อนทบทวนบทสนทนาและการกระทำครั้งสุดท้ายเป็นร้อยเป็นพันครั้ง พยายามค้นหา “ลางบอกเหตุ” ที่พวกเขาอาจจะพลาดไป ความคิดเช่น “ถ้าเพียงแค่ฉันรับโทรศัพท์” “ถ้าฉันไม่พูดคำนั้นออกไป” คำถามเหล่านี้ กลายเป็นสิ่งหลอกหลอน
  2. ตราบาปทางสังคม: ไม่ว่าสังคมจะเปิดกว้างเรื่องสิทธิมนุษยชนแค่ไหน แต่การฆ่าตัวตายยังคงเป็นตราบาปที่รุนแรง ที่ทำให้คนใกล้ชิดและคนที่รับรู้เรื่องราวรู้สึกอับอาบ ถูกตัดสิน และโดดเดี่ยว พวกเขาอาจต้องโกหกเกี่ยวกับสาเหตุการตายที่แท้จริง เพื่อหลีกเลี่ยงการซุบซิบนินทา หรือการถูกตำหนิจากสังคม รวมทั้งความรู้สึกผิดเชิงศาสนาก็ไม่ละเว้นพวกเขา
  3. การถูกปฏิเสธและความโกรธ: เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนและน่าอับอาย ทำให้คนใกล้ชิดผู้ตายอาจรู้สึกว่า ผู้ตาย “เลือก” ที่จะทอดทิ้งพวกเขา โดยผู้ตายเลือกที่จะหนีปัญหามากกว่าจะอยู่เคียงข้างกัน ความรู้สึกโกรธผู้ตายเกิดขึ้นทับถมอยู่บนความเศร้าโศก ซึ่งมักจะนำไปสู่ความรู้สึกผิดที่ไปโกรธคนที่เสียชีวิตแล้ว
  4. บาดแผลทางใจ: การสูญเสียในลักษณะนี้มักมีมิติของความรุนแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง หากผู้ใกล้ชิดฯ เป็นผู้พบเห็นเหตุการณ์ เป็นผู้พบศพ หรือต้องเชิญกับการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประสบการณ์นี้อาจรุนแรงเท่ากับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ และสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะ PTSD ได้ (Post Tramatic Stress Disorder)

ดังนั้น การที่ WHO กำหนดให้ “ภาวะเศร้าโศกยืดเยื้อ” (PGD) หลังการสูญเสียผ่านไป 6-12 เดือนแล้วก็ตาม)ให้เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง เพราะผู้ได้รับผลกระทบรุนแรงไม่ได้มีแค่ภาวะซึมเศร้า แต่อาจมีหลายอาการร่วมด้วย เช่น

  • การไม่ยอมรับความจริงเกี่ยวกับความตาย
  • การหลีกเลี่ยงสิ่งเตือนใจอย่างสุดขั้วว่าบุคคลนั้นได้ตายไปแล้ว
  • มีความเจ็บปวดทางอารมณ์รุนแรง เช่น ความโกรธ ความขมขื่น ฯลฯ
  • ภาวะชืดชาทางอารมณ์
  • ความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างรุนแรง

ข้อสังเกต การที่ “ภาวะเศร้าโศกยืดเยื้อ” (PGD) ถูกบัญญัติเป็น “โรค” ทางการแพทย์ ถือเป็นดาบสองคมในบริบทงานด้านสุขภาพจิตและสิทธิมนุษยชน ด้านหนึ่ง การ “เป็นโรค” ช่วยให้ความทุกข์ทรมานที่ยืดเยื้อนี้ ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ไม่ใช่แค่ “ความอ่อนแอ” หรือ “การไม่ปล่อยวาง” แต่คือสภาวะที่จิตแพทย์สามารถวินิจฉัยได้ และเปิดทางให้มีการ (ก) เบิกจ่ายสิทธิการรักษาสำหรับภาวะนี้ได้ (ข) กระตุ้นให้เกิดการวิจัยที่จำเพาะเจาะจง เพื่อนำไปสู่การบำบัดที่ถูกออกแบบเพื่อรักษาเยียวยาภาวะนี้โดยเฉพาะ และ (ค) ช่วยให้แพทย์สามารถแยกผู้ต้องการดูแลเร่งด่วน ออกจากกระบวนการเศร้าโศกตามปกติ (เพราะคนเหล่านี้มีความเสี่ยงเข้าสู่วงจรการฆ่าตัวตายได้มากกว่าคนปกติ)

แต่ในทางกลับกัน สังคมที่เต็มไปด้วยตราบาป การ “แปะป้าย” ทางจิตเวชเพิ่มอีกหนึ่งป้าย อาจกลายเป็นการ “ซ้ำเติม” ผู้ใกล้ชิดคนฆ่าตัวตาย อาจทำให้พวกเขารู้สึก “แตกสลาย” หรือ “ผิดปกติ” ยิ่งกว่าเดิม ข้อเสนอสามัญจากผู้เขียนและอาจเป็นเป้าหมายของบทความนี้ คือการรักษาสมดุล “เครื่องมือทางการแพทย” ที่สำคัญในการคัดกรองและออกแบบการรักษาไม่ใช่ “ทางออกทางสังคม” อย่างเดียว ทว่าทางออกทางสังคมคือการลดตราบาป เพื่อให้ผู้คนกล้าที่จะเข้าสู่กระบวนการบำบัดโดยไม่รู้สึกถูกตัดสิน นี่จึงจะเป็นการ “เปลี่ยนเรื่องเล่าของการฆ่าตัวตาย” ที่แท้จริง

ยิ่งไปกว่านั้น ในบริบทของสังคมไทย ผู้รอดชีวิต ผู้ใกล้ชิด และผู้รับรู้ฯ จำนวนมากไม่ได้สืบทอดแค่ความทรงจำ แต่ต้องสืบทอด “มรดกแห่งความสิ้นหวัง” ที่ไมใช่แค่การสูญเสียทางอารมณ์ แต่คือการส่งต่อความสิ้นหวังเชิงโครงสร้าง

มีเรื่องเล่าของ “เดอะแบก” ที่น่าสนใจ เช่น “ธนกฤต” ชายวัย 27 ปี ที่ทำงานวิ่งรอกสองที่เพื่อแบกรับ “หนี้ของพ่อแม่” และ “หนี้ กยศ. ของตัวเอง” หากเขาผู้เป็นเสาหลัก ตัดสินใจจบชีวิตจากแรงกดดันทางการเงิน ครอบครัวที่รอดชีวิตไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวด แต่ยังต้องเผชิญกับ “เจ้าหนี้” และ “หนี้สิน” ก้อนเดิมที่ผู้ตายทิ้งไว้ 

นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าที่เลื่อนลอย มีงานวิจัยเกี่ยวกับเกษตรกรไทย ชี้ชัดว่าปัจจัยหลักคือ ปัญหาหนี้สิน (หนี้ ธ.ก.ส., หนี้กองทุนหมู่บ้าน) และความล้มเหลวของนโยบายรัฐ (เช่น การจ่ายเงินล่าช้าในโครงการจำนำข้าว) เช่นเดียวกับรายงานข่าวช่วงโควิด-19 ระบาด ที่ภรรยาฆ่าตัวตายจากความเครียดเรื่องหนี้สินธุรกิจที่ถูกสั่งปิด

ในโลกที่โหดร้าย  แม้ว่า “เดอะแบก” จะพยายามวางแผนทิ้ง “ตาข่ายนิรภัย” (Safety Net) ทางการเงินไว้ให้ครอบครัว เช่น ทำประกันชีวิต กรมธรรม์ส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีข้อยกเว้นมาตรฐานที่ระบุว่า ไม่จ่ายผลประโยชน์หากฆ่าตัวตายภายใน 1 ปีแรก นับจากวันทำสัญญา นี่คือวงจรที่เลวร้าย ผู้รอดชีวิตถูกบังคับให้กลายเป็น “เดอะแบก” คนใหม่ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับ “ตัวกระตุ้น” คือภาะหนี้สินที่คร่าชีวิตคนรักของพวกเขาไป ในขณะที่กำลังบอบช้ำที่สุด นี่คือเหตุผลที่งานวิจัยในไทยยืนยันว่า ผู้รอดชีวิตจากการฆ่าตัวตายมีความเสี่ยงที่จะฆ่าตัวตายตามสูงกว่าคนทั่วไปถึง 3.7 เท่า

ไม่ใช่เพราะความเศร้า แต่เพราะพวกเขาถูกผลักลงไปใน “หลุมวิกฤตเศรษฐกิจ” หลุมเดียวกับผู้ตาย

กรมสุขภาพจิต: กุญแจสำคัญในการ “เปลี่ยนเรื่องเล่า”

โศกนาฏกรรมนี้ป้องกันได้ และการเยียวยาก็สามารถเกิดขึ้นได้จริง กรมสุขภาพจิต ไม่ใช่แค่หน่วยงานที่นับสถิติ แต่คือ “ผู้เล่นหลัก” ที่มีศักยภาพในการ “เปลี่ยนเรื่องเล่าของการฆ่าตัวตาย” ซึ่งเป็นธีมรณรงค์สากล ในวันป้องกันฆ่าตัวตายโลก ตั้งแต่ช่วงปี 2024-2026 และเรียกร้องให้ทลายกำแพงความเงียบและตราบาปที่ล้อมรอบประเด็นนี้

ในเรื่องนี้, กรมสุขภาพจิตได้แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการที่น่าทึ่งแล้วใน 2 มิติ คือ

  1. ด้านการป้องกัน: กรมสุขภาพจิตได้ก้าวข้ามกำแพงของกระทรวงตัวเอง ไปสู่การแก้ปัญหาที่รากเหง้าทางเศรษฐกิจ หลักฐานคือโครงการ “กู้ใจ-แก้หนี้” ที่เชื่อมต่อสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เข้ากับศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (1213) นี่คือการยอมรับเชิงนโยบายที่ยิ่งใหญ่ว่า “ยา” ที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้กลุ่มนี้ คือ “การไกล่เกลี่ยหนี้”  
  2. ด้านการเยียวยา: กรมสุขภาพจิตมี “พิมพ์เขียว” ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล เช่น
  • เครื่องมือที่พร้อมใช้: ในช่วงวิกฤตโควิด-19 กรมสุขภาพจิตได้สร้าง “คู่มือมาตรฐาน” ในการดูแลญาติผู้เสียชีวิต โดยมีการประเมินคัดกรองสุขภาพจิตครอบครัวด้วยแบบประเมินความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า แบบประเมินสภาวะการฆ่าตัวตาย (2Q, 9Q และ 8Q) นี่คือระบบที่สามารถนำมาปรับใช้กับผู้รอดชีวิตจากการฆ่าตัวตายได้ทันที   
  • ทางออกที่ถูกพิสูจน์แล้ว: งานวิจัย “Prakarn Model” ใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย โดยคณะนักวิชาการสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช คณะพยาบาล มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ทดสอบการใช้ “กลุ่มจิตบำบัดแบบประคับประคอง” (Supportive Group Psychotherapy) กับครอบครัวผู้ฆ่าตัวตาย ผลลัพธ์คือ กลุ่มบำบัดนี้สามารถ “ลดภาวะซึมเศร้าและตราบาป” ในกลุ่มผู้รอดชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ 

ผศ.เฉลิมพรรณ์ เมฆลอย อาจารย์ประจำ สำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ สาขาวิชาสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ให้ข้อมูลและถ่ายทอดประสบการณ์การทำวิจัย “Prakarn Modelไม่ใช่แค่ทฤษฎีบนกระดาษ แต่เกิดจากการลงมือทำจริงจังในพื้นที่ที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในประเทศไทย คือที่ อ.แม่จัน อ.แม่สาย จ.เชียงราย และตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ นพ.ปราการ ถมยางกูร (ขณะนี้เป็นนายกสมาคมป้องกันการฆ่าตัวตายแห่งประเทศไทย) ผู้สังเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จออกมาเป็นอักษร 6 ตัว คือ

P – People: ผู้มีส่วนร่วม ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยพลังจาก “คน” 3 กลุ่มหลักมารวมตัวกันคือ (ก) ผู้สูญเสีย ในฐานะผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง (ข) ผู้เยียวยา ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา และ (ค) ผู้กำหนดนโยบาย ผู้บริหารระดับสูงของกรมสุขภาพจิตที่ให้ความสำคัญและสนับสนุนงบประมาณ “การบำบัดกลุ่มผู้ใกล้ชิดกับการฆ่าตัวตายทำไม่ง่าย ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะผู้กำหนดโนยบาย เนื่องการปัญหา “การฆ่าตัวตายยังถูกมองเป็นเรื่องส่วนตัว” ต่างจากประเด็นปัญหโรคจิตเวชยาเสพติดที่มีผลกระทบกับสังคมเห็นได้ชัดกว่า”

“การทำโมเดลนี้ที่ อ.แม่จัน และ อ.แม่สาย สำเร็จได้ เพราะอธิบดีกรมสุขภาพจิตสมัยนั้น ลงมาดูปัญหาเองในพื้นที่ ช่วงนั้นมีเคสเด็กนักเรียนคนหนึ่งเรียนดีมาก บอกแม่ว่าอยากกินแกงขนุน แม่ไปตลาดไม่นาน กลับมาลูกฆ่าตัวตาย เป็นข่าวดังมาก อธิบดีต้องลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อรับฟังปัญหาและให้กำลังใจครอบครัวผู้สูญเสียด้วยตนเอง ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้งจากรัฐ”

R – Respect: การเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ “เราเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุก ๆ คน ไม่ว่าผู้สูญเสียนั้นจะเป็นคนยากดีมีจน คนที่มาเข้ากลุ่มทดลองหลายคนก็เป็นแม่ค้า หลายคนขาดโอกาสด้านการศึกษา เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ แต่นโครงการนี้ไม่มีการแบ่งชนชั้นทางสังคม หลังเข้ามารวมกลุ่มกันแล้ว แม่ที่สูญเสียลูกหลายคนรู้สึกว่าเขามีคุณค่าในตัวเองขึ้นมาทันที” ผศ.เฉลิมพรรณ์ เล่าเบื้องหลังว่า ก่อนเข้ากลุ่มบำบัดผู้สูญเสียมักรู้สึกว่าตนเองมี “ตราบาป” “ด้อยค่า” “ถูกสังคมรังเกียจ” การที่ทีมบำบัดให้เกียรติเขาอย่างสูงสุดคือการกู้คืนความเคารพตนเอง (Self-esteem) ของเขากลับมา เช่น 

“แม่ค้าขายผลไม้คนหนึ่ง แม้จะเป็นชาวบ้านธรรมดา การศึกษาไม่สูงนัก และอยู่ในภาวะตรอมใจจากการสูญเสียลูกสาวท้องแก่ อีก 7 วันเท่านั้นจะคลอดหลานแล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้เธอไม่ออกไปขายของอีกเลย มาอยู่ในกลุ่มบำบัดแรก ๆ ไม่พูดคุยกับใคร จนระยะเวลาผ่านไป การอยู่ร่วมกันทั้งกระบวนการบำบัดและเราให้เกียรติ คุณป้าขายผลไม้ก็กลับมาเห็นคุณค่าในตนเอง และปัจจุบันก็กลับไปทำมาหากินเป็นปกติแล้ว”

A -Attitude: การเปลี่ยนทัศนคติเชิงลบให้เป็นเชิงบวก ทั้งต่อเหตุการณ์การสูญเสีย และต่อตัวผู้สูญเสียเอง โดยเปลี่ยนจากความรู้สึก “อับอาย” “ต้องปกปิด” มาเป็น “ความเข้าใจ” “กล้าคุย” เพื่อลดกำแพงในใจ “มีภรรยาคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เธอมีทัศนคติว่าการที่สามีจากไปเป็นเรื่องน่าอับอาย จึงแจ้งสังคมว่า สามีตายเพราะ ‘หัวใจล้มเหลว’ แต่เมื่อเข้ามาในกลุ่มที่มีทัศนคติเปิดกว้าง จึงกล้ายอมรับความจริงว่าสามี ‘ฆ่าตัวตาย’” การยอมรับความจริงนี้ คือก้าวแรกของการเยียวยาที่แท้จริง

K – Knowledge: ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเป็นหัวใจสำคัญ การให้ความรู้ทางการแพทย์ (Psycho-education) ว่าการฆ่าตัวตาย มักมีสาเหตุจากโรคซึมเศร้า ซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลของ “สารเคมีในสมอง” เพื่อลบล้างความเชื่อที่ผิด ๆ ว่าการฆ่าตัวตายเกิดจาก “ความอ่อนแอ” “เรียกร้องความสนใจ” หรือ “พ่อแม่เลี้ยงลูกไม่ดี” เมื่อผู้สูญเสียรู้ความจริงข้อนี้ เขาจะเลิกโทษตัวเอง

“มีแม่คนหนึ่ง ลูกชายถูกกลั่นแกล้งในที่ทำงาน ทุกเดือนที่กลับบ้านมาเขาจะอยู่กับตัวเองเงียบ ๆ ไม่กล้าเล่าอะไรให้แม่ฟังเลย จากนั้น ฆ่าตัวตายโดยไม่บอกกล่าว แม่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอะไรเลย คิดว่าตัวเองเลี้ยงลูกไม่ดีจนลูกต้องตาย แม่เก็บรูปลูกทุกใบที่มีใส่กล่องและเก็บใต้เตียง หัวใจแตกสลายอยู่หลายปี แต่พอได้ความรู้ว่าลูกป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและถูกแรงกดดันจากภายนอกร่วมด้วย แม่จึงปลดล็อกความรู้สึกผิด และให้อภัยตัวเองได้”

A – Achievement: การมีเป้าหมายร่วมกัน ในการทดลองโมเดลนี้มีการตั้งเป้าหมายของการเยียวยาที่ชัดเจนและจับต้องได้ (Goal Seting) ว่าการมาเข้ากลุ่มนี้ ไม่ใช่เพื่อการลืมคนที่จากไป แต่คือการ “อยู่กับความทรงจำนั้นได้อย่างไม่เจ็บปวดทุกข์ทรมาน” และสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ “เช่น จากเดิมที่แม่เก็บรูปลูกไว้ ‘ใต้เตียง’ มาตลอด เพราะทำใจดูไม่ได้ หัวใจแตกสลายมาก ความสำเร็จของกระบวนการบำบัดกลุ่มนี้คือ แม่สามารถนำรูปลูกออกมา ‘เช็ดทำความสะอาดและตั้งโชว์’ อีกครั้ง โดยมองรูปลูกด้วยความคิดถึงแทนความเจ็บปวด”

N – Network:การสร้างเครือข่ายเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างความยั่งยืนด้วยการรวมกลุ่มช่วยเหลือกันเอง (Self-Helf Group) ทีมแทพย์ พยาบาลไม่สามารถอยู่ดูแลผู้สูญเสียได้ตลอดไป เมื่อผู้สูญเสียที่แข็งแรงขึ้นแล้ว เขาได้ผันตัวเองมาเป็นผู้ให้กำลังใจคนอื่นต่อไป เช่น แม่ที่สูญเสียลูกเรียนดีมาก ได้ก่อตั้งชมรมแสงเทียนส่องใจ ที่ อ.แม่สาย เป็นการรวมตัวของผู้สูญเสียที่ผ่านการเยียวยาแล้ว พวกเขาตั้งชมรมขึ้นมาเพื่อดูแลคนในชุมชนที่เพิ่งสูญเสียใหม่ ๆ และคอยสอดส่องดูแลกันเอง กลายเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งไม่ต้องพึ่งพาโรงพยาบาลตลอดเวลา

“เหตุใดโมเดลที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล จึงไม่ถูกนำไปใช้เป็นมาตรฐานระดับชาติ อะไรคือปัจจัยหรืออุปสรรคในการขยายผล” 

ผศ.เฉลิมพรรณ์ วิเคราะห์ว่า มี 3 ปัจจัยหลัก (ก) ตัวผู้สูญเสีย เป็นกลุ่มคนที่เข้าถึงยาก มักถูกสังคมตีตราไม่ต้องการเปิดเผยตัวเองเป็นทุนอยู่แล้ว หากเจ้าตัวไม่สมัครใจเข้ารับการบำบัด จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะยอมรับความสูญเสียและเดินเข้ารับการบำบัดเหมือนเดินเข้าคลินิกโรคไม่ติดต่อ (NCDs) หรือคลินิกเบาหวาน (ข) ทัศนคติเชิงนโยบาย การพยายามฆ่าตัวตาย การฆ่าตัวตาย และการบำบัดผู้ใกล้ชิดผู้ฆ่าตัวตายยังถูกมองเป็น ‘ปัญหาส่วนตัว’ มากกว่าเป็นปัญหาของสาธารณะ หรือก่อให้เกิดผลกระทบเชิงโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ทำให้คนที่อยู่ในปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าที่ควรจะเป็น และ (ค) ปัญหาเชิงเศรษฐกิจของผู้สูญเสียและข้อจำกัดของโปรแกรมการบำบัด ที่ต้องให้ผู้สูญเสียเข้ารับการบำบัดกลุ่ม 6 ครั้ง ๆ ละกว่าหนึ่งชั่วโมง บวกเวลาการเดินทางด้วย บางคนอยู่ไกลไม่สะดวกในการเดินทาง หากไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอ ก็จะหายไปกลางคันของการบำบัด กลายเป็นประเด็นที่ท้าทายทุกมิติ

นอกเหนือจากระบบของรัฐ ยังมีทรัพยากรจากภาคประชาสังคมที่ทำหน้าที่สำคัญ เช่น

  • สมาคมสะมาริตันแห่งประเทศไทย: ให้บริการ “รับฟังด้วยใจ” ผ่านสายด่วน 02-713-6793 ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังวิกฤต รวมถึงผู้รอดชีวิตที่ต้องการพื้นที่ระบายโดยไม่ถูกตัดสิน
  • มูลนิธิสถาบันและพัฒนาชุมชนกรุณา (COCO Founation): ทำงานขับเคลื่อน “โมเดลสาธารณสุขที่สนับสนุนการสูญเสีย” โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มเสี่ยงที่มีความเสี่ยงสูง หรือเผชิญความสูญเสียซับซ้อน
  • ความพยายามเชื่อมต่อกับพื้นที่สากล: ทั่วโลกมี “International Survivors of Suicide Loss Day” (ISOSLD) หรือ “วันผู้รอดชีวิตจากการฆ่าตัวตายสากล” (ก่อตั้งในสหรัฐ โดย สว. Harry Reid ผู้สูญเสียบิดาจากการฆ่าตัวตาย) ในวันเสาร์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน ก่อนถึงช่วงวันหยุดยาวประจำปี ให้เป็นวันที่ผู้สูญเสียหลายร้อยชุมชนทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่อเยียวยาและแบ่งปันประสบการณ์ของตนเอง สำหรับประเทศไทย เพิ่งมีการริเริ่มจัดงานรำลึกและแบ่งปันประสบการณ์เพียงไม่กี่ปีนี้ นัยเพื่อบอกว่าพวกเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว

ในปี 2568 นับเป็นปีที่ 6 จะมีการ “เปิดพื้นที่แห่งความหวัง HOPE” พื้นที่ที่ผู้สูญเสียจะได้พักใจ พูดคุย ทำความเข้าใจ และค่อย ๆ ก้าวต่อไป โดยสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมป้องการฆ่าตัวตายไทย สมาคมสะมาริตันแห่งประเทศไทย และสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา รวมทั้งเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้เข้าใจผลกระทบของการสูญเสียบุคคลใกล้ชิดจากการฆ่าตัวตาย วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายนนี้ เวลา 10.30-17.30 น. ณ ไอคอนสยาม ห้องประชุม 3-4 ชั้น 7 (เข้าร่วมงานฟรี)

[หมายเหตุ* ผู้เขียนเห็นกิจกรรมนี้ครั้งแรก จากการบอกเล่าผ่านเพจคลินิกหมอเจษฎา ว่าโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาฯ โดยสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยจัดกระบวนการบำบัดกลุ่มขึ้นเพื่อให้ผู้ใกล้ชิดคนฆ่าตัวตายได้มาพบปะและรำลึกถึงความสูญเสียร่วมกัน เมื่อปีที่ผ่านมาในวันที่ 23 พฤศจิกายน เพื่อคลี่คลายความทุกข์และเยียวยาตัวเองออกมา จึงใช้เวลาล่วงเลยเกือบ 1 ปี กว่าจะจบบทความนี้ได้]

จาก “โชคชะตา” สู่ “สิทธิพื้นฐาน”: ภารกิจที่รออยู่

นี่คือหัวใจของเรื่องทั้งหมด เรามีประชากรที่มองไม่เห็นเกือบ 700,000 คน ที่เกิดขึ้นใหม่ทุกปี เรามี “ยาถอนพิษ” ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล (กลุ่มบำบัด) และเรามีหน่วยงาน (กรมสุขภาพจิต) ที่มีทั้งพิมพ์เขียว และยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการเข้าถึงบริการ ตั้งเป้าดึงผู้พยายามฆ่าตัวตายเข้าระบบ 20,000 คนในปี 2568

ช่องว่าง ที่เหลืออยู่คือ การที่บริการเยียวยาในไทยยังคงเป็นเหมือน “การเสี่ยงโชคตามพื้นที่” (Postcode Lottery) ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่วิจัย หรือในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมหมู่ แต่ยังไม่ได้เป็น “มาตรฐานการบริการ” ระดับชาติ

ภารกิจในการ “เปลี่ยนเรื่องเล่า” ครั้งนี้ จึงอยู่ที่การผลักดันให้กรมสุขภาพจิตและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะนำ “พิมพ์เขียว” ที่มีอยู่ มาทำให้เป็น “กิจวัตร” (Routine) ไม่ใช่ “ภาวะพิเศษ” (Crisis Response)

เราต้องสร้างระบบที่เมื่อมีการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายเกิดขึ้น 1 ครั้ง “ผู้รอดชีวิต” (ครอบครัว, คนใกล้ชิด, ผู้สูญเสีย) จะต้องถูกประเมินและเสนอทางเลือกในการเข้ากลุ่มบำบัดโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเขาจมอยู่กับความรู้สึกผิดและตราบาปเพียงลำพัง จนกลายเป็นสถิติรายต่อไป

เสียงที่ถูกฝังเหล่านี้ รอคอยนานเกินไปแล้ว
และถึงเวลาที่ระบบสาธารณสุขและสังคมไทยต้องได้ยินพวกเขา.


อ้างอิง


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Author

Alternative Text
AUTHOR

ฐิตินบ โกมลนิมิ

อดีตนักข่าวกระทรวงสาธารณสุข ผู้คลุกคลีในสนามข่าวสีแดงชายแดนใต้ เป็นทั้งนักมนุษยวิทยา นักสตรีศึกษา และนักสันติศึกษา ที่ใช้การเขียนเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง