ตลอดเดือนพฤศจิกายน หากเป็นต่างประเทศ คุณอาจเห็นชายหลายคนไว้หนวดในรูปทรงแปลกตา นั่นไม่ใช่แฟชั่นที่บังเอิญเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่คือสัญลักษณ์สากลของเดือน Movember การเคลื่อนไหวระดับโลกที่เริ่มต้นด้วยแนวคิดง่ายๆ ว่า “การไว้หนวด” จะเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาที่ผู้ชายไม่เคยกล้าพูด เรื่องสุขภาพของพวกเขา โดยเฉพาะสุขภาพจิตและการป้องกันการฆ่าตัวตาย (รวมทั้งเรื่องมะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งอัณฑะ)
หนึ่งในสถิติที่ Movember ใช้ขับเคลื่อนการรณรงค์ คือตัวเลขที่ทำให้โลกต้องหยุดนิ่ง ทั่วโลก เราสูญเสียผู้ชายจากการฆ่าตัวตาย 60 คน ในทุก 60 นาที
ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่ข้อมูลลอย ๆ แต่วันหนึ่งอาจเป็นคือใบหน้าของพ่อ, พี่ชาย, ลูกชาย และเพื่อน… (ของคุณ) หนึ่งคนในทุกนาที
แต่เมื่อเรานำ ‘มุมมองสากล’ นี้ส่องกลับมายังประเทศไทย กลับพบวิกฤตที่เงียบงันและรุนแรงยิ่งกว่า

4.2 เท่า: ความจริงที่กรีดร้องในความเงียบของสังคมไทย
ในขณะที่ทั่วโลกมี “ความขัดแย้งทางเพศ” (Gender Paradox) ที่ผู้ชายฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2.1 เท่า ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิตของไทย (พ.ศ. 2566) กลับเผยให้เห็นความจริงที่น่าตกใจยิ่งกว่า เพราะในประเทศไทย ผู้ชายมีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงกว่าผู้หญิงถึง 4.2 เท่า ช่องว่างนี้กว้างกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึงสองเท่า และตัวเลข 5,172 ชีวิตที่ดับลง ในปีงบประมาณ 2566 ไม่ใช่แค่สถิติ แต่คือ 5,172 เรื่องราวที่จบลงในความเงียบ
ใบหน้าของตัวเลข: เรื่องเล่าของ “เดอะแบก” ที่ล้มลง
“ใคร” คือคนในสถิติเหล่านั้น แน่นอน, งานวิจัยต้องทำแต่คำตอบคงเดินทางนานกว่าที่คิด หากตอบแบบเร็ว ๆ มองไปที่ข่าวอาชญากรรมที่เราอ่านผ่าน ๆ ทุกวัน เช่น
- มีนาคม 2562: อดีตพนักงานธนาคาร ลาออกจากงานและมีอาการเครียดจากปัญหาต่าง ๆ เขาตัดสินใจรมควันในรถ
- ตุลาคม 2567: หนุ่มเจ้าของโชว์รูมรถยนต์วัย 49 ปี ใช้อาวุธปืนฆ่าตัวตายในรถ พ่อของเขาระบุสาเหตุว่า ลูกชายเครียดจากปัญหาหนี้สิน และพยายามกู้ธนาคารหลายครั้งแต่ไม่ผ่าน
- พฤศจิกายน 2567: หนุ่มช่างไฟวัย 41 ปี ผูกคอเสียชีวิต เขาทิ้งจดหมายลาไว้สั้น ๆ ว่า “เหนื่อยมามาก ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้” ภรรยาของเขาเล่าว่าสามีเครียดหนักจากหนี้สินกว่า 100,000 บาท และรถยนต์เพิ่งถูกยึดไป
เรื่องราวเหล่านี้มีแกนร่วมที่น่าสะพรึงกลัว นั่นคือ “ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ” และตัวตนที่ผูกติดอยู่กับบทบาท “เสาหลักของครอบครัว” หรือที่สังคมไทยเรียกว่า “เดอะแบก” สำหรับผู้ชายที่ถูกหล่อหลอมด้วยบรรทัดฐานความเป็นชายดั้งเดิม การตกงาน, การถูกยึดรถ, หรือการกู้เงินไม่ผ่าน ไม่ใช่แค่ปัญหาการเงิน แต่คือ “วิกฤตตัวตน” (Identity Crisis) คือความล้มเหลวในบทบาท “ผู้หาเลี้ยง” ที่สังคมคาดหวัง

ทำไมพวกเขาถึงไม่พูด: ถอดรหัส “หน้ากากของความเข้มแข็ง”
คำถามที่เจ็บปวดที่สุดคือ ทำไมพวกเขาถึงไม่ขอความช่วยเหลือ? คำตอบอยู่ในรายงานระบาดวิทยาสุขภาพจิตของคนไทยระดับชาติฉบับล่าสุด (เผยแพร่ปี 2567) ที่ชี้ให้เห็นความจริงที่ขัดแย้งกันอย่างสุดขั้ว 2 ประการ คือ (ก) ความชุกของปัญหา: ผู้ชายไทยมี “ความชุก” ของโรคจิตเวชและปัญหาสุขภาพจิต สูงกว่าผู้หญิง 2.8 ถึง 3 เท่า และ (ข) การเข้าถึงบริการ: แต่ในกลุ่มผู้มีปัญหานี้ มีเพียง 3.7% เท่านั้นที่เข้ารับการรักษากับบุคลากรสุขภาพจิต
พวกเขาคือกลุ่มที่เสี่ยงที่สุด แต่เข้าถึงการช่วยเหลือน้อยที่สุด เพราะอะไร?
ใช่หรือไม่? เพราะกรอบคิด “ความเป็นชาย” และแนวคิด “ภาวะความเป็นชายที่เป็นพิษ” (Toxic Masculinity) ที่แฝงฝังเป็นระบบคิดของสังคมไทย สร้างบรรทัดฐานทางสังคมที่ว่า ผู้ชายต้องเข้มแข็ง อดทน และห้ามแสดงความอ่อนแอ ในบริบทนี้ การยอมรับว่าตนเองมีปัญหาสุขภาพจิต หรือการร้องขอความช่วยเหลือ ถูกตีความว่า “ขาดความเป็นชาย” สิ่งนี้สร้าง “กำแพงแห่งความเงียบ” ที่ขัดขวางไม่ให้ผู้ชายเข้าสู่ระบบบริการสุขภาพจิต
รวมทั้ง การสอนให้ผู้ชาย “ห้ามร้องไห้” ภาวะซึมเศร้าในผู้ชายจึงมักไม่ปรากฏในรูปแบบที่เราคุ้นเคย แต่แสดงออกในทางตรงกันข้าม คือ “ภาวะซึมเศร้าใต้หน้ากาก” (Masked Depression) แทนที่จะเผชิญหน้ากับความรู้สึก ผู้ชายมักใช้พฤติกรรมอื่นเพื่อ “หลีกเลี่ยง” หรือ “กลบเกลื่อน” ความเจ็บปวด พฤติกรรมเหล่านี้ ได้แก่
- แทนที่จะร้องไห้ พวกเขากลับ โมโหง่าย ก้าวร้าว หรือเดือดดาล
- แทนที่จะแยกตัว พวกเขาอาจ โหมทำงานหามรุ่งหามค่ำ (ซึ่งสังคมอาจมองผิดไปว่าเป็นความขยัน)
- แทนที่จะพูดว่า “เศร้า” พวกเขาอาจบ่นเรื่อง อาการทางกาย เช่น ปวดหัวเรื้อรัง อ่อนเพลีย หรือนอนไม่หลับ
- พวกเขาพยายาม “หลีกเลี่ยง” ความรู้สึกตัวเองด้วยการ ดื่มสุราหรือใช้สารเสพติด (ซึ่งข้อมูลกรมสุขภาพจิตยืนยันว่า การดื่มสุราเพิ่มโอกาสฆ่าตัวตายในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 2 เท่า)
หรือเรากำลังรอสัญญาณเตือนที่ผิดประเภท เรากำลังรอให้พวกเขา “พูดว่าอยากตาย” เหมือนกลุ่มผู้ป่วยซึมเศร้าทั่วไป (ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะส่งสัญญาณชัดเจนออกมา) แต่สัญญาณเตือนที่แท้จริงของพวกเขาคือ “ความหงุดหงิด” หรือ “การทำงานหนักจนร่างกายพัง”
เมื่อความเงียบระเบิดออก: โศกนาฏกรรม “ฆ่ายกครัว”
มีเรื่องเล่าอีกประเภทที่มักผูกติดกับผู้ชายและปัญหาหนี้สิน นั่นคือโศกนาฏกรรม “ฆ่ายกครัว” สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องเข้าใจคือ นี่ “ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย” (Suicide) แต่คือ “การฆาตกรรมและการฆ่าตัวตาย” (Homicide-Suicide)
นี่คือจุดที่ “เดอะแบก” ไม่เพียงแค่ล้มลง แต่ได้บิดเบือนบทบาท “ผู้พิทักษ์” ของตัวเองไปสู่จุดที่มืดมนที่สุด งานวิจัยทางอาชญาวิทยาและจิตเวช อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเกิดจากตรรกะที่บิดเบือนอย่างรุนแรง ซึ่งมักพบในเพศชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อเผชิญกับความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ (เช่น หนี้สินท่วมท้น) 2 ประเด็นสำคัญ คือ
- การควบคุมที่บิดเบือน (Possessive Control): ผู้กระทำมองครอบครัว ลูก เมีย เป็น “ทรัพย์สิน” หรือส่วนหนึ่งของตัวเขาเองที่ครอบครองไว้ เมื่อเขาล้มเหลวและตัดสินใจจะไป เขาจะไม่ทิ้ง “ทรัพย์สิน” ของเขาไว้ให้เผชิญความอับอายหรือเป็นของคนอื่น
- การปกป้องที่บิดเบือน (Pathological Altruism): เขาเชื่ออย่างจริงจังว่าโลกนี้โหดร้ายเกินไป (เช่น เจ้าหนี้ที่คุกคาม) ดังนั้น การ “ปลดปล่อย” ภรรยาและลูกให้พ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ คือการปกป้องครั้งสุดท้ายของเขา
นี่คือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดของการผูกติด “ความเป็นชาย” ไว้กับ “อำนาจและการควบคุม” แต่เพียงอย่างเดียว

จาก Movember สู่ “การเคลื่อนไหว” ของสังคมไทย
การรณรงค์เดือน Movember ในทุกเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ไม่ได้จบที่การไว้หนวด แต่ยังมีการรณรงค์ “Move for Movember” ที่ท้าให้ผู้คนเดินหรือวิ่ง 60 กิโลเมตร เพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึง 60 ชีวิตที่สูญเสียไปในทุกชั่วโมง
สำหรับสังคมไทย “การเคลื่อนไหว” (Move) ที่เร่งด่วนที่สุด คือการทลายกำแพงแห่งความเงียบนี้ เราต้องเปลี่ยนบทสนทนาจาก “การกล่าวโทษ” ผู้ชายว่าทำไมไม่อ่อนแอ ไปสู่ “การตั้งคำถาม” ต่อระบบและสังคมที่กดทับพวกเขาไว้
เราต้องตระหนักว่า ภาวะซึมเศร้าของผู้ชายอาจดูเหมือน “ความก้าวร้าว” และความพยายามของพวกเขาอาจดูเหมือน “การโหมงานหนัก”
สิ่งที่เราทำได้ทันที ไม่ใช่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่คือการเป็น “มนุษย์”
อย่ากลัวที่จะถาม การถามไถ่คนที่คุณรักด้วยความห่วงใยว่า “ช่วงนี้เหนื่อยไหม” “ไหวหรือเปล่า” ไม่ใช่การกระตุ้นให้เขาคิดสั้น แต่คือการ “เปิดโอกาส” ให้เขาได้ระบายความทุกข์ คือการยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้แบกโลกไว้คนเดียว
ทุกวันนี้ ประเทศไทยมีผู้พยายามฆ่าตัวตายเฉลี่ย 85 คนต่อวัน การรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ และไม่มีท่าทีตำหนิตัดสิน คือ “สะพาน” ที่ทรงพลังที่สุดที่จะช่วยให้พวกเขาข้ามผ่าน “จังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อ” แห่งความสิ้นหวังนั้นไปได้
เพราะ 5,172 ชีวิตที่สูญเสียไป… คือ 5,172 เรื่องราวที่ป้องกันได้
ทางออก: ทลายกำแพงแห่งความเงียบ ด้วยวาระแห่งชาติ “สุขภาพจิตชายไทย”
สถานการณ์ข้างต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า วิกฤตสุขภาพจิตชายไทยนั้นรุนแรงเพียงใด เราสูญเสียผู้ชายจากการฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิงถึง 4.2 เท่า ไม่ใช่เพราะพวกเขาอ่อนแอ แต่เพราะพวกเขากำลัง “ทุกข์ทรมานในความเงียบ”
ปัญหาคือ กรอบคิด “ความเป็นชาย” ได้สร้างกำแพงที่ขวางกั้นพวกเขากับระบบบริการสุขภาพ ผู้ชายไม่มาหาหมอด้วยอาการ “ซึมเศร้า” แต่พวกเขามาด้วยอาการ “ปวดหลัง” “นอนไม่หลับ” หรือแสดงออกด้วย “ความหงุดหงิด” และ “การโหมทำงานหนัก”
นี่คือความล้มเหลวเชิงระบบที่แท้จริง เพราะระบบคัดกรองสุขภาพจิตของเรากำลังรอฟัง “ภาษาของความเศร้า” ในขณะที่ผู้ชายกำลังพูดด้วย “ภาษาของความเจ็บปวดทางกาย”
การแก้ไขปัญหานี้ จึงไม่สามารถผูกขาดไว้ที่กรมสุขภาพจิต ซึ่งมีแผนปฏิบัติการที่เข้มแข็งในการเพิ่มการเข้าถึงบริการอยู่แล้ว (เช่น ตั้งเป้าดึงผู้พยายามฆ่าตัวตายเข้าระบบ 20,000 คนในปี 2568) แต่ลำพังกรมสุขภาพจิต ไม่สามารถทลาย “กำแพงทางวัฒนธรรม” นี้ได้
นี่คือข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะ 5 ด้าน ที่ต้องอาศัยการ “บูรณาการ” จากทุกกระทรวง เพื่อสร้างตาข่ายความปลอดภัยที่โอบรับผู้ชายในทุกมิติของชีวิต ได้แก่
1. กระทรวงสาธารณสุข: “เปลี่ยนจุดนัดพบ” จากคลินิกจิตเวช สู่คลินิกโรคเรื้อรัง
ตระหนัก: ผู้ชายที่เสี่ยงฆ่าตัวตาย ไม่ได้อยู่ที่คลินิกจิตเวช พวกเขาอยู่ที่ คลินิก NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) เพื่อรับยาความดัน เบาหวาน พวกเขาคือคนที่มาด้วยอาการปวดหัวเรื้อรัง อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ
ทางออก: ต้อง “ฝัง” บริการสุขภาพจิตไว้ในระบบสุขภาพปฐมภูมิ ปฏิรูปเครื่องมือคัดกรองให้ไวต่อ “อาการซึมเศร้าแฝง” ที่มาในรูปอาการทางกาย และเสริมพลัง อสม. ให้ทำ “การค้นหาเชิงรุก” ในชุมชน ไม่ใช่แค่นั่งรอในโรงพยาบาล
2. กระทรวงแรงงาน: เปลี่ยนโฟกัสจาก “ยาเสพติด” สู่ “ภาวะหมดไฟ”
ตระหนัก: “เดอะแบก” ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตใน “ที่ทำงาน” ผลสำรวจชี้ว่าคนทำงานไทยเกือบครึ่ง (49.8%) รู้สึกว่าตนเองทำงาน มากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน และมีภาวะหมดไฟสูง แต่แผนปฏิบัติการของกระทรวงแรงงานกลับเน้นหนักที่การตรวจ “ยาเสพติด” โดยแทบไม่พูดถึง “ภาวะหมดไฟ” เลย
ทางออก: กระทรวงแรงงานต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์ว่า การใช้สารเสพติด หรือความก้าวร้าว มักเป็น “อาการ” ของภาวะหมดไฟ ต้องยกระดับ “ความปลอดภัยทางจิตสังคม” (Psychosocial Safety) ให้เป็นวาระหลัก และขยายผลการอบรม HR ให้เป็น “ที่ปรึกษาสุขภาพแบบองค์รวม” (Holistic Health Advisor) เพื่อสร้างกลไกเฝ้าระวังและช่วยเหลือในองค์กร ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
3. กระทรวงการคลัง และ ธนาคารแห่งประเทศไทย: “กู้ใจ” ต้องมาก่อน “แก้หนี้”
ตระหนัก: “หนี้สิน” คือรากเหง้าของความเครียดที่คร่าชีวิตคนไทย จิตแพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช ยืนยันเองว่า “ปัจจุบันลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้สินได้กลายเป็นคนไข้กลุ่มใหญ่ของแผนกจิตเวช”
ทางออก: แพทย์มีเพียง “ยาคลายเครียด” (รักษาอาการ) แต่กระทรวงการคลังและ ธปท. ถือ “ยาถอนพิษ” (การแก้หนี้) ต้องยกระดับความร่วมมือ “กู้ใจ-แก้หนี้” ให้เป็นวาระแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ “คลินิกแก้หนี้” คือด่านหน้าที่พบบุคคลเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงที่สุด พวกเขาต้องได้รับการอบรมการปฐมพยาบาลทางใจ และต้องมีการเชื่อมต่อสายด่วน 1213 (การเงิน) และ 1323 (สุขภาพจิต) อย่างเป็นระบบอัตโนมัติ
4. กระทรวงศึกษาธิการ: สร้าง “ความฉลาดทางอารมณ์” (EQ) ให้เด็กผู้ชาย
ตระหนัก: วิกฤตนี้เริ่มต้นในวัยเด็ก วันที่เราสอนเด็กผู้ชายว่า “อย่าร้องไห้” เรากำลังปลูกฝัง “บรรทัดฐานความเป็นชายที่เป็นพิษ” (Toxic Masculinity) ที่ทำให้พวกเขาโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ
ทางออก: นโยบายการศึกษาปี 2568 มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพจิต แต่นั่นต้องไม่ใช่แค่การตรวจสุขภาพจิต ต้องคือการ “สร้างภูมิคุ้มกัน” ต้องบรรจุหลักสูตร “ความฉลาดรู้ทางอารมณ์” (Emotional Literacy) เข้าไปในหลักสูตรแกนกลาง สอนให้เด็กผู้ชายเข้าใจว่าการตระหนักรู้ในอารมณ์ การจัดการความเครียด และการขอความช่วยเหลือ คือทักษะของ “ผู้ที่เข้มแข็ง” ไม่ใช่ “ผู้อ่อนแอ”
5. กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ (พม.): สร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ที่ไม่ตีตรา
ตระหนัก: ผู้ชายกลุ่มเปราะบางที่สุด (ว่างงาน, ไร้บ้าน, มีปัญหากับครอบครัว) จะตกหล่นจากทุกระบบ พวกเขาไม่ไปโรงพยาบาล และไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม
ทางออก: พม. ต้องเป็นเจ้าภาพร่วมกับกรมสุขภาพจิตในการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ที่ ไม่รู้สึกเหมือนไปหาหมอ ต้อง “ลดการตีตรา” โดยประยุกต์ใช้ปรัชญา “ชุมชนล้อมรักษ์” (CBTx) ที่เปลี่ยนผู้เสพยา (อาชญากร) เป็นผู้ป่วย มาสู่ปัญหาสุขภาพจิต สร้างพื้นที่ให้ผู้ชายมาพบปะพูดคุย ทำกิจกรรม โดยไม่ถูกแปะป้ายว่าเป็น “คนบ้า” หรือ “คนอ่อนแอ”
บทสรุปส่งท้าย: จาก “Movember” สู่ “Movement”
Movember ไม่ใช่แค่การไว้หนวด แต่คือการ “เคลื่อนไหว” (Movement) การแก้ปัญหาสุขภาพจิตชายไทยไม่ใช่การบอกให้ผู้ชาย “เข้มแข็งขึ้น” แต่คือการที่สังคมต้อง “แข็งแรงพอ” ที่จะโอบอุ้มพวกเขา
เราไม่สามารถเรียกร้องให้ “เดอะแบก” วางภาระลงได้ หากทั้งสังคมยังคงยัดเยียดภาระนั้นให้เขา เราต้องเปลี่ยนคำถามจาก “ทำไมเขาไม่พูด?” เป็น “เราได้สร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยพอให้เขาพูดแล้วหรือยัง?”
การทลายกำแพงแห่งความเงียบนี้ คือหน้าที่ของพวกเราทุกคน
อ้างอิง
- Movember 2025 – Men’s Health Awareness Month. https://www.awarenessdays.com/awareness-days-calendar/movember-mens-health-awareness-month/
- รายงานสถานการณ์การฆ่าตัวตายในประเทศไทย ปีงบประมาณ 2566. ศูนย์เฝ้าระวังป้องกันการฆ่าตัวตายไทย. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
- List of countries by suicide rate
- สลด!อดีตหนุ่มแบงก์เครียด จุดเตาถ่านรมควันเสียชีวิตคารถเก๋ง2วันไม่มีใครรู้. แนวหน้า. 5 เมษายน 2562
- หนุ่มเจ้าของโชว์รูมรถ ดับสลดในเก๋ง หลังเครียดปัญหาหนี้สิน. มติชนรายวัน. 4 ตุลาคม 2567
- หนุ่มช่างไฟทิ้งจดหมายลา ก่อนผูกคอดับ สาเหตุหนี้สินล้น-รถถูกยึด. ช่อง 7. 12 พฤศจิกายน 2567
- กรมสุขภาพจิต เผยคนไทยคิดสั้นชม.ละ 6 คน. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
- ความชุกโรคจิตเวชและปัญหาสุขภาพจิตของคนไทย: ผลสำรวจระบาดวิทยาสุขภาพจิตของคนไทยระดับชาติ ปี พ.ศ. 2566. กรมสุขภาพจิต
- หยุดปลูกฝัง “Toxic masculinity” ผ่านการเลี้ยงดูลูกของคุณ
- โรคซึมเศร้า… ภัยเงียบของผู้ชาย. โรงพยาบาลมนารมย์
- Homicide-Suicide in Thailand: A Study of Newspaper Reports, 2017 – 2021
- Familicide: Risk F amilicide: Risk Factors, Char ors, Characteristics of the Off acteristics of the Offender, Characteristics of the Crime of F acteristics of the Crime of Familicide, and the Pr amilicide, and the Prevalence of alence of Suicide Following Familicide
- แผนปฏิบัติราชการกรมสุขภาพจิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568. กรมสุขภาพจิต.
- การจัดการโรคซึมเศร้าในผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง. ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 (2564): วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอร์ทเทิร์น
- แนวทางการบูรณาการงานสุขภาพจิตกับระบบสุขภาพปฐมภูมิ. กองส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพจิต. กรมสุขภาพจิต.
- คนทำงานในประเทศไทยมีความสุขจริงหรือ?: ผลสำรวจเผยความท้าทายของแรงงานไทยในยุคเปลี่ยนผ่านทางประชากร. ศูนย์วิจัยความสุขคนทำงานแห่งประเทศไทย. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
- โครงการสร้างเสริมศักยภาพของเจ้าหน้าที่ทรัพยากรบุคคล ในการส่งเสริมสุขภาพจิตของแรงงานในสถานประกอบกิจการ. โดยศูนย์สุขภาพจิต เขต 3 กรมสุขภาพจิต. (2565)
- จากโควิดสู่วิกฤติเศรษฐกิจกับภารกิจช่วยเหลือลูกหนี้ครบวงจรยิ่งขึ้น. ธนาคารแห่งประเทศไทย
- คู่มือแก้หนี้ครบ จบในเล่มเดียว. ความร่วมมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและกรมสุขภาพจิต. 2564
- รายงานระบบสุขภาพไทย ภายใต้ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ.2565 หมวดสุขภาพจิต

