การล่มสลายของ ‘ชนชั้นกลาง’ : เมื่อการเป็นคนธรรมดา ไม่พอให้อยู่รอดในโลกที่ผิดปกติ

ในสังคมที่ ความจน ไม่ใช่ความล้มเหลวของปัจเจก แต่คือผลจากโครงสร้างที่กดทับอย่างต่อเนื่อง เราจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากความสงสารเฉพาะบุคคล ไปสู่ ความเข้าใจในระบบ การคลี่คลายปัญหาไม่ควรจบที่การช่วยเหลือเชิง เวทนานิยม แต่ต้องก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผ่านนโยบายที่เปิดโอกาสให้ คนจนเมือง มีทางเลือกในการใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี

โดยอาศัยการร่วมแรงจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคธุรกิจ เอกชน และ ภาคประชาชน ซึ่งต้องมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อเอาชนะความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่เลี้ยงไข้ให้โรคร้ายบานปลาย

แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ ความเข้าใจที่ต้องเริ่มจากการ มองเห็น และ รับฟัง เสียงของผู้ที่อยู่ในวังวนโครงสร้างที่ทำให้พวกเขาหนีไม่พ้นความจนนั้นเอง เพราะสิ่งนี้ทำให้นิทรรศการ “เท่าหรือเทียม : เส้นทางความเหลื่อมล้ำ คนจนเมือง” จึงไม่ใช่แค่งานจัดแสดง แต่คือการเปิดพื้นที่ให้เรื่องราวของคนจนเมืองได้ปรากฏอย่างมีพลัง และไม่ใช่แค่ต้องการให้สังคมเพียงสงสาร แต่ขอให้เข้าใจ และพร้อมร่วมเปลี่ยนแปลงปัญหานี้ให้ดีขึ้น

รู้สึกรู้สากับ ‘ความจน’ ผ่านนิทรรศการ ‘เท่าหรือเทียม’

และดูเหมือนว่าการรับรู้เรื่องราวคนจนเมืองนี้ กำลังส่งผ่านมุมมองของทั้ง สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และ ศ.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษากรรมการบริหาร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่มีโอกาสแวะมาชมนิทรรศการ ในช่วงโค้งสุดท้ายของการจัดงานที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

เพียงแค่ชื่อนิทรรศการ เท่าหรือเทียม ก็ชวนให้ ศ.สมพงษ์ คิดตามว่าเป็นการเล่นความหมายที่น่าสนใจ ชวนให้นึกต่อไปว่า ความเท่าเทียมในสังคมไทยที่พูด ๆ กันนั้น เท่าเทียมแล้วหรือไม่ ? หรือยังมีความเหลื่อมล้ำปรากฏให้เห็นอยู่

ศ.สมพงษ์ ยังชี้ให้เห็นว่า ความจน และ ความเหลื่อมล้ำ เปรียบเสมือนพี่น้องกัน โดยความจนเป็นพี่ ส่วนความเหลื่อมล้ำเป็นน้อง ทั้งสองเกิดขึ้นควบคู่กันในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน แม้จะมีความพยายามแก้ไขปัญหานี้มาตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 จนถึงฉบับที่ 14 แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่ คนจนก็ยังคงจนเหมือนเดิม คนเสี่ยงจนก็เสี่ยงตกไปในเส้นล่างความยากจนมากขึ้นเรื่อย ๆ

“เหมือนที่นิทรรศการนี้พยายามบอกว่า สังคมไทยรับรู้เรื่องความยากจน แต่ไม่รู้สึกอะไรกับมัน คนข้างบนไม่มองว่ามันเป็นเรื่องของตัวเอง มองเป็นเรื่องปกติ เรื่องของเวรกรรม จนเราไม่รู้สึกว่าต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ทั้งที่จริง ๆ ความเหลื่อมล้ำ คือ กระดูกสันหลังของปัญหาทั้งหมด และคนจนก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองมาตลอด”

ศ.สมพงษ์ จิตระดับ

ในขณะที่นิทรรศการเท่าหรือเทียม จากมุมมองของ สมชัย ก็ยอมรับว่า พื้นที่นิทรรศการนี้ชวนให้เราฉุกคิดว่า ชีวิตของคน ๆ หนึ่งจะเผชิญปัจจัยเสี่ยงได้มากเพียงใด ผ่านเรื่องราวของคนจนเมือง ผู้เป็นหลักฐานยืนยันว่าคนจนเมืองมีอยู่จริง ซึ่งปัจจุบันทางออกหนึ่งคือการจัดสวัสดิการสังคม แต่ภาพจำที่สังคมมีต่อคนจนเมืองกลับยังยึดอยู่กับแนวคิดเรื่อง การสงเคราะห์ ซึ่งทำให้การลงทุนในระบบสวัสดิการดูเหมือนไม่คุ้มค่า

โจทย์ที่ต้องสื่อสารกันต่อไป คือเรื่องของ โอกาส ซึ่งนิทรรศการนี้พยายามสื่อสารให้เข้าถึง เพราะโอกาสจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีนโยบายรองรับ

“ผมเคยถามชาวสวิสเซอร์แลนด์คนหนึ่งว่า จ่ายภาษีเยอะแล้วไม่รู้สึกแย่เหรอ ? เขาตอบว่าไม่เลย เพราะภาษีนั้นทำให้เขาได้อยู่ในสังคมที่เท่าเทียม และเขารู้สึกดีกับมัน… นี่คือสังคมที่เห็นคุณค่าของความเท่าเทียม ซึ่งนิทรรศการนี้พยายามชวนเรากลับมาตั้งคำถามกับสังคมไทยว่า เราให้ความสำคัญกับสิ่งนี้แค่ไหนกันแน่

สมชัย จิตสุชน

‘คนจน’ สู่ปัจจัยการล่มสลายของ ‘ชนชั้นกลาง’

แน่นอนว่าปัจจัย หรือโครงสร้างที่กดทับคนจนเมือง ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในพื้นที่ของกลุ่มคนเปราะบาง ผู้ยากไร้ หรือคนชายขอบเท่านั้น หากแต่กำลังลุกลามเข้าสู่ ชนชั้นกลาง ที่เคยเชื่อว่าตนเอง ปลอดภัย อย่างเงียบ ๆ

ความท้าทายมากมายในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กำลังเผยให้เห็นว่าชนชั้นกลางจำนวนไม่น้อย เริ่มค่อย ๆ สูญเสียพื้นที่ยืนของตนเอง นี่จึงอาจเป็นโอกาสที่ทำให้เราต่อยอดการรับรู้จากนิทรรศการเท่าหรือเทียม ไปสู่การตั้งคำถามใหม่ว่า การล่มสลายของชนชั้นกลาง อาจไม่ได้เป็นผลจากความล้มเหลวเฉพาะบุคคล แต่คืออาการที่เกิดขึ้นจากระบบเดียวกัน ที่กำลังเล่นงานคนจนเมืองให้ไร้ซึ่งทางเลือก

การล่มสลายของชนชั้นกลางเก่า เกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างที่กดดันให้ผู้คนเลิกฝันถึงสังคมที่ยุติธรรมและเกื้อกูลกัน แต่กลับต้องหันไปพึ่งพาตัวเองอย่างโดดเดี่ยว ภายใต้สภาพสังคมเมือง ที่ผู้คนต่างคนต่างอยู่อาศัย ขาดการเกื้อกูลช่วยเหลือกัน การรวมตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบหรือโครงสร้างกลายเป็นเรื่องยาก เพราะผู้คนไม่เชื่อว่าการรวมพลังต่อสู้จะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่แท้จริงอีกต่อไป เหมือนดังที่ปรากฎในอดีตที่ผ่านมา

โลกโซเชียลมีเดีย และ ความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้ประชาชนแตกแยกกันจนมองไม่เห็นเป้าหมายร่วม ความขัดแย้งที่รุนแรงทำให้คนจำนวนมากจำใจเลือกสิ่งที่เลวน้อยกว่า แทนที่จะชวนกันจินตนาการถึงภาพสังคมที่ดีกว่า รวมถึง ความฝันที่จะมีรัฐบาลที่แก้ปัญหาเพื่อประชาชนทั้งประเทศจึงเริ่มเป็นเรื่องที่ยากจะฝันถึง ในขณะที่รัฐเองก็ละทิ้งบทบาทการสร้างหลักประกันความมั่นคง ทำให้ประชาชนต้องต่างคนต่างหาทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง

สภาพสังคมเช่นนี้ ทำให้คนที่มี ต้นทุนมนุษย์ (Human Capital) อยู่ในระดับต่ำเอาตัวรอดได้ยากมาขึ้นเรื่อย ๆ กล่าวคือ คนที่ขาดโอกาสทางการศึกษา ขาดโอกาสในการทำงาน ขาดโอกาสอาศัยอยู่ในชุมชนที่ปลอดภัย หรือแม้กระทั่งการขาดโอกาสในการมีส่วนร่วมทางการเมือง คนกลุ่มนี้จะปรับตัวและอยู่รอดได้ยากขึ้นในวันพรุ่งนี้

และไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาไม่พยายามจะดิ้นรนต่อสู้ แต่เพราะโครงสร้างทางสังคม ไม่เผื่อแผ่เครื่องมือใด ๆ ให้พวกเขาติดตัวและเอาตัวรอดได้ ชนชั้นกลางจึงต้องพยายามเอาตัวรอดทั้งในแง่เศรษฐกิจและสุขภาพ กลายเป็นสังคมที่แต่ละคนต่างไล่ล่าความมั่นคงอย่างเดียวดาย โดยไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับความฝันร่วมใด ๆ อีกเลย

กับดักที่ทำให้รัฐสวัสดิการไม่มีทางเกิดขึ้นได้

เมื่อเราพูดถึงการแก้ปัญหาความยากจน หรือแม้แต่ความเสี่ยงจนของคนชนชั้นกลาง เรามักจะพูดควบคู่กับนโยบายแก้จนอย่างแนวคิด รัฐสวัสดิการ ที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม แม้แนวคิดนี้จะได้รับการพูดถึงมากขึ้นในช่วงหลัง แต่สำหรับ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง TDRI กลับมองว่า ในทางปฏิบัติ สังคมไทยยังติดกับดักสำคัญที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นอยู่หลายประเด็นด้วยกัน

  • กับดักแรก คือ รัฐบาลไม่มีงบประมาณเพียงพอ? หากเราต้องการรัฐสวัสดิการแบบสแกนดิเนเวีย จะต้องใช้ต้นทุนสูงมาก เพราะให้สิทธิประโยชน์ครอบคลุมแทบตลอดชีวิต รัฐไทยจึงมักลังเลที่จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ นอกจากนี้ ประเทศไทย ในช่วง 15-20 ปีที่ผ่านมา รายได้ภาษีของประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 16% เป็นราว ๆ 14% ต่อ GDP นำมาซึ่งคำถามสำคัญว่า รัฐบาลไทยมีความสามารถที่จะดึงประเทศให้ออกจากกับดักรายได้ปานกลางได้หรือเปล่า สามารถอ่านข้อเสนอเพิ่มเติมประเด็นการเสริมความเข้มแข็งระบบภาษีได้ ที่นี่

  • กับดักที่สอง คือ ทัศนคติของผู้คนในสังคม โดยเฉพาะคนที่เคยลำบากมาก่อนแล้วสามารถฝ่าฟันจนลืมตาอ้าปากได้ด้วยตนเอง เกิดเป็นวาทกรรมทำนองว่า “ในเมื่อฉันเคยจนและดิ้นรนมาได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร คนอื่นก็ควรจะทำได้เช่นกัน” ส่งผลให้พวกเขาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดรัฐสวัสดิการที่ต้องจ่ายภาษีของตนไปช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะการจ่ายให้กับคนจนที่พวกเขาเชื่อว่า คนกลุ่มนี้ยังไม่ได้พยายามมากพอ


    อีกด้านหนึ่งก็เป็นคนที่ไม่เคยประสบความลำบากเลย เป็นชนชั้นสูงหรือคนรวยโดยกำเนิด พวกเขาก็จะมองว่าเรื่องคนจนไม่เกี่ยวกับตน ดังนั้นต่อให้รู้ว่าประเทศมีความเหลื่อมล้ำสูงแค่ไหน ก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อน ไม่รู้สึกว่าควรต้องจ่ายภาษีมากขึ้นเพื่อให้เกิดระบบที่เท่าเทียม
สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

นอกจากเรื่องของค่านิยมส่วนบุคคลแล้ว ยังมี ประเด็นของความไม่เชื่อมั่นในรัฐ ซึ่งเป็นอุปสรรคอีกชั้นหนึ่ง คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่า การจ่ายภาษีของตนไม่มีประสิทธิภาพ เพราะถูกนำไปใช้ผิดที่ผิดทาง ไม่เป็นประโยชน์ หรือสูญหายไปกับการคอร์รัปชัน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะเลี่ยงภาษี หรือไม่เห็นด้วยกับแนวคิดรัฐสวัสดิการ โดยมองว่ารัฐยังไม่น่าไว้วางใจพอที่จะบริหารจัดการงบประมาณเหล่านั้นได้

สมชัย ยังชวนให้แยกแยะว่า แม้การคอร์รัปชันจะเป็นปัญหา แต่ก็ไม่ควรใช้เป็นข้ออ้างในการเลี่ยงไม่จ่ายภาษีหรือไม่คิดหาทางแก้ปัญหาความยากจนในสังคม โดยเสนอว่า หากระบบงบประมาณและการเมืองมีความโปร่งใสเพิ่มขึ้น และประชาชนมีช่องทางในการตรวจสอบมากขึ้น เช่น ผ่านการเลือกตั้งหรือการใช้สิทธิพลเมือง เราก็สามารถเดินหน้าพัฒนาระบบสวัสดิการควบคู่ไปกับการลดคอร์รัปชันได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้คอร์รัปชันหมดไปก่อน

การล่มสลายของชนชั้นกลางเก่า ขยันให้ตายก็ไม่รวย ?

คนจนแต่เดิมก็มีอยู่มาก คนชนชั้นล่างที่เปราะบางก็ยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่คลื่นระลอกใหม่ที่ซัดระบบงานและเศรษฐกิจของประเทศ นำไปสู่ความเสี่ยงจนของคนชนชั้นกลางที่เพิ่มมากขึ้น คนกลุ่มนี้แม้จะไม่ได้อยู่ในฐานะยากจน แต่ก็ไม่อาจมีชีวิตที่มั่นคงเหมือนสมัยก่อนได้อีกต่อไป

“ขยันแค่ไหนก็ไม่แน่ใจว่าจะรอดในอนาคตที่มีความแปรปรวนสูง ทั้งการว่างงาน การแทรกแซงของเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนภัยความขัดแย้งจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์”

สมชัย จิตสุชน

สมชัย ยังเล่าว่า เมื่อ 30 ปีก่อน การเรียนมหาวิทยาลัยยังเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทุกคนเข้าถึงได้ คนที่จบปริญญาตรีมักได้งานดี รายได้ดี มีอนาคตมั่นคง แต่ปัจจุบันกลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป จำนวนผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีมีมากขึ้น แต่ตลาดแรงงานไม่ได้ขยายตาม โอกาสได้งานดีลดลง ขณะที่คนจำนวนไม่น้อยที่จบปริญญาตรีต้องไปทำงานที่ใช้แค่คุณวุฒิ ม.ปลาย หรือแม้แต่ ม.ต้น รายได้ที่ได้กลับไม่คุ้มกับการลงทุนในการศึกษา และสุดท้ายไม่สามารถขยับฐานะขึ้นไปได้จริง

ซ้ำร้าย การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงหลังช้าลงมาก เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวเร็ว ทำให้มีคนรวยหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย แต่ปัจจุบัน เศรษฐกิจที่เติบโตช้าและระบบเศรษฐกิจที่ถูกผูกขาดโดย กลุ่มทุนใหญ่ ทำให้โอกาสของคนธรรมดาในการเป็นเจ้าของธุรกิจหรือขยับสถานะทางเศรษฐกิจหดแคบลง โอกาสที่จะเลื่อนชนชั้นจึงน้อยลง แม้จะมีการศึกษาและพยายามทำงานหนักแค่ไหนก็ตาม

สุดท้าย สิ่งที่สังคมและแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับใหม่พยายามเน้นย้ำคือ เราต้องสร้างระบบที่ให้โอกาสแก่ทุกคนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะผ่านสิ่งที่เรียกว่า ระบบความคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) ซึ่งประกอบด้วยหลายมิติ เช่น การศึกษาที่มีคุณภาพ, การมีงานที่ดี, การเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีราคาถูกและมีคุณภาพ, ระบบการดูแลเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น อุบัติเหตุ ความพิการ การเสียชีวิตของคนในครอบครัว ตลอดจนระบบประกันสังคมและการสงเคราะห์กลุ่มเปราะบาง

ระบบเหล่านี้ช่วยให้คนไม่หล่นจากฐานะที่มั่นคงลงสู่ความยากจนในชั่วข้ามคืน เช่น หากไม่มีประกันสังคม คนที่ต้องใช้เงินจัดการงานศพก็อาจต้องนำเงินเก็บมาใช้จนหมด แล้วลูกก็ต้องหยุดเรียน หรือกลายเป็นหนี้ พาไปสู่ความจนที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งหมดนี้คือเรื่องของ โอกาส ที่ไม่ควรถูกปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาอีกต่อไป”

สมชัย จิตสุชน เน้นย้ำ

ความจนเป็นพี่ ความเหลื่อมล้ำเป็นน้อง

ไม่ต่างกันกับมุมมองของ ศ.สมพงษ์ ที่ชี้ว่า สาเหตุของความยากจนและความเหลื่อมล้ำนั้นซับซ้อนและมีหลายปัจจัย เช่น การแต่งงานในหมู่คนจน, ระบบการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพและเข้าไม่ถึง, ระบบหนี้สิน, ข้อมูลข่าวสารและสวัสดิการที่เข้าถึงไม่ได้ ฯลฯ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้าง

ยิ่งไปกว่านั้น สังคมไทยจำนวนไม่น้อยรับรู้ว่าความจนมีอยู่จริงแต่ไม่รู้สึกถึงความยากจน กล่าวคือ คนส่วนใหญ่รับรู้ว่าความยากจนมีอยู่ แต่กลับไม่รู้สึกร่วม หรือรู้สึกว่านั่นไม่ใช่เรื่องของตน ปัญหาถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเวรกรรม เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ส่งผลให้ขาดแรงผลักดันในการแก้ไขอย่างจริงจัง ท้ายที่สุด คนยากจนในประเทศไทยต้องดิ้นรนด้วยตนเอง พวกเขาเข้าไม่ถึงสวัสดิการ พยายามส่งลูกหลานเรียนให้ดีที่สุด ใช้แรงกายผ่านการเป็นนักกีฬา ชกมวย หรือแม้กระทั่งบวชเป็นพระเป็นเณร หรือที่น่ากังวลที่สุดคือการเข้าสู่วงจรอาชญากรรม

ศ.สมพงษ์ จิตระดับ ที่ปรึกษากรรมการบริหาร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

ข้อมูลจากสถานพินิจฯ และกรมราชทัณฑ์ สะท้อนชัดว่า เด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาเพียงชั้นประถมหรือมัธยมต้นเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา ไม่เกิน 3 เดือน ความเสี่ยงในชีวิตก็จะตามมาอย่างรวดเร็ว เข้าสู่วงจรของวาทกรรม “โง่-จน-เจ็บ” เป็นวงจรที่เต็มไปด้วยการกดทับ ความเรื้อรัง และการส่งต่อข้ามรุ่น จนแทบจะหมดหนทางในการไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า หากสังคมยังไม่เข้าใจว่าคนจนอยู่ภายใต้เงื่อนไขชีวิตอย่างไร

นักการศึกษา จึงเสนอว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาคือ การเปลี่ยนมายาคติของสังคมไทยต่อความจน ต้องเข้าใจว่าคนจนไม่ได้ขี้เกียจ ไม่ได้เกิดมาผิด แต่เป็นผลผลิตของระบบที่ไม่เป็นธรรม ทั้งระบบการศึกษา ระบบราชการ ระบบสวัสดิการ ฯลฯ

หากราชการไทยและฝ่ายนโยบายยังคิดแบบเดิม ยังแก้นโยบายแบบเริ่มใหม่ทุก 4 ปี ปัญหาก็จะวนซ้ำไม่ไปไหน การแก้ความยากจนต้องมีความต่อเนื่อง และมีเป้าหมายระยะยาว โดยใช้แนวคิด Social Protection หรือระบบคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุมมากกว่าแค่การศึกษา แต่รวมถึงสาธารณสุข ที่อยู่อาศัย การมีงานทำ และสวัสดิการครอบครัวอย่างทั่วถึงและไร้รอยต่อ

ทุนมนุษย์ไทยกำลังตกขอบอาเซียน

ทุนมนุษย์ของไทยยังอยู่แค่ระดับมัธยมต้น ล้าหลังแม้แต่เวียดนามนี่คือสิ่งที่ ศ.สมพงษ์ กังวลทั้งยังเตือนว่า หากรัฐไทยยังไม่มีการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง ประเทศไทยอาจหลุดขอบประชาคมอาเซียนในแง่ศักยภาพแรงงาน เพราะตลอด 16 ปีที่ผ่านมา เราไม่มีการปฏิรูปการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม การศึกษาภาคบังคับยังอยู่ที่ 9 ปี เรียนฟรี 15 ปีเป็นเพียง “ฟรีทิพย์” เพราะผู้ปกครองยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอื่นอีกมาก โรงเรียนขนาดเล็กกว่า 10,000 แห่งยังไม่ได้รับการจัดการเชิงคุณภาพ ขณะที่ปัญหาหนี้สินครูยังวนเวียนอยู่เหมือนเดิม

“หากเรายังปล่อยให้ระบบการศึกษาขาดคุณภาพ ไม่มีทิศทางใหม่ในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ… เรากำลังจงใจให้ความยากจนข้ามรุ่นเกิดขึ้นหรือไม่ ?”

ศ.สมพงษ์ จิตระดับ

ในมุมมองของ ศ.สมพงษ์ ยังเห็นว่า ที่ผ่านมา ข้าราชการไทยส่วนใหญ่ขาดจินตนาการในการวางนโยบาย เพราะติดอยู่กับระบบ ยึดตำแหน่ง ยึดกฎระเบียบ และต้องปรับตัวกับรัฐมนตรีที่เปลี่ยนตัวทุกปีครึ่ง ไม่มีโอกาสสร้างนโยบายระยะยาว จึงไม่อาจออกแบบอนาคตการศึกษาใหม่ได้เลย ชวนให้ภาครัฐหันกลับมามองคำสำคัญ คือคำว่า โอกาส เราต้องให้โอกาสกับเด็กคนหนึ่งอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ให้ทุนการศึกษา แต่ต้องดูทั้งระบบ ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงการมีงานทำ สวัสดิการที่ดี และการส่งต่อการศึกษาจนถึงระดับประกาศนียบัตรชั้นสูงอย่างไร้รอยต่อ

“หากไม่คิดสร้างการศึกษาแบบไร้รอยต่อ ปล่อยให้คนหลุดจากระบบ แล้วมาเรียกว่า ฟรี ทั้งที่ครอบครัวต้องจ่ายเองกว่าครึ่งหนึ่ง มันคือการหลอกตัวเอง และโยนความผิดกลับไปให้คนจนว่าไม่ใช้โอกาสอย่างเหมาะสม ทั้งที่ต้นทุนชีวิตของเขาคือครึ่งต่อครึ่ง”

ศ.สมพงษ์ จิตระดับ

บทส่งท้าย : ถ้าทุกคนเสี่ยงจน ระบบจะแก้ไขได้โดยทุกคน

การขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ต้องอาศัยพลังทางวัฒนธรรมและการสื่อสารที่ลึกซึ้งกว่าการเล่าเรื่องเพื่อเรียกความเห็นใจ สื่อควรทำหน้าที่เปิดโปงโครงสร้างที่ผลักให้ผู้คนต้องเผชิญชีวิตที่ไร้หลักประกัน เปิดพื้นที่ให้เห็นชีวิตที่หลากหลาย และตั้งคำถามต่อกติกาเมืองที่เลือกปกป้องบางกลุ่มคนเท่านั้น

การเล่าเรื่องความจนจึงไม่ควรหยุดที่ภาพของความขาดแคลน แต่ต้องพาให้ผู้ชมมองเห็นศักยภาพ และความหวังในการต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในแบบของตัวเอง

สุดท้าย ทางออกจากโครงสร้างที่ทำให้ทุกคนเสี่ยงจน คือ การสร้างจินตนาการใหม่ของเมืองและสังคม ที่ให้คุณค่าและโอกาสกับชีวิตที่หลากหลายอย่างเท่าเทียม เมืองควรเป็นพื้นที่ประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิเลือกทางเดินชีวิตโดยไม่ถูกจำกัดด้วยชนชั้นหรือกติกาอันอยุติธรรม และการจะไปถึงจุดนั้นได้ สังคมต้องกล้าตั้งเป้าหมายใหญ่ ขยับพ้นจากกับดักการช่วยเหลือแบบผิวเผิน และสร้างแรงปรารถนาร่วมให้เห็นคุณค่าของกันและกัน

Author

Alternative Text
AUTHOR

พีรดนย์ ภาคีเนตร

เฝ้าหาเรื่องตลกขบขันในชีวิต แต่พบว่าสิ่งที่ตลกที่สุดคือชีวิตเราเอง