‘ความจน’ ในสายตา ‘สื่อ’ ภาพจริง หรือภาพจำ ถอดรหัสความเหลื่อมล้ำ สู่ความเท่าเทียม

“หากคนจนไม่ถูกนับอยู่ในระบบ ไม่ได้รับการพูดถึง และไม่ถูกเห็นโดยสายตาสาธารณะ พวกเขาก็ย่อมไม่มีอยู่จริงในความเข้าใจของสังคมด้วยหรือไม่ ?”


เรื่องเล่า ความจน และภาพชีวิตที่ถูกขีดเส้นกั้นด้วยความเหลื่อมล้ำ ถูกฉายชัดกลางนิทรรศการ เท่าหรือเทียม : เส้นทางความเหลื่อมล้ำ คนจนเมือง ในวันที่สื่อหลายสำนักก้าวเข้ามาสัมผัสด้วยตาของตัวเอง เพื่อ รับรู้ และ ตีความ ว่าความยากจนในเมืองใหญ่จริง ๆ แล้วหน้าตาเป็นแบบไหน ?

เมื่อสื่อพยายามขยับเลนส์ออกจากภาพจำเรื่อง คนจน แบบเดิม ๆ ความจนจึงไม่ใช่เรื่องของ ความขี้เกียจ แต่เป็นเรื่องของโครงสร้าง จากข้อมูลสถิติที่เปิดกว้างทั้งในมิติเชิงเศรษฐกิจ สุขภาพ และโอกาส บ้างตั้งคำถามถึงความหมายของคำว่า การช่วยเหลือ จากรัฐที่อาจไม่เคยไปถึงคนที่ควรได้รับ ด้วยเงื่อนไขของการต้องลงทะเบียน ต้องมีทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน หรือระบบการจำแนกที่ไม่ยืดหยุ่นพอกับความหลากหลายของชีวิตในเมือง

เหล่านี้คือเรื่องเล่าที่พยายามเปิดพื้นที่เพื่อถกเถียงถึงปัญหาความยากจนอย่างซื่อตรงและรอบด้าน หยุดการผลิตซ้ำความเวทนาแบบฉาบฉวย เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนจนเมืองมีสิทธิ์ มีเสียง และเชื้อเชิญสังคมให้หันมาทบทวนไม่เพียงแค่ตัวเลขงบประมาณ หรือการจัดสรรสวัสดิการ แต่ยังรวมถึงวิธีคิด ที่เรามองคนในเมืองเดียวกันว่า สังคมนี้เท่าเทียม หรือ เท่าแบบเทียม ๆ กันแน่ ?

The Active รวบรวมความรู้สึกผ่านมุมมองของสื่อที่ได้เดินผ่านเรื่องราวในนิทรรศการ เพื่อร่วมกันถอดรหัสความเหลื่อมล้ำในเมือง ที่ไม่เพียงตั้งคำถามถึงคุณภาพชีวิตของผู้คน แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐ ในการรับรู้เรื่องราวของพลเมืองที่มีตัวตนอยู่จริง ซึ่งทุกชีวิตอาจยังไม่ถูกนับอย่างเท่าเทียม


นับเราด้วยคน : ‘ความจน’ เริ่มต้นจากการไม่ถูกนับ

นับเราด้วยคน จากสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นำเสนอประเด็นความยากจนและความเหลื่อมล้ำผ่านเรื่องราวของ ‘โห้’ หญิงสาวไร้บ้านในเมืองพัทยา เพื่อชี้ให้เห็นโครงสร้างสังคมที่ทำให้ผู้คนบางกลุ่มไม่ถูกนับ แม้จะดำรงอยู่จริงในพื้นที่นั้นก็ตาม

รวมถึงสถานะความเป็นพลเมืองที่ผูกติดกับทะเบียนบ้าน และบัตรประชาชน มากกว่าจะยึดโยงกับชีวิตจริงและการมีตัวตนของผู้คน โดยเน้นว่าเงื่อนไขทางกฎหมายเหล่านี้กลายเป็นกำแพงที่กันคนจนออกจากสิทธิขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล หรือความช่วยเหลือจากรัฐ

โห้ ไม่สามารถดูแลตนเองได้ เนื่องจากผลกระทบจากสุราและยาเสพติดที่ส่งผลต่อระบบสมอง ทำให้บางครั้งสื่อสารได้เป็นประโยค บางครั้งเป็นเพียงคำ หรือบางครั้งต้องอาศัยภาษากายในการสื่อสาร อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่หนักหนากว่านั้นคือการไม่มีบัตรประชาชน ซึ่งทำให้โห้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการรักษาพยาบาล เหมือนเป็นบุคคลไร้ตัวตน ทั้งที่ยืนอยู่กลางเมืองพัทยา

แม้โห้จะดำรงอยู่จริง แต่กลับไม่เคยถูกนับว่าเป็นพลเมืองของพัทยา เช่นเดียวกับคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ แต่ไม่ถูกนับรวมอยู่ในระบบของรัฐ เนื่องจากความเป็นพลเมืองของพัทยาถูกกำหนดโดยทะเบียนบ้านมิใช่ข้อเท็จจริงเชิงพื้นที่หรือการอยู่อาศัย การเป็นแรงงานข้ามถิ่นที่เข้ามาทำงานในเมืองพัทยาไม่ได้ทำให้บุคคลนั้นมีสถานะเป็นคนพัทยาอย่างแท้จริง ถึงแม้รัฐจะมีนโยบายช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ แต่ผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของเมืองก็ไม่มีสิทธิได้รับสิทธิเหล่านั้น และในหลายกรณี บุคคลเหล่านี้ไม่มีแม้กระทั่งทะเบียนบ้าน เนื่องจากบ้านเดิมถูกขายหรือถูกยึดไป เช่นเดียวกับกรณีของโห้

คนจนไม่ได้อ่อนแอ แต่เป็นกลุ่มคนที่ลุกขึ้นสู้กับชีวิตอย่างเข้มแข็ง ทว่าต้องพ่ายแพ้ต่อระบบที่ไม่เห็นเขาในฐานะพลเมืองอย่างเต็มตัว ความยากจนจึงไม่ใช่แค่การขาดแคลนเชิงเศรษฐกิจ แต่เป็นการขาดแคลนสิทธิซึ่งเป็นผลพวงของนโยบายและระบบราชการที่นับไม่ครบ พร้อมตั้งคำถามว่าทำไมสิทธิบางอย่างถึงต้องผูกติดกับถิ่นฐานเดิม ทั้งที่การย้ายถิ่นคือความจริงของชีวิตคนในเมืองยุคใหม่ มุมมองนี้จึงตั้งอยู่บนฐานของความเป็นธรรมเชิงโครงสร้าง และเรียกร้องให้รัฐทบทวนวิธีคิดเรื่องการจัดสรรทรัพยากรและสวัสดิการใหม่ โดยมองมนุษย์เป็นศูนย์กลาง มากกว่าข้อมูลในทะเบียนบ้านหรือเขตปกครอง

ความเหลื่อมล้ำในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงช่องว่างรายได้ แต่คือความเหลื่อมล้ำการถูกเลือกปฏิบัติ การนิยาม และการตีกรอบในทางนโยบาย นับเราด้วยคน ยืนยันว่าความจนเป็นผลผลิตของระบบที่เลือกปฏิบัติ และการแก้ปัญหาจำเป็นต้องเริ่มจากการเปลี่ยนมุมมองและโครงสร้างพร้อมกัน

“ถ้าถามว่าฝันอยากจะเห็นสังคมของเราเป็นยังไง ก็ขอให้ทุกคนปลอดภัย
ไม่มีเวลาที่จะฝันไกล เพราะบางทีมันมองไม่เห็น”


Alien : หลากหลายนิยามแห่ง ‘ความจน’ และนโยบายแก้จนที่แข็งกระด้าง

Alien เลือกถ่ายทอดประเด็นความจนผ่านน้ำเสียงที่เป็นกันเอง ผสมอารมณ์ขันและความหงุดหงิดที่แฝงด้วยความเหนื่อยล้าทางเศรษฐกิจ สะท้อนมุมมองของคนเมืองชนชั้นกลาง ระดับล่างที่ทำงานเต็มที่แต่ยังรู้สึกว่า “หาเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ” ไม่ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะดีขึ้นแค่ไหน

Alien ไม่เพียงตั้งคำถามกับเกณฑ์การวัดความจนแบบรายได้เท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นว่าตัวเลขที่ดูเหมือนดีขึ้น ไม่ได้แปลว่าชีวิตผู้คนดีขึ้นตามไปด้วย ดัชนี MPI (Multidimensional Poverty Index) จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยับนิยาม ความจน ให้ครอบคลุมทั้งคุณภาพชีวิต ความเปราะบาง และความไม่มั่นคงของชีวิต

จุดเด่นของการนำเสนออยู่ที่การเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลเชิงสถิติกับประสบการณ์ชีวิตจริงของผู้คน ไม่ได้มองความจนเป็นเพียงสถานะทางสถิติ แต่เป็นเงื่อนไขทางสังคมที่มีมิติซ้อนทับและเปลี่ยนแปลงได้ Alien จึงเสนอให้เข้าใจความจนในรูปแบบไดนามิก โดยจำแนกระดับความยากลำบากของคนในสังคมออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อแสดงให้เห็นว่าความช่วยเหลือควรมีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับความเปราะบางที่ต่างกันของแต่ละกลุ่ม มากกว่าการกำหนดเส้นแบ่งตายตัวแบบเดิม ซึ่งมองข้ามความหลากหลายของความยากจน

Alien ยังพยายามปลดเปลื้องภาระจากผู้ชม ผู้ฟัง ว่า ความจนไม่ใช่เรื่องน่าสมเพชหรือเป็นผลจากความล้มเหลวส่วนตัว แต่เป็นเรื่องโครงสร้างที่ควรถูกทำความเข้าใจใหม่ ทั้งในเชิงข้อมูล นโยบาย และมุมมองทางสังคม และเป็นบทบาทของภาครัฐที่ต้องลงมาแก้ไขปัญหาด้วยเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ปล่อยให้คนตัวเล็ก ๆ ต้องดิ้นรนต่อสู้ในเมืองใหญ่เพียงลำพัง

“ไม่ว่าเราจะจนจริง หรือจนใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องที่ตัวเราจัดการเงินอย่างไร แต่มันอยู่ที่ต้นทุนทางสังคมที่มองไม่เห็นอีกเยอะมาก ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็สำคัญกับทางการเมืองและเศรษฐกิจ และเป็นเรื่องของเราทุกคน ที่ต้องร่วมกันผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลง”


Go Green Girls : ภาพความเหลื่อมล้ำ ณ ใจกลางกรุง

Go Green Girls สะท้อนผ่านความรู้สึกร่วม เน้นย้ำถึงความจริงอันโหดร้ายของความจนในเมืองที่มักถูกมองข้าม ตัวอย่างเล็ก ๆ เช่น ลิปสติกของ sex worker วัยชรา, หรือเตียงพับในห้องแคบของครอบครัวใหญ่ กลายเป็นสัญลักษณ์ของการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่ได้ในระบบเมืองที่ไม่เอื้อให้พวกเขาเติบโต สิ่งที่จัดแสดงไม่ใช่แค่ข้อมูล แต่คือชีวิตจริงของคนจริงที่ระบบเมืองกำลังลืม

นอกจากนี้ Go Green Girls ยังมองเห็นความเชื่อมโยงปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาและสุขภาพเข้ากับชีวิตประจำวันของคนจน โดยเฉพาะเด็กที่ต้องหลุดจากระบบการศึกษาด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ หรือแรงงานที่ต้องเข้าสู่เมืองใหญ่เพื่อคว้าโอกาสในชีวิต นั่นแปลว่า ความจนไม่ใช่แค่การไร้ซึ่งเงิน แต่คือการถูกจำกัดทางเลือกตั้งแต่แรกเกิด ขาดแคลนโอกาส ที่ผ่านมาการเป็นคนจนในเมือง จะต้องถูกผลักให้ยืนอยู่ในมุมมืดของเมืองอยู่ตลอดเวลา และทำได้เพียงรอโอกาสมาถึง

พื้นที่ศิลปะอย่างหอศิลป์กรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางความเจริญของเมืองใหญ่ เป็นพื้นที่สนทนาที่ช่วยเรื่องความเหลื่อมล้ำให้กว้างขึ้น โดยเน้นว่าเมืองควรเป็นพื้นที่ของทุกคน ไม่ใช่เพียงคนที่มีทุนหรือโอกาสมากกว่า การมองเมืองผ่านมุมของความหวังจึงกลายเป็นพลังที่ขับเน้นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่เรื่องของนโยบาย แต่คือเรื่องของความกล้าหาญที่จะมองเห็นคนจนในฐานะพลเมืองอย่างเท่าเทียม

“การเป็นคนจนมันเหนื่อยอยู่แล้ว
แต่ที่เหนื่อยกว่าคือต้องขอโอกาสจากเมืองที่ไม่เคยมีที่ให้เขายืน”


Sustain Daily : สิ่งละอันพันละน้อย และชีวิตที่ไม่มีใครมองเห็น

Sustain Daily พาไปถอดรหัสปัญหาเชิงโครงสร้างของความจนในเมือง โดยชูให้เห็นว่าข้าวของเครื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น เตียงพับ กระเป๋าไรเดอร์ หรือลิปสติก กลับสะท้อนระบบที่กดทับผู้คนจำนวนมากให้ต้องอยู่ในสภาพความเป็นอยู่อย่างจำกัดและเปราะบาง ตัวอย่างเช่น เตียงพับของครอบครัว 8 ชีวิต ที่ใช้ชีวิตในห้องเล็ก ๆ แสดงให้เห็นถึงวิกฤตที่อยู่อาศัยของคนจนเมือง ซึ่งไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการพัฒนารายบุคคล แต่ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง ทั้งในเชิงนโยบายและงบประมาณจากรัฐ

ความจนไม่ใช่ผลจาก ความขยันไม่พอ ของปัจเจก แต่เป็นผลสะสมของระบบที่เอื้อให้บางกลุ่มได้เปรียบ ขณะที่อีกหลายกลุ่มถูกผลักออกนอกโอกาส ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีไรเดอร์และผู้ให้บริการทางเพศ ซึ่งต่างทำงานหนักในระบบเศรษฐกิจเมือง แต่กลับไม่มีหลักประกันหรือสวัสดิการที่มั่นคงเพียงพอ และแม้จะมีความพยายามเสนอร่างกฎหมายหรือโครงการช่วยเหลือจากบางภาคส่วน แต่ก็ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาจากรากฐานที่เพียงพอหรือครอบคลุม

SustainDaily ยังเสนอภาพของหาบเร่แผงลอยผ่านรถเข็นของ ครอบครัวปูแป้น ที่ถูกผลักออกจากพื้นที่ทำมาหากิน จากนโยบายจัดระเบียบที่ไม่เปิดพื้นที่ต่อรองให้กับผู้ค้ารายย่อย สื่อจึงชี้ให้เห็นถึงมิติของความไม่เป็นธรรมที่ซ่อนอยู่ในชื่อของระเบียบและการใช้พื้นที่เมืองที่ไม่ฟังเสียงของคนชายขอบ เหล่านี้คือเรื่องเล่าแห่งความขัดสนผ่านเครื่องมือสู้ความจน

สะท้อนเห็นความจริงทางสังคมที่ไม่อาจเพิกเฉยได้ ขณะเดียวกันก็พยายามเสนอแนวทางแก้ไขในระดับนโยบาย เพื่อชี้ให้เห็นว่าความยากจนไม่ใช่ชะตากรรม แต่คือผลจากการจัดการเชิงโครงสร้างที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากรัฐและสังคมเลือกที่จะลงมืออย่างจริงจัง

“ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ซ่อน ปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล
แต่การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากการปรับปรุงโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ”


Thairath Plus : ชั่วชีวิตแห่งความขัดสน เกิดจนตาย…ก็ยังไม่หายจน

นิทรรศการ เท่าหรือเทียม ชี้ให้เห็นว่า วัฏจักรของความจนมิได้เกิดจากความบกพร่องของปัจเจก แต่เป็นผลจากโครงสร้างสังคมที่กดทับตั้งแต่ต้นทางของชีวิต Thairath Plus ยกตัวอย่างเส้นทางของคนจนที่เริ่มต้นด้วยความยากลำบาก แม้แต่ทางเข้าบ้านที่เต็มไปด้วยอันตรายและเสี่ยงตกจากสะพาน ก่อนจะเข้าสู่ตัวบ้านของคนจน ที่ประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์แห่งความจน ที่มีเบื้องหลังเป็นราคาที่ต้องจ่ายด้วยต้นทุนของชีวิต นี่คือชีวิตจริงของผู้คนที่ถูกจำกัดเพดานเศรษฐฐานะไว้ด้วยโครงสร้างทางสังคม มาชำแหละ ณ พื้นที่จัดแสดงศิลปะกลางเมืองกรุง

Thairath Plus ชวนตั้งคำถามกับอคติทางสังคมที่ฝังรากลึก เช่น “คนจนเพราะขี้เกียจ” และหักล้างผ่านการเล่าเรื่องของ ตาไหม ซึ่งทำงานหนักมาตลอดชีวิต พร้อมทิ้งคำถามถึงความรับผิดชอบร่วมของสังคมต่อปัญหาความจน

พร้อมย้ำว่าเส้นทางที่นิทรรศการพาเราเดิน ไม่ใช่ของใครคนหนึ่ง แต่เป็นเส้นทางที่ทุกคนมีส่วนร่วมในผลลัพธ์นั้น นี่คือน้ำเสียงที่พยายามไม่ตัดสิน แต่ชักชวนให้ผู้คนหันกลับมามองสังคมของตนเองอย่างลึกซึ้ง ผ่านงานศิลปะที่มิได้เพียงจัดแสดง แต่เป็นสนามปะทะของความจริง ความเชื่อ และความหวังที่จะเปลี่ยนแปลง

“หากยอมรับว่าความจนไม่ใช่เรื่องของปัจเจกเพียงคนหนึ่งคนใด
การออกจากวังวนความยากจนก็อาจเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งสังคมเช่นกัน”


The Momentum : เพราะความศิวิไลซ์ของเมืองใหญ่ แลกด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน

The Momentum เลือกขยายประเด็นทางวาทกรรมที่ว่า “คนจนไม่มีงานทำเพราะขี้เกียจ” เป็นเพียงมายาคติที่บดบังความจริงที่ว่าคนจนหลายคนก็ขยันทำงานหนัก แต่ยังคงติดอยู่ในกับดักของความยากจนและโครงสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรม นิทรรศการนี้จึงถูกนำเสนอเป็นกระจกเงาสะท้อนชีวิตจริงของคนจนเมืองที่แม้จะอาศัยในพื้นที่ที่ดูเหมือนเจริญแล้ว แต่ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยง ความไม่ปลอดภัย และข้อจำกัดในชีวิตประจำวันที่มองไม่เห็นในภาพรวมเมืองใหญ่

ตั้งแต่ทางเดินแคบริมคลองกว้างไม่เกิน 1 ศอก ที่เด็กหญิงคนหนึ่งต้องเดินเข้าบ้าน ห้องนอนที่มีสมาชิกถึง 8 คนอาศัยอยู่ร่วมกัน ตลอดจนการทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงชีพโดยไม่มีผลตอบแทนที่เป็นธรรม คนที่แม้ทำงานตลอดชีวิตก็ไม่เคยได้สัมผัสความมั่งคั่งอย่างแท้จริง เช่น กรณีของ ตาไหม แรงงานขนถ่านในเยาวราชที่แม้จะเป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจ แต่ยังต้องเผชิญกับการถูกไล่ที่และความไม่มั่นคงทางที่อยู่อาศัย ซึ่งสะท้อนว่าความจนไม่ใช่เรื่องของปัจเจกบุคคล แต่เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในโครงสร้างสังคมและนโยบายที่ล้มเหลว

แม้จะมีความหวังจากการศึกษา แต่ข้อมูลและสถิติที่นิทรรศการนำเสนอ ก็ทำให้ตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของระบบการศึกษาที่ถูกคาดหวังว่าจะช่วยปลดปล่อยคนจนได้จริงหรือไม่ ? คำถามนี้เป็นเสียงสะท้อนของผู้คนที่ถูกมองข้ามในสังคมเมืองใหญ่ และเป็นคำถามถึงนโยบายสาธารณะที่แก้ปัญหาความจนแบบผิวเผิน ไม่สามารถถอนรากถอนโคนปัญหาความเหลื่อมล้ำได้อย่างแท้จริง

ขณะเดียวกันยังเฝ้าถามหาถึงความกล้าหาญทางนโยบายในการสร้างพื้นที่และสวัสดิการที่มั่นคงสำหรับกลุ่มคนจนเมือง เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและความมั่นคงในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง

“หวังว่านิทรรศการนี้จะทำให้ผู้ชมหันกลับไปตั้งคำถามต่อนโยบายของภาครัฐ
ฉุกคิดถึงแรงงานไร้ชื่อที่ทำให้สรวงสวรรค์ในเมืองดำเนินต่อไป และตระหนักได้ว่า
ความศิวิไลซ์ของเมืองใหญ่มีราคา”

นิทรรศการ เท่าหรือเทียม ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่เพียงพาให้คนเหมืองได้รับรู้ความรู้สึกของเรื่องราวความเหลื่อมล้ำ ที่ก่อตัวจนนำมาซึ่งความจน แต่ยังพาให้เราได้เห็นว่า สื่อ มองความจริงเหล่านี้อย่างไร ?

ทุกข้อความ ทุกตัวอักษร ทุกคำพูด และมุมมองผ่านเลนส์กล้องของสื่ออาจแตกต่างกัน แต่ล้วนชี้ไปที่ปัญหาเดียวกัน ว่า ความยากจนไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลข แต่คือเรื่องของชีวิตคนจริง ๆ และคำถามที่เราทุกคนต้องร่วมกันหาคำตอบคือ เส้นทางสู่ความเท่าเทียม…เราจะเดินไปด้วยกันได้อย่างไร ?

Author

Alternative Text
AUTHOR

พีรดนย์ ภาคีเนตร

เฝ้าหาเรื่องตลกขบขันในชีวิต แต่พบว่าสิ่งที่ตลกที่สุดคือชีวิตเราเอง