ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ชื่อของ สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ คงถูกลบทิ้งจาก ครม.อนุทิน 1 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตามโผแทบทุกสำนักถือว่านอนมากับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
กระแสข่าวที่ยืนยันตรงกัน คือเวลานี้ สันติ ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี และมีความเป็นไปได้ที่เก้าอี้ตัวนี้ จะถูกส่งต่อให้กับลูกชาย พัฒนา พร้อมพัฒน์ หรือสุดท้ายอาจไม่ใช่ชื่อนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดน่าจะชัดเจนแล้วว่านี่เป็นอีกครั้งที่รัฐบาลใหม่ ยังคงมองสาธารณสุข เป็นกระทรวงโควตา แบ่งสรรทางการเมือง มากกว่าจะใช้ คนนอก หรือ คนมืออาชีพ เข้ามาบริหาร
เสียงชื่นชม และกระแสวิจารณ์ในทางบวกต่อการคัดสรร เทียบเชิญบุคคลมารับตำแหน่งรัฐมนตรีของ นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ถูกเทไปทางฝั่ง ครม.เศรษฐกิจ ซึ่งเปิดตัวเรียกเสียงฮือฮาไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าทั้งเจ้ากระทรวงการคลัง, พลังงาน, การต่างประเทศ และล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ เมื่อสามารถดึงคนนอกที่สังคมให้การยอมรับว่าทำงานตรงสาย เป็นมืออาชีพตัวจริง เข้ามาบริหาร ในช่วงที่รัฐบาลมีเวลาน้อยนิด
แล้วทำไม ? กระทรวงสาธารณสุข จึงกลายเป็นเวทีทดลอง หรือสนามส่งต่อเก้าอี้ทางการเมือง
หากมองความเป็นจริง กระทรวงสาธารณสุข ถือเป็นหนึ่งในภาคนโยบายที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในด้านสุขภาพและชีวิตของคนไทย ตั้งแต่นโยบายการควบคุมโรคระบาด ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไปจนถึงโครงสร้างการให้บริการด้านสาธารณสุข ที่ต้องต้านทานแรงกดดันจากสังคมมาแทบทุกยุค

แต่ผ่านมาก็หลายรัฐบาล รวมถึงรัฐบาลนี้ ที่เก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังเป็นได้แค่โควตา เป็นพื้นที่ต่อรอง มากกว่าจะเป็นพื้นที่พัฒนานโยบาย จึงเห็นการผลักดันบุคคล ที่ไม่ใช่มืออาชีพสายสุขภาพเข้ามากุมบังเหียน ก่อนหน้านี้บางคนทำงานได้ดีเพราะมีวิสัยทัศน์และทีมงาน แต่หลายคนก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่เข้าใจระบบสาธารณสุข และใช้ตำแหน่ง อำนาจตรงนี้เพื่อสร้างฐานการเมืองมากกว่าพัฒนาประโยชน์ส่วนรวม
นายกฯ อนุทิน ก็เคยนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาก่อน ในยุคที่ประเทศไทยถาโถมด้วย วิกฤตโควิดระบาด จนมาสู่ นโยบายกัญชา ซึ่งกลายเป็นประเด็นระดับชาติ จึงน่าจะพอเข้าใจถึงบทบาทความสำคัญ กับการต้องบริหาร และกำหนดทิศทางนโยบายสุขภาพไทย
ครั้งนี้เมื่อกลับมาในฐานะผู้นำประเทศ หลายฝ่ายก็คาดหวังว่า เขาจะเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถจริงจังมารับงานสาธารณสุข โดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศยังเผชิญความท้าทายทั้งเรื่อง ระบบสาธารณสุขตึงตัว, บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลน และงบประมาณบัตรทองที่ถูกวิพากษ์หนัก
การยังปล่อยให้ กระทรวงสาธารณสุข เป็นพื้นที่แบ่งปันเก้าอี้ให้กับพรรคการเมือง สิ่งนี้ กำลังลดทอนความสำคัญของนโยบายสุขภาพ อยู่หรือไม่ ?
รัฐมนตรีสาธารณสุข…ต้องเข้าใจปัญหา
การปล่อยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นพื้นที่ทางการเมืองเช่นนี้ ไม่แปลกที่ประชาชนจะเกิดความรู้สึกว่า เรื่องสุขภาพกำลังถูกจัดวางไว้ ลำดับรองลงมา ไม่ใช่เรื่องหลักของรัฐบาล
หรือนี่สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างการเมืองไทยที่ กระทรวงด้านเศรษฐกิจมักถูกให้ความสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับเม็ดเงินและการลงทุน ขณะที่กระทรวงด้านสังคมอย่างสาธารณสุข ถูกมองเป็นเพียง สนามการเมือง ที่ใครก็มาทดลองงานบริหารได้
นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา และรองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา คือคนหนึ่งที่ตั้งข้อสังเกตในประเด็นนี้ ว่า กระทรวงสาธารณสุขยังคงเป็นได้แค่ โควตาทางการเมือง
“สิ่งที่อยากเห็นไม่ใช่แค่ใครขึ้นมาเพราะโควตา แต่ต้องเป็นคนที่เข้าใจปัญหาของระบบสาธารณสุขจริง ๆ และมีความตั้งใจเข้ามาแก้ไข”
นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย
แม้จะมีเวลาเบื้องต้นแค่ 4 เดือน แต่ถ้าตั้งใจจริง ก็เพียงพอที่จะเริ่มแก้ปัญหาสำคัญได้ นพ.วีระพันธ์ เปรียบเทียบว่า รัฐบาลที่รู้อายุการทำงานของตนเองเหมือน “คนที่รู้วันตาย” ยิ่งควรใช้เวลาที่เหลือทำสิ่งที่ดีที่สุด
ระบบสาธารณสุข ‘บุคลากร’ คือ หัวใจ
ขณะที่การปฏิรูประบบสาธารณสุข ควรเริ่มที่ บุคลากร เพราะเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพบริการของประชาชน ถ้าแพทย์ พยาบาล และบุคลากรสหวิชาชีพมีความสุขในการทำงาน ประชาชนที่รับบริการก็จะมีความสุขไปด้วย เพราะฉะนั้นรัฐบาลไหนที่แก้ปัญหานี้ได้ จะกลายเป็นรัฐบาลที่ได้รับความนิยมและยั่งยืน

สำหรับประเด็นที่ควรเร่งแก้ไข นพ.วีระพันธ์ แจกแจงเอาไว้เป็นเรื่องหลัก ๆ ได้แก่
- ภาระงานหนักเกินไป – บุคลากรทำงานหนักจริงจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
- ค่าตอบแทนต่ำ – ไม่สอดคล้องกับชั่วโมงการทำงานและความรับผิดชอบ
- ความก้าวหน้าในวิชาชีพ – ระบบราชการผูกติด ก.พ. ทำให้เติบโตช้า หากสามารถแยกสาธารณสุขออกมา จะเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนา
- สวัสดิการไม่เพียงพอ – บ้านพักเก่า การเดินทางลำบาก ความปลอดภัยในการทำงานที่ยังไม่ทั่วถึง
“ถ้ารัฐบาลมีวิสัยทัศน์จริง ๆ ภายในระยะเวลา 4 เดือน หรือ 8 เดือนก็สามารถเริ่มแก้ปัญหาเหล่านี้ได้”
นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย
ในเวลานี้สิ่งที่กำลังผลักดัน คือ ร่างกฎหมายกำหนดชั่วโมงการทำงานบุคลากรสาธารณสุข เพื่อยกระดับ wellbeing และความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่ง นพ.วีระพันธ์ เชื่อว่า กฎหมายฉบับนี้ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร คาดว่าภายในสิ้นเดือนนี้จะกลับมาให้ สว.ตรวจสอบและยื่นอีกครั้ง หากรัฐบาลให้การสนับสนุนจริง ๆ ถือว่าเป็นกฎหมายชิ้นโบว์แดงของระบบสาธารณสุขไทย
และในฐานะ กมธ.สาธารณสุข วุฒิสภา ยืนยันว่าจะเดินหน้าพบรัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง เพื่อนำเสนอปัญหาและทางออกที่ได้ศึกษาและเตรียมไว้
มืออาชีพ ต้องรู้ปัญหา รู้วิธีแก้ ตัดสินใจอย่างมีหลักการ
“มืออาชีพคือคนที่เข้าใจปัญหา รู้วิธีแก้ และตัดสินใจได้อย่างมีหลักการ ถ้าได้คนแบบนี้มาก็ย่อมดีกว่า”
นั่นคือนิยามความเป็นมืออาชีพ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ทุกคนปรารถนา จากมุมมองของ ผศ.นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช และผู้แทนเครือข่าย UHosNet

โดยยกปัญหาของกระทรวงสาธารณสุข แบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ ปัญหาของตัวกระทรวงเอง กับ ปัญหาของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แม้จะซ้อนทับกัน แต่เป็นเรื่องที่แยกกันได้
ปัญหาของกระทรวงแม้จะแก้ยาก แต่โครงสร้างและระบบชัดเจน เข้าใจไม่ยากนัก ต่างจาก สปสช. ที่มีความซับซ้อนสูง ถ้ารัฐมนตรีเป็นคนที่ไม่เข้าใจระบบ สปสช. และมีเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็ยากที่จะจัดการกับปัญหาซับซ้อนตรงนี้ได้สำเร็จ ยกเว้นเป็นคนที่รู้เรื่องอยู่แล้ว หรือเรียนรู้ได้เร็วมาก ๆ
4 เดือนอาจยังไม่สามารถวางนโยบายระยะยาวได้ แต่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เป็นประเด็นร้อนอยู่ เช่น คลินิกชุมชนอบอุ่นถูกเรียกเงินคืน โรงพยาบาลต่างจังหวัดคัดค้านระบบจ่ายใหม่แบบ Point System ของ สปสช. ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังสร้างแรงกดดันและต้องการคำตอบด่วน
สำหรับคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่รัฐมนตรีสาธารณสุขต้องเป็น “หมอ” หรือคนในระบบนั้น ผศ.นพ.สนั่น ตอบว่า “ไม่จำเป็น” แต่ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาจริง ๆ
“สปสช. และกระทรวงไม่ได้มีแค่หมอ ยังมีทันตแพทย์ เภสัชกร และบุคลากรสาธารณสุข แต่ประเด็นคือ คนที่มารับตำแหน่งต้องรู้ว่าปัญหาตอนนี้คืออะไร โดยเฉพาะเรื่องการเงินและการจัดบริการที่กำลังเป็นวิกฤติ”
ผศ.นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย
ในฐานะที่ นายกฯ อนุทิน เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข ผศ.นพ.สนั่น จึงอยากฝากให้ความสำคัญกับปัญหาของ สปสช.
“ตอนเริ่มระบบหลักประกันสุขภาพใหม่ ๆ กระทรวงกับ สปสช.ทำงานแบบปรึกษาหารือกัน แต่ปัจจุบันกลายเป็นลักษณะสั่งการจากบนลงล่าง ทำให้เกิดปัญหามากมาย หากรัฐบาลไม่เข้ามาแก้ไขตรงนี้ จะทำให้ระบบเดินต่อไปอย่างติดขัด”
ผศ.นพ.สนั่น วิสุทธิศักดิ์ชัย
รมว.สธ. ไม่ต้องเป็นหมอ แต่ขอคนเข้าใจการบริหาร
สอดคล้องกับมุมมองของ นิมิตร์ เทียนอุดม ในฐานะภาคประชาชน ตัวแทนกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ย้ำถึงคุณสมบัติของรัฐมนตรีสาธารณสุข มีภารกิจหลัก 2 ด้านสำคัญ
ภารกิจแรก คือ กำกับดูแลโรงพยาบาลของรัฐ โดยกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าของโรงพยาบาลของรัฐกว่า 90% ทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นบริการพื้นฐานที่ประชาชนพึงได้รับ

หน้าที่ของรัฐมนตรี คือ ต้องกำกับให้หน่วยบริการเหล่านี้มีมาตรฐาน ให้บริการที่ยึดโยงกับประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่บริการที่ตกอยู่ภายใต้แนวคิดกำไร–ขาดทุน เพราะนี่คือบริการพื้นฐานที่รัฐต้องจัดให้
ย้ำว่า การเป็นมืออาชีพของรัฐมนตรี จึงหมายถึงความสามารถในการบริหารจัดการหน่วยบริการให้มีความพร้อม ทั้งกำลังคน ทรัพยากรบุคคล และทรัพยากรด้านกายภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ไม่ใช่บริการที่ด้อยมาตรฐานหรือแออัดเกินไป
ภารกิจที่สอง คือ บริหารระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นอกจากดูแลโรงพยาบาล รัฐมนตรีสาธารณสุขยังต้องนั่งเป็นประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งกำหนดทิศทางของระบบบัตรทองโดยตรง
“โจทย์สำคัญคือคุณจะบริหารจัดการการเงินอย่างไร เพื่อให้ประชาชนได้สิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม ได้บริการที่มีคุณภาพที่สุด โดยใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด”
นิมิตร์ เทียนอุดม
นิมิตร์ ยังย้ำว่า รัฐมนตรีสาธารณสุขไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ แต่ควรได้คนที่มีความเป็นมืออาชีพด้านการบริหาร เข้าใจหลักการจัดการคน ทรัพยากร และสร้างแรงจูงใจให้หน่วยงานในสังกัดสามารถจัดบริการที่มีมาตรฐานและคุณภาพ เป็นบริการของรัฐที่ประชาชนรู้สึกเชื่อมั่นได้
ส่วนเวลาจำกัดแค่ 4 เดือน นิมิตร์ เห็นว่าไม่ใช่อุปสรรค หลายเรื่องไม่ใช่สิ่งที่ต้องเริ่มจากศูนย์ แต่เป็นเรื่องที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว เพียงรัฐมนตรีเข้าใจกลไกที่มี รีบหยิบมาสานต่อและตัดสินใจ ก็สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ได้ภายใน 4 เดือน ถ้าจะทำจริง ๆ เวลาก็ไม่ใช่ปัญหา
เมื่อ ‘สาธารณสุข’ ไม่ใช้มืออาชีพ เหมือนกระทรวงเศรษฐกิจ ?
ในฐานะของอดีตแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน เคยแบกรับภาระ มองเห็นปัญหาระบบสาธารณสุขชายแดน มุมมองของ หมอเบียร์ – พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม อดีตอายุรแพทย์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลแม่สอด จึงน่าสนใจเช่นกัน เธอเห็นว่า กระทรวงสาธารณสุขดูแลคุณภาพชีวิตประชาชนทั้งกายและใจ มีบุคลากรจำนวนมาก และหลากหลายวิชาชีพ โครงสร้างงานก็ซับซ้อนมาก คนที่จะมาคุมต้องมีความเข้าใจเชิงลึกทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ทำงานบนโต๊ะ
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ กระทรวงพาณิชย์ ที่ดึงมืออาชีพภายนอกมาดูแล สาเหตุหนึ่งอาจเพราะโครงสร้างพื้นฐานของกระทรวงสาธารณสุข แน่นอยู่แล้ว งบประมาณและแผนงานต่าง ๆ ค่อนข้างชัดเจน จึงไม่ถูกมองว่าเป็นวิกฤตที่ต้องการ ยอดฝีมือ มาคุมเร่งด่วน

“อาจจะมองได้ 2 มุม มุมหนึ่งคือโครงสร้างสาธารณสุขดีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้คนพิเศษ อีกมุมหนึ่งคือ อาจถูกให้ความสำคัญน้อยเกินไปก็ได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราหวังว่าจะได้คนที่เห็นคุณค่าของระบบจริง ๆ”
พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม
หมอเบียร์ ยอมรับว่า การจัดสรรตำแหน่งในลักษณะโควตาพรรคการเมือง ระบบการเมืองไทยหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่สิ่งสำคัญคือ รัฐมนตรีจะต้องรับฟังข้อเสนอจากข้าราชการประจำอย่างจริงจัง
“ถึงแม้รัฐมนตรีจะไม่ใช่หมอหรือพยาบาล แต่ถ้าฟังและเข้าใจสิ่งที่ข้าราชการประจำนำเสนอ ก็สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องและเดินหน้านโยบายที่ดีต่อประชาชนได้”
พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม
ด้วยเวลาของรัฐบาลที่มีอยู่อย่างจำกัด การเลือกผู้ที่จะเข้ามาดูแลกระทรวงสาธารณสุข จำเป็นต้องเป็นคนที่เข้าใจปัญหาจริง ๆ และมีประสบการณ์เพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ทันที จึงควรเน้น การรักษานโยบายที่ดี และเร่งตัดสินใจในเรื่องที่ค้างอยู่มากกว่าเริ่มโครงการใหม่ ยกตัวอย่างประเด็นสำคัญที่ควรเร่งผลักดัน เช่น
- การแก้ปัญหาการลาออกของบุคลากรสาธารณสุข ผ่านการปรับโครงสร้างเงินเดือน และสภาพการทำงาน
- การจัดสรรแพทย์และบุคลากรไปยังพื้นที่กันดาร
- การบริหารจัดการยา โดยเฉพาะยานอกบัญชียาหลัก
- การจัดระบบดูแลผู้ป่วยข้ามชาติและแรงงานต่างด้าว เพื่อลดภาระการเงินของโรงพยาบาล
“สาธารณสุขไม่ได้เป็นพื้นที่ที่ต้องการนโยบายประชานิยมเร่งด่วน แต่เป็นพื้นที่ที่ต้องการความต่อเนื่อง ความมั่นคง และการตัดสินใจที่ถูกต้องในเรื่องที่รอการแก้ไข”
พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม
การเลือกบุคคลมาเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จึงไม่ใช่แค่การจัดสรรเก้าอี้ในทางการเมือง แต่คือการกำหนดอนาคตของระบบสาธารณสุขไทยทั้งระบบ แม้รัฐบาลจะมีเวลาบริหารแค่ 4 เดือน แต่ก็คงไม่มีอะไรแน่นอน
เพราะเหตุใด ? สุขภาพคนไทยจึงไม่ได้รับการมองว่า สำคัญ พอ ๆ กับ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่สำคัญเท่ากับ ชีวิตของประชาชน ?
เรามีหมอ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสาธารณสุขมากมาย ในฐานะ คนนอก ที่ผ่านการทำงานจริงในภาวะวิกฤตด้านสุขภาพ แต่กลับไม่ถูกมองว่าเหมาะสมกับตำแหน่งระดับนโยบาย ที่ต้องการคนรู้และเข้าใจจริง ๆ มาเป็นผู้ที่กำหนดทิศทางสุขภาพของผู้คนทั้งประเทศ
หรือคงถึงเวลาแล้วที่สังคม ต้องถามรัฐบาลตรง ๆ ในเมื่อเศรษฐกิจยังเลือกมือโปรได้ ทำไมสาธารณสุข ถึงยังมีแต่คนการเมือง ไปบริหาร และจะเป็นไปได้ไหม ที่การเมืองไทยจะไม่ยึดแค่โควตา แต่สรรหาคนให้เหมาะกับงานมาบริหารประเทศได้จริง ๆ สักที