“ไม่ได้ยุให้เกิดการรัฐประหาร เพราะทหารจะรัฐประหารก็ไม่ได้บอก จะทำเมื่อไหร่ก็ทำไป ถ้าเห็นว่าวิกฤตการเมืองเกิดขึ้น และแก้ไม่ได้ เขาจะทำก็เรื่องของเขา”
ประโยคที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ขึ้นปราศรัยระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม‘รวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตยไทย’ เย็นวันที่ 28 มิถุนายน 2568 บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ขณะที่แกนนำอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ ระบุก่อนการชุมนุม ปฏิเสธเป้าหมายนำไปสู่การรัฐประหาร แต่ส่งสัญญาณถึงการชุมนุมครั้งถัดไปว่า การชุมนุมในวันนี้เป็นการส่งสัญญาณให้เตรียมรองเท้าผ้าใบ เสื้อผ้า มาปักหลักค้างคืนไล่รัฐบาล โดยหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ แล้วยังไม่สำนึก จะประกาศยกระดับ “ไม่เรียกร้องให้ลาออก แต่จะขับไล่สถานเดียว”
The Active ลงพื้นที่สังเกตการณ์การชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ร่วมค้นหาเหตุผลของผู้คนที่เข้าร่วมชุมนุมครั้งนี้ สะท้อนมุมมองหลากหลาย อาจมีเป้าหมายคล้ายกัน แต่สุดท้ายจะไปจบที่ไหน หรือ วิธีการอะไร อาจยังไม่ใช่คำตอบเดียว


“เมื่อมีม็อบ แสดงว่ามีความไม่ปกติเกิดขึ้นในบ้านเมือง” เสียงสะท้อนบางส่วนจากประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา
บางส่วนต้องการออกมาเพื่อแสดงพลังให้ประเทศคู่ขัดแย้ง (กัมพูชา) ได้เห็น จุดร่วมที่คล้ายกันของการออกมาม็อบที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิคือ “ไม่เห็นด้วยกับการปฏิบัติหน้าที่ต่อของ นส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน” แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีคนจำนวนหนึ่งในม็อบที่มีจุดยืน ต้องการขับไล่รัฐบาล เชียร์ทหาร หรือ แม้แต่การปราศรัยของแกนนำ (บางคน) ล่อแหลม เสี่ยงต่อการกวักมือเรียกทหาร
เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากต้องจับตา 1 ก.ค.2568 วันนัดหมายของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะเป็นอีกจุดเปลี่ยน หรือ เงื่อนไขในทางการเมืองไทยหรือไม่ เพราะ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำม็อบ ย้ำชัดในเวทีการปราศรัยเมื่อวานนี้ (28 มิ.ย.68) นี่เป็นเพียงสัญญาณเตือน พร้อมเปิดเงื่อนไข “ยกระดับการชุมนุมทันที หาก ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ แต่ไม่สำนึก”
รวมถึง หากยังปล่อยให้มีการนำร่าง พ.ร.บ.เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีกาสิโน เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ, หากมีโครงการแลนบริดจ์ เวนคืนที่ดิน 3 แสนไร่ในภาคใต้, การผลักดันกฎหมายให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี, หรือการเปลี่ยนระบบเงินตรา โดยไม่คำนึงถึง ธนบัตร ฯลฯ ล้วนเป็นเหตุผลในการชุมนุมยกระดับในอนาคตอย่างแน่นอน

ธนพร ชี้ แกนนำอภิปรายล่อแหลมกวักมือเรียกรถถัง ไม่ใช่สิ่งที่สังคมไทยต้องการตอนนี้
“ม็อบสะท้อนว่า ความไม่พอใจต่อท่าที หรือเนื้อหาของคลิปมีอยู่จริง… ต้องเรียนว่ายอดผู้ชมทางออนไลน์สูงมากจริงๆ เท่ากับว่าความรู้สึกไม่พอใจมีอยู่จริง
คำถามคือ จุดสิ้นสุดของเรื่องนี้อยู่ตรงไหน ? จับตา 1 ก.ค. ศาลนัดพิจารณาคำร้องของประธาน สว. จะมีการไปรวมตัวแสดงความไม่พอใจกันอีกหรือไม่…”
รศ.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ให้สัมภาษณ์กับ The Active หลังเข้าพื้นที่ไปสังเกตการณ์ม็อบในช่วงค่ำๆ ของวันที่ 28 ก.ค.2568 ระบุว่า ส่วนมากเป็น FC ของม็อบ กปปส.เดิม แทบไม่มีคนรุ่นใหม่ออกมา การอภิปรายแกนนำบางท่านล่อแหลม ต่อการกวักมือเรียกรถถัง ไม่ใช่สิ่งที่สังคมไทยต้องการตอนนี้ เข้าใจว่าทุกคนมีเจตนา และเป้าหมายส่วนตัว แต่ที่ผ่านมาสังคมไทยมีฉันทามติร่วมกันแล้วว่าต้องการเปลี่ยนแปลงตามครรลองของประชาธิปไตย
เท่าที่ประเมินองค์ประกอบการโค่นล้มรัฐบาล รศ.ธนพร มองว่ายังอยู่ที่ 50% คือ “มีประเด็น, มีแกนนำ” แต่ยังไม่เห็นพรรคการเมือง และท่อน้ำเลี้ยงที่เพียงพอต่อเป้าหมายการล้มรัฐบาล จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ยังไม่มีการชุมนุมไหนล้มรัฐบาลได้ มีเพียงการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหารถึงจะล้มรัฐบาลได้

“ลาออกเถอะ หรือ ยุบสภาฯ เพราะหากไม่แสดงสปิริต สิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นจะกลายเป็นเงื่อนไขทันที…. ผมเห็นบรรยากาศม็อบแล้ว นี่คือโมเดลเดียวกับม็อบ’49 และม็อบ’57 ความรู้สึกของคนได้ปล่อยพลัง ทำกิจกรรมความไม่พอใจร่วมกันแล้ว ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลต้องทำตามข้อเรียกร้อง ไม่ต่างจากในอดีต
แต่เนื้อหาการอภิปรายแกนนำหลายคน ไม่ตอบโจทย์ฉันทามติร่วม หลายท่านกวักมือเรียกรถถังชัดเจน เป็นสิ่งที่เราไม่พึงประสงค์แน่นอน”
ม็อบแสดงพลัง หรือ เรียกทหาร? จุดร่วมเดียวกัน “ไม่พอใจผู้นำ”
The Active พูดคุยกับประชาชนที่เข้าร่วมการชุมนุม เพื่อค้นหาว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมคืออะไร หลายคนยืนหยัดอยู่ที่รอบวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิไม่ไปไหนจนถึงเวลายุติการชุมนุม
จิรกานต์ ศรีวิยศ วัย 28 ปี อาจถือได้ว่า เป็นผู้ชุมนุมที่มักจะถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นคนรุ่นใหม่ อายุน้อย ท่ามกลางผู้ร่วมชุมนุม ที่เคยผ่านประสบการณ์การชุมนุมทางการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย จิรกานต์ ระบุเหตุผลว่า เธอเข้าร่วมชุมนุมครั้งนี้เพราะเห็นว่า บ้านเมืองวิกฤต ผู้นำไทยไม่ค่อยเข้มแข็ง ปัญหาไทย-กัมพูชา เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มองเห็นการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพภายในประเทศ และรู้สึกดีใจที่เห็นคนไทยมารวมพลังกัน พร้อมย้ำ อยากเห็นคนรุ่นใหม่ออกมาแสดงพลังด้วยกัน แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกันบางเรื่อง แต่การจัดม็อบครั้งนี้ ส่วนหลัก คือ ต้องการเห็นคนไทยแสดงพลัง
เธอมองว่าม็อบครั้งนี้แตกต่างจาก 2-3 ปี ก่อน เพราะไม่ค่อยเห็นในโลกออนไลน์ เพื่อนในวัยเดียวกันมาน้อย แต่ส่วนตัวมองว่า นี่ไม่ใช่ม็อบภายในประเทศ ต้องออกมาแสดงความสามัคคีก่อนเป็นจุดเริ่มต้น หน้าตาของแกนนำแต่ละคนมาจากคนละฝ่ายในอดีต สะท้อนว่า ทุกคนสามารถมาร่วมตัวกันได้ในเวทีเดียวกันในยามเกิดวิกฤต
เป้าหมายของการมาม็อบในครั้งนี้ “เธอยังอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ไม่ได้อยากแสดงพลังอย่างเดียว แต่อยากเห็นประเทศดีขึ้น นายกฯ ควรลาออก และยังอยากเห็นการทำงานของรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จะได้ไม่ต้องมีคนลงถนนแบบนี้อีก และยืนยันว่าไม่เอารัฐประหาร”


สุลักษณา เลาจเวชกุล ผู้เคยผ่านประสบการณ์ ม็อบพฤษภาทมิฬ และ ม็อบพันธมิตร เธอรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ทำเพื่อประเทศชาติ เพราะทุกคำที่พูดออกมามีความเสี่ยง มีน้อยคนที่จะกล้าพูดความจริง แค่เธอก็ยังอยากได้ข่าวสารที่ถูกต้อง อยากให้ประชาชนศึกษาประวัติศาสตร์ เพราะมักจะซ้ำรอย “100 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร อนาคตก็เป็นเช่นนั้น…”
รอบนี้เธอก็ยังยืนยันแสดงพลัง เพราะ รู้สึกว่าประเทศชาติต้องการคนที่มาดูแลจริงๆ ปัจจุบันนี้มีแต่คนอยากได้ผลประโยชน์ที่มาเป็นรัฐบาล แต่จริงๆ แล้วคนที่จะมาเป็นรัฐบาล ต้องเป็นคนที่มีจิตใจรักชาติ ทำเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ทำเพื่อตระกูลของใคร
“จริงๆ ไม่ได้อยากมาเดินนะ พี่ก็แก่ลงเรื่อยๆ แต่พี่รู้สึกว่ามีทางเดียว ที่จะเอาคนที่ไม่ได้รักชาติจริงๆ ออกจากตำแหน่ง คลิปที่หลุดก็มีอิทธิพลมาก ตกใจเพราะประโยคนี้ไม่น่าออกมาจากปากคนไทยเลยไม่ได้อยากมีรัฐประหาร แต่อยากให้มีนายกฯ ที่รักในการเป็นนายกฯ เสียสละเวลาของตัวเองเพื่อประโยชน์ของประเทศได้”

สมชาย ศรีณรงค์ จักรยานยนต์รับจ้าง ที่มาคอยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มาชุมนุม เป็นอีกคนที่รู้สึกเบื่อกับการเมืองประเทศไทยที่ไม่พัฒนาขึ้น เศรษฐกิจย่ำแย่ ประชาชนคนไทยต้องช่วยเหลือตัวเอง เอาตัวรอดกันเอง รู้สึกอึดอัด และเซ็ง ต้องการให้นายกฯ ลาออก เพราะบ้านเมืองไม่พัฒนา และไม่เหมาะกับตำแหน่งผู้นำ การแก้ปัญหาเหล่านี้ผู้นำต้องทำเป็นตัวอย่าง เขาย้ำว่า ไม่กลัวการรัฐประหาร เพราะชิน และเห็นมาตั้งแต่ 14 ตุลาฯ คนตายกันมากมาย ส่วนม็อบ ก็คือมุมมองของคนที่ไม่พอใจ อึดอัด เพราะภาพรวมของเศรษฐกิจไม่ดีขึ้นเลย


จงกลนี สนทอง จ.สุรินทร์ ระบุว่า การมาในครั้งนี้เธอต้องการมาแสดงพลังให้รู้ว่าคนไทยมีพลังมากกว่า ต้องการปกป้องดินแดน โดยวันนี้มีคน จ.สุรินทร์ เดินทางมาร่วม 300-400 คน เพราะเห็นว่านายกฯ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ หากเดินต่อประเทศไทยต้องเสียอะไรมากกว่าเดิม และควรหยุดทำงาน ไม่ต้องการยุบสภาฯ เพราะอาจจะได้พรรคการเมืองไม่ดีเข้ามาอีก
และเมื่อถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับการรัฐประหาร เธอตอบว่า
“เราเชียร์ทหารมากเลยนะคะ เพราะอยากให้มาปกครองมากกว่านักการเมืองทุกวันนี้เพราะว่าทหาร ยอมปกป้องชาติ นักการเมือง มีแต่ขายชาติ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเชียร์ทหาร อยากให้ลุงตู่กลับมา”

สรรเพชญ ศรีทอง วัย 36 ปี เป็นอีกคนที่มีจุดยืนร่วมการชุมนุมตั้งแต่ ‘ม็อบพันธมิตร และ ม็อบ กปปส.’ เขามองว่าม็อบนี้มีความแตกต่าง ไม่จำเป็นต้องเป็นกระแส แต่มีความรู้สึกร่วมของประชาชนที่รู้สึกมานาน และอยากแสดงพลังร่วมกันให้เกิดการสื่อสารออกไป คาดหวังจะเห็นมุมใหม่เกิดขึ้นในสังคมไทย
“ส่วนตัวไม่เบื่อม็อบ มีม็อบมา แสดงว่าสังคมมีความไม่ปกติบางอย่าง ไม่งั้นก็คงไม่เกิดขึ้น”
เขามอบว่า จบม็อบแล้ว ก็ยังยากที่จะล้มนายกฯ แต่แสดงพลังว่าเราไม่เห็นด้วย สิ่งที่นายกฯทำไม่เหมาะสม เขายังเชื่อว่า หากคนรุ่นใหม่เห็นม็อบที่ลงตัว ไม่กระทบเศรษฐกิจ อาจจะทำให้คนรุ่นเดียวกันเปิดใจมากขึ้น แม้จะมีมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างกันก็ตาม และไม่เชื่อว่าม็อบนี้จะนำไปสู่การรัฐประหาร หรือ ไปเข้าทางฝั่งผู้มีอำนาจ แต่มองว่า ทุกม็อบสะท้อนสิ่งที่อยากจะผลักดัน หรืออยากจะให้เปลี่ยนแปลงบางอย่าง ส่วนการแก้ปัญหาต้องลงมือปฏิบัติ