‘หลักสูตรใหม่’ รอไม่ได้ ‘พ.ร.บ.การศึกษา’ ยังไม่มา เดินหน้าระบบสร้างคนด้วยความลังเล ?

แม้หลักสูตรการศึกษาใหม่ 2568 ที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดการรู้หนังสือและการประยุกต์ใช้ (Literacy-based Curriculum) เริ่มทยอยใช้ใน 4,000 กว่าโรงเรียนทั่วประเทศ

แต่อีกด้านหนึ่งของสายพานนโยบายกลับพบว่า พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ซึ่งควรเป็นกฎหมายแม่รองรับหลักสูตรการศึกษา กลับติดชะงัก และยังอยู่ในขั้นตอนการเสนอต่อฝ่ายนิติบัญญัติ กลายเป็นคำถามชวนสงสัยกันต่อว่า แล้ว พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ จะถูกลอยแพแล้วหรือไม่ ?

  • ความลักลั่นในฝ่ายการศึกษา ที่ต้องตอบสนองนโยบายและประกาศที่เปลี่ยนไปไม่เว้นแต่ละปี

  • ครูที่เริ่มสอนหลักสูตรใหม่ปี 2568 ยังต้องใช้แบบเรียนและตำราการสอนที่อิงหลักสูตรแกนกลางแบบเก่าในปี 2551

  • ระบบการอบรมและผลิตครูก็ยังยึดโยงตามวิชาเอกและระบบ 8 กลุ่มสาระวิชาพื้นฐาน

  • ปัญหาการประเมินหลักสูตรและการประเมินผู้เรียนหลังเรียนจบในแต่ละช่วงชั้น

  • รูปแบบการประเมินผลอย่างข้อสอบ O-NET ต้องเปลี่ยนไปตามหลักสูตรใหม่ด้วยหรือไม่ ?

ทั้งหมดนี้คือบางส่วนของหลากหลายประเด็นคำถาม ซึ่งก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนนัก

“ต่างคน ต่างทำ” คือ สภาพระบบการศึกษาไทย ที่ทำให้คนปลายสายพานของนโยบายต้องเผชิญกับความสับสนไม่รู้จบ แต่โจทย์ของการศึกษาในโลกใหม่กลับต้องอาศัยการบูรณาการทุกภาคส่วน The Active ชวนถกและหาทางออกของปัญหาการศึกษาไทยที่เต็มไปด้วยความลังเล ไปกับ ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล นักวิชาการด้านการศึกษา ในฐานะประธานคณะทำงานด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค

พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ : แผนที่นำทางการศึกษาไทย…ที่ถูกลืม ?

ความหวังที่จะผลักดัน พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ให้สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้เริ่มริบหรี่ลง เมื่อร่างกฎหมายที่มีเป้าหมายแทนที่ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 ซึ่งใช้มานานกว่า 26 ปี ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมความเห็น และยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี คาดว่าจะไม่ทันประกาศใช้ภายในเวลาอีกเพียง 2 ปีที่เหลือ

อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายแม่ฉบับใหม่จะยังไม่แล้วเสร็จ แต่ตลอดช่วงที่ผ่านมา ก็มีการทยอยออกกฎหมายลูกเพื่อปรับเปลี่ยนบางส่วนของระบบการศึกษาแล้ว แต่การเดินหน้าออกกฎหมายลูกไปก่อนในทำนองนี้ จะยิ่งทำให้การศึกษาไทยเดินหน้าไปด้วยความลังเลหรือไม่ ?

ผศ.อรรถพล มองว่า สถานการณ์ปัจจุบันกำลังเกิดความสับสนเชิงนโยบาย เพราะแม้หลักสูตรใหม่จะเริ่มทดลองนำร่องแล้ว แต่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ฉบับใหม่ ซึ่งควรเป็นกฎหมายแม่รองรับระบบการศึกษาทั้งหมด กลับยังค้างอยู่ในกระบวนการพิจารณา ตามหลักการแล้ว พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ เปรียบเสมือน แผนที่นำทาง สำหรับการจัดการศึกษาในทุกช่วงวัยและทุกระบบ แต่ขณะนี้ ร่าง พ.ร.บ. กลับมีความไม่ชัดเจนว่า จะครอบคลุมการศึกษาทั้งระบบหรือจะเน้นไปที่การศึกษาขั้นพื้นฐาน (ป.1 – ม.6) เนื่องจากในช่วงที่ร่าง พ.ร.บ. ยังไม่เสร็จ ก็มีการออกกฎหมายลูกบางส่วนไปแล้ว เช่น พ.ร.บ. การศึกษาปฐมวัย และ พ.ร.บ. การศึกษาตามอัธยาศัย

ยิ่งไปกว่านั้นยังมี ร่าง พ.ร.บ. บางฉบับที่ถูกตั้งคำถามว่ามาจากฝ่ายการเมือง หนึ่งในนั้นคือร่างที่จัดทำโดยคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ซึ่งมีมาตรา 8 ที่กำหนด ล็อคสเปก ถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียนแต่ละช่วงวัย หากในอนาคตมีการใช้ร่างนี้จริง ก็อาจทำให้หลักสูตรที่ออกมาใหม่ ต้องกลับไปยึดโยงกับกรอบคุณลักษณะตามช่วงวัยอย่างเข้มงวด แต่ในทางปฏิบัติ หลักสูตรนำร่องที่ประกาศใช้อยู่ในขณะนี้ไม่ได้อิงตามกรอบมาตรา 8 ดังกล่าว

“ถ้าร่างสุดท้ายของ พ.ร.บ. มีความยืดหยุ่น ไม่ล็อกกรอบคุณลักษณะมากนัก ก็อาจไม่กระทบกับหลักสูตรใหม่มาก แต่ถ้าออกมาภายหลังและมีความต่างกัน ก็ต้องทบทวนหลักสูตรใหม่อีก”

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล

โลกเปลี่ยนไป หลักสูตรใหม่รอไม่ได้อีกแล้ว

หนึ่งในเหตุผลที่ต้องประกาศใช้หลักสูตรนำร่องปี 2568 ไปก่อน เป็นเพราะกระบวนการปรับปรุงหลักสูตรล่าช้ามานาน ขณะที่เนื้อหาวิชาความรู้ต้องพัฒนาให้ทันกับยุคสมัย และโลกอนาคตที่ประกอบสร้างใหม่อยู่ทุก ๆ วัน อย่างไรก็ตาม เมื่อหลักสูตรซึ่งเป็นองค์ประกอบของการศึกษาออกมาก่อนกฎหมายแม่ ย่อมทำให้เกิดความคลุมเครือในขั้นตอนการดำเนินการ โดยเฉพาะการขยายผลการใช้หลักสูตรทั้งระบบในอนาคต

การประกาศใช้หลักสูตรใหม่เริ่มขึ้นอย่างเร่งรีบในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โรงเรียนต่าง ๆ สมัครเข้าร่วมโครงการนำร่องในช่วงเมษายน-พฤษภาคม และเริ่มใช้จริงภาคเรียนนี้ ครูมีเวลาเพียง 45 วันในการทำความเข้าใจตัวหลักสูตรใหม่ และเริ่มเดินหน้าสอนทันทีในวันเปิดเทอม หลายอย่างพอจะเตรียมการได้ แต่หลายอย่างก็เป็นเรื่องใหม่ เช่น การประเมินผลแบบ Rubrics (ระดับความสามารถ) และเนื้อหาวิชาที่เน้นบูรณาการเพื่อประยุกต์ในชีวิตจริง

แม้หลักสูตรไปก่อนแล้ว แต่ ผศ.อรรถพล เชื่อว่า ยังมีสิ่งที่ตามมาไม่ทัน คือ การพัฒนาแบบเรียนและทรัพยากรประกอบการเรียนรู้ เนื่องจากเนื้อหาหลักยังอิงจากกรอบสาระความรู้เดิม ใช้ตำราของหลักสูตรเดิม โรงเรียนจำนวนหนึ่งจึงต้องออกแบบเอกสารประกอบการสอนขึ้นเอง แต่ในปีหน้าที่คาดว่าจะขยายใช้ทั่วประเทศกว่า 20,000 โรงเรียน อาจเป็นโจทย์ไปยังกระทรวง รวมถึงสำนักพิมพ์อาจต้องผลิตแบบเรียนใหม่ให้ทันเวลา

หนึ่งในข้อกังวลสำคัญ คือการเตรียมความพร้อมของครู หากจะปรับระบบการสอนให้เป็นแบบบูรณาการจริง ๆ จะต้องวางแผนพัฒนาครูล่วงหน้าหลายปี ทั้งด้านความรู้ ทักษะ และความเข้าใจในแนวคิดใหม่ ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีคำชี้แจงจากกระทรวงศึกษาธิการ ว่าจะดำเนินการอย่างไร

นักการศึกษา ย้ำว่า เรื่องแบบนี้ไม่ควรรอใกล้วันประกาศใช้ถึงค่อยมาคิด ควรค่อย ๆ ให้ความชัดเจนกับโรงเรียนและครูตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าปีการศึกษาหน้าและปีถัดไปจะขยายผลอย่างไร เพื่อให้โรงเรียนวางแผนเตรียมตัวได้ทัน ในภาพรวมจึงมองว่า วงการการศึกษาตอนนี้กำลังเผชิญความคลุมเครือทั้งในส่วนของตัวหลักสูตรใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้บางส่วน กับร่าง พ.ร.บ. การศึกษาที่อยู่ในกระบวนการนิติบัญญัติ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปีกว่าจะประกาศใช้ได้อย่างเป็นทางการ

“สุดท้ายแล้วทั้งสองส่วน [หลักสูตรและกฎหมายการศึกษา] ต้องมาบรรจบกันให้ได้
เพราะหลักสูตรต้องตอบโจทย์ตามเป้าหมายที่กฎหมายแม่วางไว้”

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล

หลักสูตรต้องมีชีวิต ไม่เขียนทิ้งไว้บนหิ้ง แต่ใช้ได้จริงในห้องเรียน

การศึกษาไทยยึดติดกับตัวชี้วัดจำนวนมากของหลักสูตรเดิมมานานกว่า 18 ปี นับตั้งแต่การปรับปรุงหลักสูตรครั้งใหญ่เมื่อปี 2551 ซึ่งไม่สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของวิทยาการเรียนรู้ใหม่ ๆ ผศ.อรรถพล เน้นชัดว่า การปฏิรูปหลักสูตรจึงจำเป็นต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชวนกันถกและพูดคุยร่วมกัน ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบ บิ๊กแบง พร้อมกันทั้งระบบในทุกโรงเรียนอย่างที่เคยเป็นในอดีต เพราะแต่ละพื้นที่ย่อมมีเป้าหมายทางการศึกษาที่แตกต่างกัน

Image Name

ในหลายประเทศ การปรับหลักสูตรจะทยอยเปลี่ยนเฉพาะบางหมวดหมู่ เช่น เริ่มจากคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ก่อนขยับไปภาษา และสังคมศาสตร์ เพื่อให้โรงเรียนสามารถปรับตัวได้ทันเวลาและลดภาระความสับสนในการเปลี่ยนผ่าน หรือเริ่มนำร่องที่ชั้นปีแรกของช่วงชั้นอย่าง ป.1, ป.4, ม.1 และ ม.4 จากนั้นจะค่อยขยับ ๆ ไปทีละชั้นปี จะเป็นการเปลี่ยนผ่านหลักสูตรที่สอดคล้องกันทุกช่วงชั้น

ขณะที่ หลักสูตรใหม่ปี 2568 กลับใช้วิธีปรับใหม่ทั้งช่วงชั้น ป.1 – ป.3 ทำให้เด็กที่จะขึ้นป.4 ในปีหน้า อาจติดอยู่ในสุญญากาศของหลักสูตรได้

อย่างไรก็ตาม ผศ.อรรถพล ก็ยังตั้งข้อสังเกตว่า กระบวนการจัดทำหลักสูตรครั้งนี้ยังขาดการมีส่วนร่วมจากสังคมวงกว้าง ต่างจากในหลายประเทศที่เปิดเวทีพูดคุยกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งนักวิชาการ ผู้ปกครอง ภาคแรงงาน และมหาวิทยาลัย ผ่านเอกสารเชิงนโยบาย ก่อนสรุปเป็นหลักสูตรฉบับสมบูรณ์ ซึ่งช่วยลดความสับสนและข้อถกเถียงเมื่อประกาศใช้ แต่ในไทยกลับเป็นการทำงานของคณะทำงานขนาดเล็ก เมื่อหลักสูตรประกาศใช้แล้วจึงเกิดข้อกังวลจากสังคม เช่น วิชาประวัติศาสตร์จะยังมีอยู่ไหม ? วิชาศาสนายังมีอยู่ไหม ? จะต้องยุบวิชาของ 8 กลุ่มสาระไปเลยไหม ? เป็นต้น

สำหรับ ผศ.อรรถพล เชื่อว่า กฏหมายแม่บทในหลายประเทศมักกำหนดเพียงเจตนารมณ์และเป้าหมายกว้าง ๆ ของระบบการศึกษา ระบุขอบเขตสิทธิของผู้เรียนเป็นหลัก และให้อิสระกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการรายละเอียด เช่น กลไกประกันคุณภาพ หรือการทำกรอบหลักสูตรแห่งชาติ พร้อมระบุตัวหน่วยงานที่รับผิดชอบและความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละส่วนงานอย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเองภายใต้เป้าหมายเดียวกัน

ในกรณีของไทย กลับพยายามเขียนรายละเอียดจำนวนมากลงไปใน พ.ร.บ.ฉบับเดียว เขียนความคาดหวังที่มีต่อเด็กจนเกิดข้อถกเถียงไม่สิ้นสุด และนำไปสู่การมีร่างกฎหมายหลายเวอร์ชัน สะท้อนความไม่มีฉันทามติร่วมกันในสังคม จึงเป็นสิ่งที่ นักการศึกษา ตั้งคำถามว่า เจตนารมณ์ของร่างกฎหมายที่มีอยู่สอดคล้องกับเป้าหมายทางสังคมของประเทศแล้วหรือยัง ?

เพราะสุดท้ายแล้ว การศึกษาคือเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม ซึ่งต้องตอบให้ได้ว่าสังคมไทยจะมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางใด

“การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสังคม ร่างกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ จึงต้องตอบให้ได้ว่าสังคมไทยจะเดินหน้าไปสู่อนาคตแบบไหน และต้องเตรียมคนอย่างไรเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายนั้น”

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล
ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล ประธานคณะทำงานด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค

บทส่งท้าย : 3 สิ่งที่การศึกษาไทยต้องแก้ไขทันที

การเปลี่ยนหลักสูตรไม่ใช่เพียงการเขียนเอกสารใหม่ หรือแค่สอนวิชาเก๋ ๆ ให้เด็ก แต่ต้องปรับกระบวนการทำงานในโรงเรียนทั้งหมด สำหรับ ผศ.อรรถพล ย้ำว่า โรงเรียนนำร่องควรได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้มุ่งเน้นเฉพาะเรื่องหลักสูตร ลดภาระงานอื่น ๆ ลง เพื่อให้ห้องเรียนสามารถปรับตัวได้อย่างมั่นใจ มิฉะนั้น เด็กอาจได้รับผลกระทบจากความไม่ต่อเนื่องของความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่เด็กไทยต้องเผชิญกับภาวะ Learning-loss ในช่วงสถานการณ์โควิด

อีกความท้าทายคือความชัดเจนในแผนงานการพัฒนาครูและการเตรียมความพร้อมของสถาบันผลิตครู ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของการเปลี่ยนหลักสูตรใหม่ ขณะนี้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา รวมถึงกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ต่างทำงานกันแบบขาดการประสาน ส่งผลให้สถาบันผลิตครูเองก็ไม่สามารถเตรียมความพร้อมให้ตรงตามความต้องการของระบบใหม่ได้ทัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวันนี้จึงเป็นโจทย์เร่งด่วน 3 เรื่อง ได้แก่

  1. กำหนดเป้าหมายระยะยาวและสื่อสารให้ชัดเจนกับสาธารณะ
    กระทรวงต้องวางเป้าหมายเชิงนโยบายการศึกษาระยะยาวให้ชัดว่าอยากให้ระบบการศึกษาไทยมุ่งไปทางไหน และสื่อสารกับทุกภาคส่วนอย่างเปิดเผยและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมในสังคม

  2. เชื่อมโยงการทำงานของหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย
    ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น โรงเรียนในสังกัดต่าง ๆ, สถาบันผลิตครู, หน่วยงานออกแบบหลักสูตร ฯลฯ ยังทำงานไม่ประสานกัน กระทรวงต้องวางระบบความเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดให้เกิดเอกภาพทั้งในส่วนกลางและระดับพื้นที่

  3. จัดวางระบบความรับผิดชอบและกลไกการประสานงานในพื้นที่
    กระทรวงต้องไม่โยนความรับผิดชอบให้หน่วยปฏิบัติอย่างเดียว แต่ต้องมีระบบสนับสนุนให้เกิดชุมชนการเรียนรู้ในแต่ละพื้นที่ โดยออกแบบให้โรงเรียนใกล้เคียงสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน พร้อมทั้งมีหน่วยสนับสนุนในพื้นที่ช่วยประสานการขับเคลื่อนหลักสูตรอย่างมีประสิทธิภาพ

ท้ายที่สุด การเปลี่ยนหลักสูตรจำเป็นต้องมีการสื่อสารกับสาธารณะอย่างต่อเนื่อง เพราะโรงเรียนคือภาพสะท้อนของสังคม ผู้ปกครองและสังคมต้องรับรู้ เข้าใจ และมีส่วนร่วมกับทิศทางของระบบการศึกษา ไม่ใช่ปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแบบปิดล้อมในหน่วยงานทางการศึกษาเพียงฝ่ายเดียว

ความร่วมมือทั้งด้านนโยบาย การบริหารจัดการ และการสื่อสารกับประชาชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปหลักสูตรครั้งนี้ให้ประสบความสำเร็จได้

Author

Alternative Text
AUTHOR

พีรดนย์ ภาคีเนตร

เฝ้าหาเรื่องตลกขบขันในชีวิต แต่พบว่าสิ่งที่ตลกที่สุดคือชีวิตเราเอง