อิคิไกในความชรา คณะละครเยียวยา โออิโบะเกะชิ (OiBokkeShi) : เหตุผลการมีชีวิตอยู่ของ ‘ผู้สูงวัย-สมองเสื่อม’  

หากเราเดินบนท้องถนนญี่ปุ่นวันนี้ ว่ากันว่าถ้าเห็นผู้สูงอายุเดินมา 3 คน จะมี 1 คน เป็นผู้ป่วยสมองเสื่อม

ตอนนี้ ญี่ปุ่นมีประชากรสูงวัย (อายุมากกว่า 65 ปี) ราว 36 ล้านคน และในจำนวนนั้น กว่า 10 ล้านคนเป็นผู้มีภาวะสมองเสื่อม และยิ่งสถานการณ์รุนแรงเร่งด่วนมากเท่าไร ยิ่งเกิดวิธีการใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น หนึ่งศาสตร์ที่นำมาใช้ในการดูแลสูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อม คือ การละคร

The Active พูดคุยกับ นาโอกิ ซูกาวาระ (Naoki Sugawara) ผู้ก่อตั้งคณะละคร โออิโบะเกะชิ (OiBokkeShi) ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ละคร และการแสดงในการเยียวยาผู้สูงวัย และผู้มีสภาวะสมองเสื่อม

นอกเหนือจากการเป็นนักการละครแล้ว ซูกาวาระ ยังเคยทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล (Caregiver) ให้กับผู้สูงวัยในเนิร์ซซิ่งโฮม ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งนี้เอง ที่หล่อหลอมตัวตนจนทำให้เขาสามารถใช้ การละคร เชื่อมเข้ากับ การดูแล ได้อย่างลงตัว

กว่า 11 ปี ที่ ซูกาวาระ และคณะละคร โออิโบะเกะชิ ใช้การเล่นละครร่วมกับการดูแลผู้สูงวัยและผู้ป่วยสมองเสื่อม ความรู้สึกเติมเต็มในใจกับความหมายที่ได้จากสิ่งที่ทำ กลายเป็นเหตุผลเล็ก ๆ ของการการตื่นเช้าขึ้นมา เพื่อจะพบว่า ความสุขเล็กน้อยได้อยู่ตรงหน้าของพวกเขาแล้วทุก ๆ วัน และสิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาเรียกมันว่า อิคิไก

โลกการละครและผู้ดูแล ของ นาโอกิ ซูกาวาระ

นาโอกิ ซูกาวาระ ในวัย 42 ปี เล่าว่า ได้รู้จักกับโลกการแสดงและละครครั้งแรกเมื่อได้เข้าร่วมชมรมละครเวทีในช่วงมัธยมปลาย

ในตอนนั้น เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มขี้อาย ที่ชอบนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ คนเดียว ด้วยความที่ไม่ถนัดเรื่องผู้คน หรือคุ้นชินกับการพูดจากับใครมากนัก ทำให้เขามีความสนใจด้านการเขียนบทหรือกำกับการแสดงเสียมากกว่า การจะเข้ามาเป็นนักแสดงเสียเองจึงถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว

นาโอกิ ซูกาวาระ ผู้ก่อตั้งคณะละคร OiBokkeShi (โออิโบะเกะชิ)

ความเป็นชายหนุ่มคนพูดน้อย และถ่อมตัวของ ซูกาวาระในวัยเด็ก ยังสะท้อนให้เราเห็นในวันนี้ จึงไม่น่าแปลกใจ ว่าเหตุใดเขาจึงมีสายตาที่เฉียบคมของนักสังเกตการณ์ และสามารถเชื่อมโยงโลกของศิลปะ เข้ากับ การดูแล ด้วยหัวใจและความรู้สึกลึกซึ้งแท้จริง

ในช่วงเวลานั้น ซูกาวาระ ได้เริ่มเล่นละครเวทีเป็นครั้งแรก เขาต้องเรียนรู้การสื่อสารและส่งความรู้สึกออกไปสู่ผู้ชมทั้งด้วยท่าทาง และการพูด แม้จะเป็นเพียงการท่องจำตามสคริปต์ แต่สำหรับคนพูดไม่เก่งอย่างเขา มันเปรียบเสมือนการทำ กายภาพบำบัดด้านการพูด เลย จากนั้น ศาสตร์ของศิลปะการแสดงก็เริ่มหล่อหลอมตัวตน และทำให้เขาพบว่าการพูดคุยกับผู้คนสามารถสร้างความสุขได้

ซูกาวาระ เข้าเรียนต่อด้านการละครโดยตรงในมหาวิทยาลัยโอบิริน จังหวัดโตเกียว และเริ่มอาชีพแรกด้วยการเป็นนักแสดงในวงการละครเวทีเล็ก ๆ และทำงาน part time ไปด้วยเพื่อเป็นรายได้เสริม

แต่อยู่ ๆ งาน part time ของเขาก็หมดสัญญาลง ซูกาวาระ ขาดรายได้ จึงจำเป็นต้องรีบหางานใหม่เพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ทั้งที่ใจยังรักการทำงานละคร นี่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

“ปี 2011 ญี่ปุ่นเผชิญภัยพิบัติครั้งใหญ่จากแผ่นดินไหวและสึนามิ ตอนนั้นผมอายุปลาย 20 ปี กำลังทำงานละครควบคู่กับ part time แต่แล้วอยู่ ๆ ก็ตกงาน ผมไปที่สำนักงานจัดหางาน เจ้าหน้าที่บอกว่ามีตำแหน่งว่างในสายงาน การดูแลผู้สูงอายุ (caregiving) ผมจึงตัดสินใจลองสมัคร และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเข้าสู่วงการนี้”

นาโอกิ ซูกาวาระ

ซูกาวาระ ตัดสินใจหยุดการเล่นละครที่จังหวัดโตเกียวชั่วคราว และย้ายออกไปอยู่ที่เมืองวาเกะ จังหวัดโอคายามะ เพื่อทุ่มเทกับการทำงานดูแลผู้สูงอายุให้ได้มากที่สุด

แม้ในเวลานั้น การเล่นละครและงานดูแลผู้สูงอายุดูจะเป็นคนละเรื่องกัน แต่สำหรับ ซูกาวาระ แล้วกลับเป็นเหมือนการใช้ปากกาเขียนจุดเล็ก ๆ 2 จุด บนหน้ากระดาษของชีวิต ที่อาจถูกลากเส้นมาบรรจบเชื่อมโยงกันสักวันก็เป็นได้

ค่ำคืนที่ไม่มีวันสิ้นสุด บทละครของผู้ป่วยสมองเสื่อม

ช่วงเวลาที่ ซูกาวาระ ทำงานเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ วันหนึ่งเขาได้ฟังบรรยายเรื่องการดูแลจากนักกายภาพบำบัดและทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า การดูแล กับ การละคร มีบางอย่างที่คล้ายกัน

ทักษะที่ใช้ในการเล่นละคร สามารถนำมาปรับใช้ในการสื่อสารกับผู้สูงวัยและผู้ป่วยได้ดี ในขณะที่ความรู้จากการเป็นผู้ดูแล ยิ่งช่วยเพิ่มมิติและความลึกในการเล่นละครได้มากยิ่งขึ้น

ซูกาวาระ ใช้สายตาของนักการละครมองถึงมาที่การดูแล และใช้ประสบการณ์การดูแลให้กลายเป็นทักษะในการเล่นละคร สายตาที่พิเศษเช่นนี้ อาจไม่ใช่สายตาที่นักละครทั่วไปมองเห็นมาก่อนเป็นแน่

เมื่อเห็นความเชื่อมโยงนี้แล้ว จึงอยากสื่อสารให้คนทั่วไปได้รู้จักกับศาสตร์นี้ให้ได้มากที่สุด ซูกาวาระ ตัดสินใจก่อตั้งคณะละคร โออิโบะเกะชิ (OiBokkeShi)  ขึ้นใน ปี 2014 โดยเริ่มต้นจากการจัดเวิร์กช็อปการละครให้กับผู้สูงวัยและผู้ป่วยสมองเสื่อม

และในปีนั้นเอง ทำให้เขาให้ได้พบกับ ทาดาโอะ โอกาดะ (Tadao Okada) วัย 88 ปี

ทาดาโอะ โอกาดะ (Tadao Okada) วัย 88 ปี นักแสดงดาวเด่นของคณะละคร
(ที่มา: oibokkeshi)

“ตอนนั้นเรามีคุณปู่วัย 88 ปี มาร่วมเวิร์กช็อปด้วย เขาเป็นพนักงานโรงแรมมาทั้งชีวิต พอเกษียณก็อยากทำตามฝันในการเป็นนักแสดง และตอนนี้ เขาต้องอยู่กับภรรยาที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม ประสบการณ์การของเขาจึงมีประโยชน์มาก” 

นาโอกิ ซูกาวาระ

ซูกาวาระ เล่าว่า ในช่วงแรกก็มีความกังวลใจไม่น้อยว่าคุณปู่ท่านนี้จะร่วมคณะละครได้ไหม เพราะนอกจากจะหูไม่ค่อยได้ยินแล้ว ยังลุกเดินไม่คล่องอีกด้วย แต่ทำไปทำมา ท่านกลับกลายเป็นดาราเด่น และร่วมงานกับคณะละครมาสิบกว่าปีแล้ว

“ผมเห็นชัดว่าหลังจากฝึกการแสดง ท่านดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก ท่านเคยรับบทเป็นภรรยาตัวเองที่กำลังมีอาการสมองเสื่อมด้วย ผมคิดว่าความรู้สึกในการรับบทบาทครั้งนั้นมันมีค่ากับท่านมาก”

นาโอกิ ซูกาวาระ

สิ่งหนึ่งที่ ซูกาวาระ และคนในคณะละครได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของคุณปู่โอกาดะ คือ การดำเนินชีวิตร่วมกับผู้ป่วยสมองเสื่อม ซึ่ง ปู่โอกาดะ เล่าว่า ภรรยาของเขามักชอบแอบออกเดินเตร็ดเตร่ไปนอกบ้านบ่อย ๆ ทำให้รู้สึกเป็นห่วงมากและต้องออกเดินตามหาไปทั่วเมือง

เรื่องราวในชีวิตจริงนี้จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดบทละครเกี่ยวกับการ เร่ร่อน ของผู้ป่วยสมองเสื่อม และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของละครเรื่อง “ค่ำคืนที่ไม่มีวันสิ้นสุด” (Yomichi ni Hi wa Kurenai) ซึ่งเป็นเรื่องของชายชราคนหนึ่งที่กำลังออกตามหาภรรยาที่หายตัวไป คณะละครออกไปถ่ายทำในย่านร้านค้าในชุมชนละแวกนั้นจริง ๆ และมีเจ้าของร้านค้าตัวจริง ที่เล่นบทเป็น ตัวเอง ออกมาช่วยตามหา

นักแสดงกำลังเล่นละคร เรื่อง “ค่ำคืนที่ไม่มีวันสิ้นสุด” (Yomichi ni Hi wa Kurenai)
ในฉากที่คนในชุมชนช่วยชายชราออกตามหาภรรยาสมองเสื่อมที่เดินหลงไปทั่วเมือง
(ที่มา: oibokkeshi)

แต่ท้ายที่สุด เรื่องราวกลับหักมุม แท้จริงแล้วภรรยาของชายชราที่ทุกคนช่วยออกตามหาได้เสียชีวิตไปนานแล้ว และชายชราคือ ผู้ป่วยสมองเสื่อมต่างหาก สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะที่ผู้ป่วยสมองเสื่อมต้องเผชิญกับการคิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ วนเวียน เดิม ๆ ในชีวิต ละครนี้จึงทำให้ผู้ชมและนักแสดงทุกคนได้รับรู้ถึงความรู้สึกของทั้ง ผู้ป่วยสมองเสื่อม และ ผู้ดูแล ไปพร้อมกัน

เคารพโลกของกันและกัน ผ่าน ‘การแสดง’

อาจนึกภาพตามยากสักหน่อย ว่าการเล่นละครหรือการสวมบทบาทการแสดงจะช่วยเยียวยาผู้สูงวัย สมองเสื่อม หรือช่วยทำความเข้าใจให้แก่ผู้ดูแลได้อย่างไร ซูกาวาระ อธิบายว่า ในผู้ที่มีสภาวะสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ อาการหนึ่งที่มักพบเจอแน่ ๆ คือ ความจำเสื่อม หลงทิศ หรือมีตรรกะเหตุผลที่บกพร่อง ทำให้คนใกล้ตัวรู้สีกว่าพวกเขาทำตัวแปลกประหลาดมากขึ้นไปเรื่อย ๆ 

แม้ผู้ป่วยจะไม่สามารถใช้ตรรกะ หรือเหตุผลได้อย่างดีเช่นเดิม แต่ความรู้สึกของเขายังคงอยู่และเปราะบาง ฉะนั้น การอยู่ร่วมกับพวกเขาอาจไม่สามารถใช้เหตุผลตรงไปตรงมาได้ แต่ควรอยู่ร่วมกับเขาด้วยความรู้สึกเชิงบวกมากกว่า

“หลายคนอาจคิดว่า หากผู้ป่วยเริ่มหลง ถ้ายิ่งยอมรับไปตามนั้นอาจยิ่งทำให้ผู้ป่วยสับสนหรือหลุดไปจากความจริงมากกว่าเดิม แต่ถ้าบอกความจริง อาจช่วยดึงพวกเขาให้กลับมาอยู่บนโลกความเป็นจริงได้ แต่จริง ๆ แล้ว การพยายามแก้ไขความถูกต้องให้พวกเขาทุกครั้ง ยิ่งทำร้ายความรู้สึกของผู้ป่วย หากเราลองยอมรับสิ่งที่ดูเหมือนจะผิดไปจากสามัญสำนึกไปบ้าง หรือแกล้งเห็นในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงแบบที่พวกเขาพูดถึงบ้าง อาจเป็นการเคารพและยอมรับโลกของพวกเขา และทำให้มีความสุขทั้ง 2 ฝ่าย”

นาโอกิ ซูกาวาระ

นักแสดงสูงวัยกำลังเล่นละครร่วมกับคนต่างวัย
(ที่มา : oibokkeshi)

ซูกาวาระ บอกว่า หากยิ่งเอาแต่โต้เถียงหรืออธิบายความผิดเพี้ยนที่ผู้ป่วยแสดงออก ยิ่งทำร้ายจิตใจกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่หากลองแสดงหรือสวมบทบาทเล็ก ๆ ตามผู้ป่วย อาจทำให้ใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุขมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

จากการทำงานละครกับผู้สูงอายุและผู้ป่วย ซูกาวาระ เชื่อว่า แต่ละคนเติบโต ใช้ชีวิต และมีประสบการณ์แตกต่างกัน ย่อมหล่อหลอมบุคลิกภาพที่ต่างกันไปด้วย การเล่นละคร จึงไม่ใช่การพยายามให้นักแสดงสวมบทบาทเป็นคนอื่นทั้งหมด แต่คือการเป็นเป็นคนอื่นในเวอร์ชันของตัวเองต่างหาก

บทบาท และท่าทางการแสดง จึงควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับผู้แสดงโดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย

“ทั้งผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อมต่างต้องการเป็นตัวของตัวเอง และทำในสิ่งที่ชอบ พวกเราควรเคารพความคิด และส่งเสริมความชอบของพวกเขา นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแล”

นาโอกิ ซูกาวาระ

และการเคารพกันและกันในฐานะมนุษย์นี้ คือ คุณค่าและหัวใจสำคัญของ ผู้สูงวัยและการละคร (Aging and Theater)

สำหรับผู้เข้าร่วมในคณะละครโออิโบะเกะชิ ไม่ได้มีแต่ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยสมองเสื่อมเท่านั้น แต่ยังมีผู้ป่วยอายุน้อยที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โรคอัมพาตครึ่งซีกจาก stroke หรือผู้มีภาวะอะเฟเซีย (Aphasia) หรือการบกพร่องทางการสื่อสาร แม้กระทั่งผู้สูงอายุที่แข็งแรงดีก็มาอยู่ในคณะละครนี้ร่วมกันด้วย ความหลากหลายนี้เอง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ต้องเคารพความเป็นมนุษย์ต่อกันให้ได้มากที่สุด

ยอมรับความถดถอยของร่างกาย ลบล้างอคติ ผู้สูงวัยและสมองเสื่อม

สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยสมองเสื่อม สิ่งที่พวกเขาจะสูญเสียไปทีละน้อย คือ ความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยทำได้ในวัยหนุ่มสาว การยอมรับได้ว่าศักยภาพของตนเองกำลังถดถอย และให้อภัยตนเองเป็น จึงเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับพวกเขา

กิจกรรมหนึ่งของคณะละคร โออิโบะเกะชิ จึงคือการพาผู้เข้าร่วมเล่นเกม

เกมหนึ่งที่ใช้เสมอคือ เกมโชกุน จะมีการกำหนดตัวเลข 1, 2 และ 3 ให้แทนส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หัว ไหล่ ขา หรือเข่า เมื่อผู้นำหรือคนที่ได้รับบท โชกุน ตะโกนเรียกเลข ทุกคนต้องชี้ไปที่ส่วนนั้นอย่างรวดเร็ว เริ่มแรกให้ชี้ที่ร่างกายของตัวเองก่อน แต่รอบต่อไปเปลี่ยนให้ชี้ที่ร่างกายของผู้อื่น คราวนี้ทุกคนก็จะเริ่มทำผิดบ่อยขึ้น จากนั้นก็จะกลายเป็นความสนุกสนาน และเสียงหัวเราะ

สิ่งนี้จะเป็นการฝึกทักษะที่ทำให้มองเห็นว่า การทำผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือต้องถูกตำหนิ แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนพร้อมจะเข้าใจ ให้อภัย และหัวเราะไปกับมันได้ ที่สำคัญ มันคือการยอมรับว่า ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ทุกคน

เกมโชกุน ฝึกใจยอมรับความผิดพลาดและไม่สมบูรณ์แบบในแต่ละวัน
(ที่มา : oibokkeshi)

ซูกาวาระ ยอมรับว่า แม้วันนี้สังคมญี่ปุ่นจะเริ่มคุ้นเคยกับผู้สูงอายุ และผู้ป่วยสมองเสื่อมมากแล้ว แต่ความบกพร่องของพวกเขาที่แสดงออกมานั้น ยังคงยากที่จะลบล้างอคติที่มีต่อผู้ป่วยอยู่

“สังคมต้องปรับความเข้าใจที่มีต่อผู้สูงอายุและสมองเสื่อม แม้พวกเขาจะมีหลายอย่างที่ทำไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่จริง ๆ แล้วพวกเขายังสามารถทำบางอย่างได้ดี เพียงแค่ต้องปรับเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ผู้ดูแลสามารถหาวิธีการใหม่ ๆ หรือความคิดสร้างสรรค์มารับมือได้”

นาโอกิ ซูกาวาระ

Dementia Basic Law : กฏหมายดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมในประเทศญี่ปุ่น

ด้วยปัญหาโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปในญี่ปุ่น จำนวนผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อมสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ทำให้ภาระการดูแลตกอยู่กับครอบครัว ระบบการดูแลผู้สูงอายุ (long-term care insurance) ที่มีอยู่ก็ ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ยังไม่นับรวมถึงปัญหาเรื่องอคติและการตีตรา ที่ทำให้ผู้ป่วยถูกมองว่าเป็นภาระ ถูกกีดกันจากสังคม และนำมาสู่ความโดดเดี่ยวในสังคมในที่สุด

มิถุนายน 2023 มีการเสนอกฎหมาย Dementia Basic Law หรือ กฎหมายพื้นฐานว่าด้วยภาวะสมองเสื่อม ผ่านสภา เพื่อเป็นการส่งเสริมการสร้างสังคมอยู่ร่วมกัน กระทั่งมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อ 1 มกราคม 2024

นี่เป็นกรอบกฎหมายระดับชาติฉบับแรกที่รับรองสิทธิและศักดิ์ศรีของผู้ป่วยสมองเสื่อม และผลักดันให้สังคมทั้งองคาพยพ ตั้งแต่ รัฐ ท้องถิ่น ครอบครัว ไปจนถึงระดับปัจเจก ร่วมกันตระหนักและสร้างสังคมที่โอบอุ้มผู้ป่วยสมองเสื่อม เพื่อให้พวกเขาไม่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังอย่างโดดเดี่ยวเหมือนดังที่ผ่านมา

“กฏหมายฉบับนี้ มุ่งหมายที่จะปรับเปลี่ยนการรับรู้ของผู้คนในสังคมต่อผู้ป่วยสมองเสื่อมในเชิงบวกมากขึ้น แม้พวกเขาจะมีภาวะสมองเสื่อมแล้ว แต่เขายังมีความคิด ความรู้สึก สังคมจึงควรรับฟัง และออกแบบเพื่อดูแลคุณภาพชีวิตของพวกเขา ให้มีความสุข มีชีวิตชีวา และเป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด คณะละคร โออิโบะเกะชิ ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนช่วยสร้างพื้นที่รับฟังเสียงของพวกเขา สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสังคม และยังช่วยแสดงให้เห็นศักยภาพ และพลังที่แฝงอยู่ในตัวผู้ป่วยสมองเสื่อมอีกด้วย”

นาโอกิ ซูกาวาระ

อิคิไกในโรงละคร – เหตุผลของการมีชีวิตอยู่ ของผู้สูงวัยและสมองเสื่อม

ตลอดระยะเวลากว่า 11 ปี ของการก่อตั้งคณะละคร โออิโบะเกะชิ การทำงานกับผู้สูงอายุและผู้ป่วยสมองเสื่อมกลายเป็นช่วงเวลาที่ ซูกาวาระ ได้ค้นพบกับความหมายบางอย่างผ่านเข้ามาระหว่างทางของการใช้ชีวิต

ซูกาวาระ คือ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เติบโตมากับค่านิยมว่าต้องพัฒนาตัวเอง และสังคมแบบญี่ปุ่นที่กดดันเร่งรัดตลอดเวลา แต่อาชีพการดูแลผู้สูงอายุ กลับทำให้เขาพบกับคุณค่าแบบใหม่ เขาเล่าว่า เมื่อย้อนไปในช่วงที่ทำงานในโตเกียว การใช้ชีวิตเป็นไปอย่างเร่งรีบ การกินอยู่ ก็ต้องทำอย่างง่าย ๆ เร็ว ๆ โดยไม่ได้คิดถึงความสุขในแต่ละวันเท่าที่ควร

แต่หลังจากได้ทำงานดูแล เขาสังเกตเห็นว่า ผู้สูงอายุบางคนคนกินอาหาร อาบน้ำ หรือเดินไปเข้านอนด้วยตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้ทำให้ ซูกาวาระ ตกผลึกว่า เพียงแค่การกระทำพื้นฐานในชีวิตประจำวันง่าย ๆ ก็เป็นสิ่งมีความหมายและมีคุณค่ามากกว่าที่คิด และสิ่งเหล่านี้ต่างหาก คือ รากฐานของความสุขที่แท้จริง

“ในบ้านพักผู้สูงอายุ ผู้ดูแลอย่างผมจะยุ่งตลอดเวลา แต่ผู้สูงอายุได้ใช้ชีวิตที่สงบ เรียบง่าย และเนิบช้า หรือที่เรียกว่า slow life พวกเขาเพียงแค่กินข้าว อาบน้ำ แล้วก็เข้านอน ทำแบบนี้ซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความปกติ แค่สิ่งเหล่านี้มันก็เพียงพอแล้วสำหรับคุณค่าในแต่ละวัน คุณค่าแบบใหม่นี้มันทำให้ผมใจเบาสบาย และพบว่าความสุขเล็ก ๆ แฝงอยู่ในกิจกรรมง่าย ๆ แบบนี้นี่เอง”

นาโอกิ ซูกาวาระ

อาชีพในวันนี้ของ ซูกาวาระ คือนักการละครที่ทำงานกับผู้สูงวัยและผู้ป่วยสมองเสื่อม ความเชื่อมั่นในพลังของศิลปะที่เขารัก ผสานรวมกับความอ่อนโยนลึกซึ้งในการเข้าใจผู้สูงอายุและผู้ป่วย ยิ่งทำให้การตื่นนอนทุกเช้าของเขามีความหมาย กลายเป็นคุณค่า และเป็นความสุขเล็ก ๆ ในแต่ละวัน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่กิจกรรม แต่ ซูกาวาระ ย้ำว่า คือ อิคิไก (Ikigai, 生き甲斐) หรือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่

ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับแสดงสูงวัยหลายคนในคณะละคร รวมทั้งนักแสดงเอกอย่างคุณปู่โอกาดะด้วย

“คุณปู่โอกาดะ เคยบอกกับผมว่าการเป็นนักแสดงไม่มีวันเกษียณ วันนี้เขาเป็นผู้สูงวัย เขาก็จะเล่นบทเป็นคนชรา และหากวันข้างหน้าเขาลุกขึ้นมาเดินไม่ได้ ก็ก็จะเล่นบทผู้ป่วยติดเตียง หรือถ้าสุดท้ายจบชีวิตลงแล้ว ก็ขอเล่นบทคนนอนตายในโลงนี้แหละ”

นาโอกิ ซูกาวาระ

การละครของ ซูกาวาระ ทำให้มองเห็นอีกด้านของความแก่ชรา และเชื่อว่า ความเป็นมนุษย์ล้วนสวยงาม เปล่งประกายได้เสมอ แม้ในช่วงวันที่เข้าสู่ความแก่ชราและพบเจอความเปราะบางที่สุดของชีวิตก็ตาม

เพราะมนุษย์อยู่ไม่ได้หากไร้ความหมาย ทุกคนย่อมต้องมีเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ ศาสตร์การละครจึงเป็นเหมือนพื้นที่ให้ทุกคนเฝ้ามอง ค้นหา และตามหาสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันที่ทำให้มีความสุข มีเสียงหัวเราะ มีคุณค่า ที่ทำให้ตื่นนอนยามเช้ามาอย่างมีเป้าหมาย

“สำหรับผมแล้ว ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ผมอาจไม่หลงเหลือความทรงจำแล้วก็ได้ แต่หากยังทำละครได้ ผมก็จะทำต่อไป เพราะนี่คือความสุขแต่ละวันของผม ผมเองก็ตั้งใจจะทำมันไปจนวันสุดท้ายของชีวิตเหมือนกัน”

ซูกาวาระ ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

Author

Alternative Text
AUTHOR

ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์

บุญคุณต้องทดแทน มนต์แคนต้องแก่นคูน