6 ปี ต้านเหมืองอมก๋อย ชัยชนะ – การต่อสู้…ที่ยังไม่จบ ?

ชุมชนกะเบอะดิน กับการต่อสู้ต้านเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อยแม้ชัยชนะยังไม่มา
แต่การต่อสู้ไม่เคยหยุด

ผ่านมา 6 ปีแล้วที่เสียงคัดค้านก้องกังวานอยู่ท่ามกลางภูเขาและสายหมอกของ อมก๋อย พื้นที่อันเงียบสงบซึ่งถูกคุกคามด้วยโครงการเหมืองแร่ถ่านหินขนาดใหญ่ เหมืองที่ได้รับสัมปทานจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ตามคำขอหมายเลข 1/2543 ครอบคลุมพื้นที่กว่า 284 ไร่ 30 ตารางวา ในบ้านกะเบอะดิน หมู่ที่ 12 ตำบลอมก๋อย อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ผืนดินที่ไม่ใช่เพียงที่อยู่อาศัย แต่คือหัวใจของผู้คนที่นี่

บ้านกะเบอะดิน คือ ชุมชนเล็ก ๆ ของชาติพันธุ์ กะเหรี่ยงโปว์ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผืนป่าและทิวเขา ชุมชนนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ บ้านกะเบอะดิน และ บ้านผาแดง ครอบคลุมพื้นที่ราว 9.012 ตารางกิโลเมตร ที่นี่มีเพียง 483 ชีวิต จาก 168 ครัวเรือน ที่พึ่งพิงผืนดินและสายน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต ผู้คนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ทำนาข้าวที่ไล่ตามแนวภูเขา ปลูกมะเขือเทศ ฟักทอง และกะหล่ำปลีตามฤดูกาล ทุกหยาดเหงื่อและทุกเมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงบนผืนดินคือรากเหง้าที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพชน

แต่ผืนดินที่เต็มไปด้วยความทรงจำและวิถีชีวิตกลับถูกตีค่าเป็นเพียงตัวเลขในแผนที่เศรษฐกิจ พื้นที่กว่า 284 ไร่ที่บริษัทหมายตาเพื่อขุดค้นถ่านหิน อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อชุมชนกะเบอะดิน การคัดค้านตลอด 6 ปีที่ผ่านมา จึงไม่ใช่เพียงการต่อสู้กับโครงการพัฒนา แต่คือการยืนยันว่าที่นี่มีผู้คน มีชีวิต และมีความหวังที่ไม่อาจถูกกลืนหายไปพร้อมฝุ่นถ่านหิน

ความพยายามของรัฐและทุนยังไม่ยุติลง ชัยชนะของชุมชนก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง วันที่ 28 กันยายน 2568 ปีนี้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญอีกปี เพราะเป็นวันครบรอบ 6 ปีของการต่อสู้คัดค้านโครงการเหมืองแร่ถ่านหินบ้านกะเบอะดิน หากมองย้อนกลับไปบนเส้นทางนี้ เราจะเห็นเรื่องราวที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2562 วันที่ชาวอมก๋อยเพิ่งรับรู้ข่าวการสัมปทานเหมืองถ่านหินผ่านเพจ ส่องกล้อง มองอมก๋อย เพจเล็ก ๆ ของคนในพื้นที่ที่ทำหน้าที่เหมือนสายตาสาธารณะ เผยแพร่ข้อมูลประกาศการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อพิจารณาใบอนุญาตเหมืองแร่

#SaveOmkoi เมื่อชาวบ้านตัวเล็ก ๆ ออกมาค้านทุนเหมือง

ไม่นานหลังจากข่าวนั้นแพร่สะพัด กลุ่มชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วยกับการทำเหมืองได้รวมตัวกัน ด้วยความกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผืนป่า แหล่งน้ำ และวิถีชีวิต จึงเริ่มต้นล่ารายชื่อของผู้คนในอำเภออมก๋อย แล้วยื่นหนังสือต่อ ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อเรียกร้องให้ยุติโครงการ แต่การยื่นหนังสือเพียงครั้งนั้นไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่หยุดโครงการได้

ชาวบ้านจึงรวมพลังครั้งใหญ่ เกิดเป็นเครือข่ายที่มีชื่อว่า ภาคี #SaveOmkoi เครือข่ายยุติเหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย เสียงคัดค้านจึงไม่ได้เป็นเพียงเสียงประปรายอีกต่อไป แต่กลายเป็นพลังที่รวมผู้คนหลากรุ่น หลายบ้าน หลายหมู่ เข้าด้วยกัน เพื่อปกป้องผืนดินที่สืบทอดจากบรรพบุรุษและวิถีชีวิตที่ผูกพันกับภูเขาและแม่น้ำ

ต่อมา เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ตรงกับ วันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day) พี่น้องชาวบ้านอำเภออมก๋อยร่วมรณรงค์ครั้งใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการเคลื่อนไหวในพื้นที่อำเภออมก๋อย การนัดรวมตัวครั้งมีจุดประสงค์เพื่อแสดงจุดยืนไม่ต้องการเหมืองแร่ถ่านหิน โดยการเดินขบวนรณรงค์จากสะพานคู่รัก ถึงสำนักงานอำเภออมก๋อย เพื่อเรียกร้องกับผู้นำท้องถิ่นท้องถิ่นที่มีอำนาจตัดสินใจกับโครงการดังกล่าว 

ผู้คนหลากหลายกลุ่มทยอยเดินทางมารวมตัวกันอย่างสงบในเช้าวันนั้น ก่อนจะค่อย ๆ เรียงแถวออกเป็นขบวนรณรงค์ ข้างกายของพวกเขามีทั้ง ป้ายผ้า ธง และผ้าโพกหัวสีเขียว สัญลักษณ์แห่งการปกป้องผืนดินและทรัพยากรบ้านเกิด ทุกคนก้าวไปพร้อมกัน มุ่งหน้าสู่ สำนักงานอำเภออมก๋อย ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

ในขบวนนี้ประกอบด้วยผู้คนจากหลายวิถีทางชีวิต ทั้ง ชาวบ้านบ้านกะเบอะดิน ชุมชนที่อยู่ตามเส้นทางผ่าน คณะครู นักเรียน อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ตลอดจนแกนนำจากหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ลุกขึ้นมารวมพลังเพื่อส่งเสียงเดียวกัน ขอให้ยุติโครงการเหมืองแร่ถ่านหิน

เหตุผลของพวกเขาชัดเจน เพราะคนในพื้นที่ต่างหวั่นเกรงถึงผลกระทบที่จะตามมาหากอุตสาหกรรมถ่านหินเข้ามาเปลี่ยนแปลงแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่

อมก๋อยไม่ใช่แค่พื้นที่ในแผนที่ของประเทศไทยเพียงอย่างเดียว แต่อมก๋อยแต่คือบ้านที่เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ จนมีคำกล่าวที่คนในพื้นที่ภาคภูมิใจว่า

“นอนอมก๋อยหนึ่งคืน อายุยืนสิบปี”

ทุกฤดูหนาว ที่นี่จะคึกคักด้วยงานประจำปี “อากาศดี @อมก๋อย” ที่ผู้คนตั้งตารออย่างอบอุ่น งานนี้ไม่เพียงเฉลิมฉลองลมหายใจบริสุทธิ์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและความสงบสุขของอำเภอที่ยังคงความสมบูรณ์อยู่มาก

ดังนั้น การรณรงค์ในวันนั้นจึงไม่ใช่เพียงการเดินขบวน แต่คือการแสดงจุดยืนของผู้คนที่ต้องการรักษาผืนดิน ป่าไม้ และอากาศบริสุทธิ์ของอมก๋อยไว้ให้คงอยู่ ทั้งเพื่อวันนี้และเพื่อคนรุ่นถัดไปที่จะเติบโตบนแผ่นดินเดียวกัน

ชาวบ้านค้านเหมือง แลกมาด้วยถูก ‘ฟ้องคดีปิดปาก’ ?

ขณะเดียวกัน เส้นทางการต่อสู้ของคนอมก๋อยไม่ได้ราบรื่นและสวยงามอย่างที่คิดไว้ ในช่วงที่มีการรณรงค์อ่านแถลงการณ์แสดงจุดยืน อย่างวันที่ 5 มิถุนายน 2562 มีแกนนำในพื้นที่ 2 คน ถูกบริษัทแจ้งความดำเนินคดีในข้อหา หมิ่นประมาทในการโฆษณาต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อมก๋อย เนื่องด้วยแกนนำทั้ง 2 คน ได้พูดถึงชื่อบรัษัทดังกล่าว จากนั้นผู้ถูกดำเนินคดีได้ยื่นคำให้การต่อสู้ว่าเป็นการใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นประโยชน์สาธารณะเป็นเหตุยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาท

คดีนี้พนักงานสอบสวน สภ.อมก๋อย มีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องส่งเรื่องให้พนักงานอัยการ และพนักงานอัยการจังหวัดฮอด ก็มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกัน คดีจึงสิ้นสุดลง แม้บริษัทจะใช้วิธีการ ฟ้องคดีปิดปาก (SLAPP) เพื่อให้ชาวบ้านถอยจากการลุกขึ้นมาต่อต้านโครงการ แต่ชุมชนกะเบอะดินและชาวอมก๋อยยังยืนหยัดเพื่อปกป้องชุมชน ทรัพยากร และปกป้องอมก๋อยอย่างกล้าหาญ จนเป็นที่รู้จักในประเด็นการเคลื่อนไหวสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย  

“พวกเราชาวบ้านกะเบอะดินไม่เคยรู้ถึงความน่ากลัวของเหมือง เพราะบริษัทไม่เคยบอกเราว่าถ้ามีการทำเหมืองจะมีผลกระทบอะไรบ้างเขาบอกแต่เรื่องดี ๆ และบอกว่าพวกเราจะมีงานทำจะได้ถนนลาดยาง (คอนกรีต) จนมีพี่ ๆ จากหน่วยงาน (องค์กรภาคประชาสังคม) ต่าง ๆ ที่เข้ามาให้ความรู้กับชาวบ้านและเยาวชน ถ้ามีการทำเหมืองเราจะได้รับผลกระทบแต่ละด้าน มันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองจากเหมืองและรู้ถึงความน่ากลัวของเหมือง”

ณัฐดนัย วุฒิศีลวัต เยาวชนกะเบอะดิน สะท้อนมุมมอง  

คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นว่าเสียงของคนอมก๋อยยังคงไปไม่ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ยังยืนยันที่จะจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ตามระเบียบพระราชบัญญัติแร่ ปี พ.ศ. 2560 เพื่อนำไปสู่กระบวนการขั้นตอนการขอสัมปทานแร่ตามกฎหมายกำหนด

พลังชุมชนหยุดเหมือง!

28 กันยายน 2562 กลายเป็นหมุดหมายสำคัญ เมื่อชาวบ้านและภาคีเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม กว่า 2,000 ชีวิต ร่วมกันแสดงจุดยืน ไม่เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็น ที่อุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดขึ้น เนื่องจากเชื่อว่าการจัดเวทีครั้งนั้นจะถูกนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการยื่นขอสัมปทานบัตรของบริษัทผู้ดำเนินโครงการเหมืองแร่ถ่านหิน

ปัจจุบัน กพร. ยังไม่สามารถเดินหน้าจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นได้ อันเป็นผลจาก พลังของชุมชนและองค์กรภาคประชาสังคม ที่ร่วมกันส่งเสียงคัดค้านอย่างเข้มแข็ง นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบ ข้อพิรุธในการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หลายประเด็น เช่น การปลอมแปลงลายมือชื่อชาวบ้าน การใส่ชื่อเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และข้อมูลในรายงานที่ไม่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่จริง

สถานการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การ ยกระดับการต่อสู้ โดยชาวบ้าน เยาวชน และทีมพี่เลี้ยง ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ พร้อมจัดทำข้อมูลชุมชนอย่างละเอียด เพื่อสร้างอำนาจต่อรองและยืนหยัดต่อหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างมีน้ำหนัก

“ย้อนไป 6 ปีที่แล้ว (เดือนกันยายนปี 2562) ตอนที่ชาวบ้านเริ่มต่อสู้ผมยังไม่รู้เลยว่าเหมืองแร่คืออะไรและยังไม่เข้าใจว่าเหมืองส่งผลดีหรือผลเสียยังไง ผมเองก็ได้ยินมานานแล้วเรื่องเหมืองตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก เพราะมีผู้ใหญ่หรือคนเฒ่าคนแก่บอกว่าจะมีเหมืองมา และยังบอกอีกว่าพวกเราจะได้งานทำจะมีเงินใช้ผมก็รู้สึกดีใจที่ผมจะได้กินขนมและมีของเล่นหรือมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผมอยากได้เหมือนเด็กคนอื่น ๆ เพราะตอนนั้นชาวบ้านกะเบอะดินไม่มีงานทำ แต่ละปีชาวบ้านก็จะทำแค่ปลูกข้าวทำไร่หมุนเวียนถ้าจะทำงานหาเงินต้องเข้าไปหางานในเมืองเพื่อที่จะมีรายได้มาเลี้ยงครอบครัวตอนนั้นก็เป็นช่วงที่การเดินทางลำบากมาก ๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มีรถใช้ทางก็ไม่ค่อยดี มันก็เลยทำให้ชาวบางส่วนใหญ่รู้สึกดีใจที่มีเหมือง”  

ณัฐดนัย วุฒิศีลวัต อธิบาย

เรียกได้ว่า นี่คือ จุดเปลี่ยนสำคัญ ของชาวบ้านกะเบอะดินและเยาวชนผู้เป็นกำลังหลักในการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องบ้านเกิด การต่อสู้ที่ผ่านมานั้น ชาวบ้านพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อยุติโครงการเหมืองแร่ถ่านหิน พร้อมสร้างเครื่องมือและแนวทางที่ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองกับหน่วยงานรัฐและทุนที่เข้ามา

‘ข้อมูลชุมชน’ นวัตกรรมโดยชุมชน สู่จุดยืนเพื่อปกป้องบ้านเกิด

หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ คือ การจัดทำข้อมูลชุมชน เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการต่อสู้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ผ่านการใช้เครื่องมือการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพโดยชุมชน (Community Health Impact Assessment : CHIA) ควบคู่ไปกับงานขบวนและการเคลื่อนไหว เพื่อแสดงพลังและจุดยืนของชุมชน ตลอดจนงานสื่อสารสาธารณะ ที่เผยแพร่เรื่องราวสู่สังคมวงกว้าง

หนึ่งในช่องทางสำคัญคือเพจ กะเบอะดินดินแดนมหัศจรรย์ พื้นที่ออนไลน์ที่เยาวชนในชุมชนสร้างขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิต ถ่ายทอดกระบวนการต่อสู้คัดค้านเหมืองแร่ และทำให้สังคมภายนอกเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้มากขึ้น นอกจากนั้น ชุมชนยังใช้ กลไกทางกฎหมาย เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม โดยการยื่นฟ้องต่อ ศาลปกครอง เพื่อเพิกถอนรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ปัจจุบัน คู่ความในคดีได้ยื่นคำให้การและคำคัดค้านคำให้การเสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ศาลปกครองเชียงใหม่ ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่า ศาลจะมีคำสั่งเรียกผู้เกี่ยวข้องมาไต่สวนหรือไม่ ?

ระหว่างนี้มีคำสั่ง คุ้มครองชั่วคราว ทำให้บริษัทหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ จนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งศาลเป็นอย่างอื่น นับเป็น ชัยชนะเล็ก ๆ จากการต่อสู้ที่ยาวนานตลอดหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า 6 ปีที่ผ่านมา คือช่วงเวลาแห่ง การเรียนรู้ การเติบโต และการพัฒนาของคนในชุมชน

พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ยืนหยัดบอกว่า “ไม่เอาเหมือง” เท่านั้น แต่ยังได้สร้างองค์ความรู้เพื่อปกป้องสิทธิของตนเองอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็น การจัดทำแผนที่ชุมชน การเก็บข้อมูลสุขภาพ การสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ไปจนถึง การดำเนินคดีในศาลปกครองเพื่อเพิกถอนรายงาน EIA ที่แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้ด้วยข้อมูลและกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม

“การต่อสู้ที่ผ่านมาทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างเป็นอย่างมาจากเด็กที่กลัวที่จะพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ ก็ต้องขึ้นมาพูดจากเด็กที่กลัวไมค์ก็ต้องขึ้นมาจับไมค์มันก็เลยทำให้ผมได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองมาเรื่อย ๆ”

ณัฐดนัย วุฒิศีลวัต ย้อนความทรงจำ

แม้การต่อสู้ครั้งนี้ถือว่าชุมชนประสบความสำเร็จ อีกทั้งบริษัทยังไม่ได้รับใบประทานบัตรเพื่อเอาทรัพยกรแร่ไปจากชุมชนได้ แต่ด้วยระยะเวลาการต่อสู้ที่ยาวนานรวมถึงกระบวนขั้นตอนการต่อสู้ที่ไม่เอื้อสำหรับชุมชนท้องถิ่น ไม่ว่าจะข้อจำกัดด้านกฎหมายด้านสิทธิชุมชน รวมทั้งกระบวนการต่าง ๆ ที่ชุมชนไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อยาวนานไม่รู้จบ ชุมชนยังคงรอคอยชัยชนะและความสำเร็จเพื่อให้ชุมชนได้อาศัยอยู่ในพื้นที่อย่างปกติ โดยไม่มีข้อห่วงกังขา เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโครงการเหมืองแร่ถ่านหินที่เข้ามาสร้างความกังวลใจให้กับชุมชน รวมทั้งความไม่แน่นอนในถิ่นที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน

“การได้รวมตัวกัน จัดทำข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชนทำแผนที่ทรัพยากรน้ำ ได้ยื่นหนังสือให้หน่วยงานต่าง ๆ เพื่อโต้แย้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสร้างความเข้าใจเพื่อยืนยันว่าชาวบ้านกะเบอะดินไม่เอาเหมืองแร่ถ่านหิน วันนี้หรืออนาคตไม่อยากให้เหมืองแร่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน”

ชาวบ้านกะเบอะดิน ย้ำจุดยืน

ภารกิจยังไม่จบ…เราจะสู้จนกว่าจะชนะ!

แม้ว่าเส้นทางการต่อสู้นี้ ชุมชนต้องอยู่ในสมการการลุกขึ้นสู้ และต้องเข้มแข็งตลอดเวลาก็ตาม แต่ชุมชนยังมีความหวัง มีพลังงานดี ๆ เพื่อรอคอยชัยชนะและปกป้องทรัพยากรแห่งนี้ ให้ลูกหลานได้อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ต่อไป อีกทั้งขอส่งกำลังใจให้กับพื้นที่อื่น ๆ ที่กำลังต่อสู้เพื่อปกป้องพื้นที่ของตนเองจากโครงการพัฒนาของรัฐที่สร้างผลกระทบต่อชุมชนไม่ว่าจะด้านวิถีชีวิต แหล่งผลิตอาหาร รายได้ และทรัพยากรธรรมชาติ โดยการอ้างเรื่องการพัฒนาประเทศชาติ 

“ถ้ามีการมาทำเหมืองจริงพวกเราก็จะอยู่ไม่ได้และไม่มีที่ทำกินเราจะได้รับผลกระทบหลายอย่างเช่น ไม่มีทรัพยากรป่าไม้ใช้, อากาศเป็นพิษ, ระบบนิเวศ, สิ่งแวดล้อม, ที่ทำกิน และต้องสูญเสียอะไรอีกหลายอย่าง พวกเราก็ยังได้ไปศึกษาดูงานจากพื้นที่จริง โรงไฟฟ้าถ่านหินแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง มันทำให้เราได้ประสบการณ์จริงและความรู้สึกของพี่น้องที่เขาได้รับผลกระทบจะเหมืองว่ามันอันตรายมาก ก็เลยทำให้ผมและชาวบ้านยิ่งจะต้องปกป้องและรักษาหมู่บ้านวัฒนธรรมและทรัพยากรของเราเอาไว้ให้ดี ๆ ไม่ว่าจะมีการต่อสู้อีกนานแค่ไหน 10 ปีหรือ 20 – 30 ปี พวกเราก็พร้อมจะต่อสู้ตลอดไปจนกว่าจะชนะ

ณัฐดนัย วุฒิศีลวัต ให้คำยืนยัน

หัวใจของการเคลื่อนไหวที่ชุมชนกะเบอะดินได้ค้นพบ คือการเข้าใจโครงสร้างการต่อสู้กับรัฐและทุน ตลอดจนมองเห็นกระบวนการของรัฐไทยที่ในความเป็นจริงแล้ว โครงการพัฒนามักไม่คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน หากแต่มุ่งเน้นไปที่กำไรและรายได้ของบริษัท มากกว่าสิทธิและความอยู่รอดของชุมชนท้องถิ่น อีกทั้งการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมยังเต็มไปด้วยอุปสรรค ทำให้การต่อสู้เพื่อปกป้องถิ่นฐานของผู้คนต้องดำเนินไปโดยแทบไม่ได้รับที่พึ่งพาจากหน่วยงานรัฐ

อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ของชุมชนกะเบอะดินไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ ปกป้องผืนดินในระดับพื้นที่ หากยังตั้งความหวังให้ส่งต่อไปถึง การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ตั้งแต่การยืนยัน สิทธิในการมีส่วนร่วมของชุมชน การผลักดัน การปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ไปจนถึง สิทธิในการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ตามที่ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

วันที่ความฝันจะกลายเป็นจริงอาจยังอยู่ไม่ใกล้นัก แต่ดวงดาวแห่งความหวังดวงนี้ ยังคงถูกผลักดันและเฝ้ามองโดยผู้คนในชุมชน ให้ส่องแสงนำทางบนเส้นทางการต่อสู้ที่ยาวนาน เพื่อวันหนึ่ง สิทธิของผู้คนเล็ก ๆ จะถูกยอมรับจากรัฐและผู้ที่เกี่ยวข้อง แม้กาลเวลาจะล่วงเลยมากว่า 6 ปีแล้วก็ตาม กับการต่อสู้เหมืองแร่ถ่านหินอมก๋อย

  • เรื่อง : พรชิตา ฟ้าประทานไพร เยาวชนหมู่บ้านกะเบอะดิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active