“เลือกตั้งครั้งไหน ๆ ก็ได้แต่คนหน้าเดิม ๆ”
หรือไม่…ได้คนหน้าใหม่ แต่นามสกุลก็ยังเหมือนคนเก่าอยู่ดี…
เหตุการณ์นี้เราคงเห็นกันชินตาตั้งแต่การเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) มาจนถึงเลือกตั้งท้องถิ่น อย่าง “การเลือกตั้งนายกเทศมนตรี- สมาชิกสภาเทศบาล” ที่แม้กระทั่งการหาเสียงยังใช้วิธีการอ้างชื่อสายสกุลมากกว่าการพูดถึงนโยบายด้วยซ้ำ
นี่เป็นเรื่องปกติหรือเป็นเรื่องที่ ถูกทำให้ปกติ ? จนกลายเป็นวัฒนธรรมบ้านใหญ่ที่ฝังรากลึกลงไปในสังคมไทย อย่างที่เราจินตนาการไม่ได้ว่าจะทลายระบบบ้านใหญ่นี้ให้หายไปจากสังคมได้อย่างไร ?
The Active ชวนหาคำตอบและย้อนเส้นทางของวัฒนธรรมนี้กับ สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า

“เจ้าของโรงสี เจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้าง หรือเจ้าของธุรกิจอื่น ๆ ในพื้นที่ แม้กระทั่งทนาย หรือข้าราชการอย่าง ครู
คือต้นทุนที่สะสมให้ตระกูลต่าง ๆ กลายมาเป็นบ้านใหญ่ทางการเมือง”
ทั้งหมดนี้ คือ ทุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่ทำให้ตระกูลเหล่านี้สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้มากกว่าประชาชนทั่วไป จนได้รับการยอมรับและไว้ใจให้เป็นตัวแทนในการดูแลชุมชน อย่างการเป็นผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน และขยายอำนาจจากพื้นที่เล็ก ๆ เข้ามาสู่พื้นที่ทางการเมืองที่ใหญ่ขึ้นอย่าง องค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.), เทศบาล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ไปจนถึงการเมืองระดับชาติ
จะเห็นว่าปรากฏการณ์ “บ้านใหญ่” หรือ “ตระกูลการเมือง” ในไทยไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เป็นเพราะทุนทางเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นสิ่งยึดโยงตระกูลใหญ่ให้มีบทบาทและอิทธิพลในพื้นที่ จนกลายมาเป็นตระกูลทรงอิทธิพลทางการเมืองในระดับชาติ
‘ธุรกิจการเมือง’ จากท้องถิ่น สู่ ระดับชาติ
หากย้อนไทม์ไลน์สถานการณ์ตระกูลใหญ่ทางการเมืองของไทย สติธร เล่าให้ฟังว่า จริง ๆ แล้ว ยุคของตระกูลใหญ่เริ่มขึ้นหลังตุลาคม ปี 2516 และต่อเนื่องมาจนถึงปี 2521 ซึ่งมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 โดยเป็นช่วงที่ประตูการเมืองระดับชาติเปิดโอกาสให้นักการเมืองลงสมัครในนามพรรคการเมือง จึงเกิดการเข้ามาใหม่ของบรรดานักธุรกิจและผู้นำระดับพื้นที่ที่ได้สะสมทุนทางเศรษฐกิจและสังคมมาตั้งแต่ต้นตระกูล
ในทางรัฐศาสตร์เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า ยุคธุรกิจการเมือง เนื่องจากนักธุรกิจลงมาเล่นการเมือง และสังกัดกับพรรคการเมือง เมื่อมีการรวมเครือข่ายได้เยอะ ก็สามารถใช้อำนาจนี้ต่อรองเพื่อที่จะเข้าไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีอีกด้วย จึงเกิดภาพของนักธุรกิจ และผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ขยับตัวมาเป็นนักการเมืองระดับชาติ ไปจนถึงระดับนายกรัฐมนตรีอย่าง บรรหาร ศิลปอาชา
อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่เส้นทางการเมืองโดยใช้อิทธิพลของตระกูลเป็นเรื่องที่ สติธร มองว่า เป็นสถานการณ์ปกติ เพียงแค่ระบบการเลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการหาตัวแทนเพื่อดักเสียงเลือกตั้ง ซึ่งจะมีการเมืองเชิงพื้นที่เข้ามาเกี่ยวข้อง และเมื่อในพื้นที่นั้น ๆ ถูกควบคุมโดยนักการเมืองคนใดคนหนึ่งแล้ว ก็จะต้องรักษาพื้นที่นั้นต่อไปเพื่อไม่ให้เสียอำนาจทางการเมือง
นอกจากนี้ สติธร ยังบอกอีกว่าสิ่งสำคัญของการเมืองคือเรื่องผลประโยชน์ การได้มาของอำนาจจึงไม่ได้มาอย่างที่ไม่มีประโยชน์แอบแฝงหรือเพียงต้องการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญ แต่เป็นการใช้อำนาจนั้นรักษาผลประโยชน์เดิมที่ตระกูลครองพื้นที่อยู่ เมื่อมีลูกหลานหรือตัวแทนที่สามารถไว้ใจได้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ก็จะส่งอำนาจต่อไปเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็นระบบตระกูลการเมืองจนถึงทุกวันนี้
เมื่อการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ การกระจายความเจริญหรือผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ประชาชนควรได้รับจึงกระจุกอยู่ในบางพื้นที่เท่านั้น เพราะการสืบทอดทางการเมืองต้องผ่านระบบการเลือกตั้ง ซึ่งหมายความว่าตระกูลใหญ่จะต้องทำให้ประชาชนในพื้นที่ยอมรับได้ด้วยการทำผลงานเพื่อรักษาฐานเสียงไว้ จึงเรียกได้ว่าเป็นการเมืองที่ถูกผูกขาดโดยตระกูลใหญ่อย่างสิ้นเชิง

คนรุ่นใหม่ : ตัวแปร เปลี่ยนตระกูลใหญ่ ในสนามเลือกตั้งเทศบาล
แม้อำนาจทางการเมืองของตระกูลใหญ่จะแข็งแรงมากในพื้นที่เล็ก ๆ อย่างระดับเทศบาลตำบล เพราะมีการดูแลอย่างใกล้ชิดแบบเครือญาติและมีการเกื้อกูลกันมาอย่างยาวนาน แต่สำหรับการเมืองระดับ เทศบาลนคร และ เทศบาลเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ใหญ่ มักไม่ขึ้นอยู่กับตระกูลใหญ่
สติธร ให้เหตุผลว่าปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือ ประชากรในพื้นที่มักไม่ใช่คนดั้งเดิมแต่เป็นแรงงานที่ย้ายเข้าไปอยู่ใหม่ในพื้นที่ เช่น เทศบาลนครขอนแก่น เทศบาลนครเชียงใหม่ และเทศบาลนครแหลมฉบัง ซึ่งสังเกตได้จากป้ายหาเสียงของเทศบาลนคร หรือในตัวเมือง จะมีการพูดถึงปัญหาต่าง ๆ และมีนโยบายเพื่อตอบสนองความต้องการให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างจริงจัง
นอกจากปัจจัยด้านประชากร ยังมีปัจจัยด้านงบประมาณที่ทำให้การเลือกตัวแทนเข้ามาดูแลประชาชนไม่ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของตระกูล เพราะเมื่อมีงบก็จะต้องมีการพูดถึงนโยบายอละโครงการเพื่อให้ประชาชนหันมาเลือก
ทั้งนี้ยังมีข้อสังเกตที่ สติธร มองว่าน่าสนใจ คือการเมืองแบบอุปถัมภ์บ้านใหญ่ที่เปลี่ยนไป เนื่องจากมีคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นสังคมเปลี่ยนแปลงและหันมาสนใจเรื่องการเมืองมากขึ้น ซึ่งอาจมองได้ 2 ทาง
- คนรุ่นใหม่มองเห็นโอกาส และความหวังในสนามการเมืองท้องถิ่นว่าสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
- คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาสืบทอดต่อ-เกี่ยวข้องจากตระกูลใหญ่ หรืออาจมีความเกี่ยวพันกับการเป็นหัวคะแนน
อย่างไรก็ตามความน่าสนใจ คือ ปัจจุบันการเมืองเป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่หันมาสนใจมากขึ้นในช่วงหลัง อาจประเมินได้ว่าต่อไปในอนาคต แม้จะเป็นแค่สนามท้องถิ่นอย่างเทศบาล ก็อาจมีคนที่อยากกลับบ้านไปเลือกตั้งมากขึ้น
ท้ายที่สุดตระกูลการเมือง ไม่ว่าตระกูลการเมืองจะฝังรากลึกของคนบางกลุ่ม หรือยังเป็นขาขึ้น ของระบบตระกูลใหญ่มากแค่ไหน แต่สักวันหนึ่งประชาชน ก็สามารถเปลี่ยนแปลง และทลายระบบนี้ลงได้ เพียงแค่เคารพใน 1 เสียง ที่มีค่าของตัวคุณเอง