ถอดบทเรียน ‘จีน’ แก้ ‘จน’: ตรงจุด มั่นคง สมดุล

จากยุคใครรวยได้ รวยก่อน สู่ยุค รวยแล้วต้องแบ่งปัน

จีนมีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคน เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ซึ่งก่อนหน้านี้จีนเคยเป็นประเทศที่โดดเดี่ยว แต่ก็ปรับตัว อย่างก้าวกระโดดจนทำให้ประกาศความสำเร็จในการแก้ปัญหาความยากจนในประเทศ โดยมีประชากรชาวจีนจำนวน 800 ล้านคนพ้นสถานะความยากจนแล้ว  

อาจารย์อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้นำของประเทศได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความยากจน โดยในปี ค.ศ. 2020 ครบรอบ 100 ปี ของสาธารณรัฐประชาชนจีน พวกเขาได้ประกาศความสำเร็จในการแก้ปัญหาความยากจนในประเทศได้สำเร็จ โดยมีประชากรชาวจีนจำนวน 800 ล้านคนพ้นสถานะความยากจน

ในรอบ 40 ปีผ่านมาว่า จีนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดจากประเทศที่รายได้ต่ำมาก แต่ในปัจจุบันเศรษฐกิจขึ้นมาเป็นอันดับสองของโลก ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอาจจะมีเศรษฐกิจที่เป็นอันดับหนึ่งของโลกภายในช่วงเวลา 15 ปี หรืออาจจะสั้นกว่านั้น

อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โดยปัจจัยที่ทำให้จีนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การปฏิรูประบบเศรษฐกิจซึ่งเปลี่ยนแปลงจากระบบการวางแผนจากส่วนกลางที่เป็นแบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิม มาเป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาดหรือมาร์เก็ตอีโคโนมี เปิดการค้าขายกับต่างชาติ เปิดให้มีภาคเอกชนเข้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับเทคโนโลยีต่อเนื่อง สมัยก่อนจีนขายของเทคโนโลยีต่ำ ขายของราคาถูก แต่ว่าเขามีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นไปอย่างต่อเนื่องแล้ว

และสุดท้าย จีนมีการกระจายอำนาจในรอบ 40 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง จีนเป็นประเทศมหาอำนาจทางการคลังน่าจะสูงที่สุดในโลก งบประมาณส่วนใหญ่เป็นงบประมาณที่ใช้จ่ายในมณฑลไม่ใช่ระดับชาติ

รศ.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

รองศาสตราจารย์ อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน กล่าวว่า รัฐบาลจีนใน ยุคสีจิ้นผิง ประสบความสําเร็จในการขจัดความยากจน ทําให้ผู้ยากไร้ที่ อยู่อย่างแร้นแค้นในชนบทหลุดพ้นจากเส้นแบ่งความยากจนได้ในปี 2020 หลายภาคส่วนของรัฐบาลไทยได้จับตามองด้วยความสนใจว่า จีนทําได้อย่างไรในการช่วยให้ผู้ยากไร้หลุดพ้นจากความยากจนได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี

ปัจจัยความสำเร็จแก้จนจีน


1. กระชับอำนาจ เศรษฐกิจจีน ในวาระที่ 3 ของการบริหารและปกครองสาธารณรัฐประชาชนจีน ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้จัดระเบียบด้านเศรษฐกิจ เน้นเสถียรภาพและความสมดุลด้วยการกระชับอำนาจ จัดระเบียบบริษัทเอกชนที่หาผลกำไรเกินควรจากสังคม จัดระเบียบพฤติกรรมคนในสังคม ลดอิทธิพลสื่อออนไลน์ ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา ตลอดจนกระตุ้นให้ผู้มีรายได้สูงช่วยเหลือสังคม ซึ่งรัฐบาลใช้นโยบายการเมืองนำเศรษฐกิจ (Neo- Authoritarianism) มุ่งเน้นประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจและการเปิดตลาดแบบเสรี ตลอดจนสนับสนุนผู้ประกอบการเอกชน ซึ่งจะมีบุคลากรของรัฐบาลคอยกำกับดูแลอยู่ในกลไกภาคธุรกิจทั้งหลายด้วย

 
สำหรับการดำเนินงานข้างต้นได้ต้องอาศัยระบบการเมืองที่เข้มแข็งเป็นเอกภาพ มีการรวมศูนย์อำนาจจึงจะสามารถผลักดันการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจด้วยระบบดังกล่าวได้สำเร็จ ทำให้ในปี ค.ศ. 2023 เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ค่อนข้างดี ภายหลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤตของการเกิดโรคระบาดจากไวรัสโคโรน่า รัฐบาลจีนได้ดำเนินการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ มุ่งเน้นความมั่นคง ไม่มุ่งเน้นการเติบโตเพียงอย่างเดียว ด้วยการใช้โมเดล “สีโนมิกส์” (Xinomics) 14 ข้อ และที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาความยากจนที่สำคัญได้แก่


1) ด้านการขจัดความยากจนและสร้างสังคมพอกินพอใช้รอบด้านหรือสังคมเสี่ยวคัง (Xiao Kang)
2) ด้านการพัฒนาชนบทให้เป็นเมือง (Urbanization)
3) ด้านการกระตุ้นให้ประชาชนได้ประกอบอาชีพมีรายได้ ไม่รอคอยการช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว ไม่มุ่งเน้นรัฐสวัสดิการแบบประเทศยุโรปตะวันตก


2. ถอดบทเรียน “แก้จนแบบจีน” : ด้วยแนวทาง 2D 3M ที่หมายถึง การมีผู้นําที่ลงมือทําอย่างจริงจังและมีทิศทางชัดเจน (Direction) มีการสํารวจข้อมูลทั่วประเทศอย่างถูกต้องแม่นยําและวิเคราะห์ฐานข้อมมูลอย่างเป็นระบบ (Data)การมอบหมายและจัดส่งบุคลากรไปแก้ปัญหาอย่างมุ่งมั่น (Man) มีความเป็นเอกภาพของระบบและสามารถตรวจชี้วัดผลงานได้จริงรวมทั้งการทุ่มงบประมาณไปแก้ปัญหาตรงจุดและโปร่งใส (Money) และการจัดสรรทรัพยากร(Materials) จากทุกภาคส่วนไปร่วมกันแก้ปัญหา ไม่ใช่เพียงแค่ภาครัฐ

สำหรับรัฐบาลจีนได้ดำเนินการแก้ปัญหาความยากจนด้วยการทำให้ประชาชนในชนบทที่ยากจนจำนวน 98.99 ล้านคนของประเทศ ให้มีรายได้อยู่ที่ 2.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ซึ่งสูงกว่าเส้นความยากจนต่ำสุดที่ธนาคารโลกได้กำหนดไว้ได้สำเร็จ โดยการขับเคลื่อนนโยบายแก้จนแบบตรงจุดภายใต้แนวคิด “2 ไม่กังวล 3 หลักประกัน” ซึ่ง “2 ไม่กังวล” คือ ไม่กังวลเรื่องอาหาร และไม่กังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม ” ส่วน 3 หลักประกัน” ได้แก่ 
1) มีหลักประกันในที่อยู่อาศัย 
2) มีหลักประกันด้านสุขภาพ
3) มีหลักประกันด้านการศึกษา 


สำหรับนโยบายตามแนวทาง 2D 3M ในการแก้ปัญหาความยากจนของจีนมีความหมาย ดังนี้
1) Direction คือ ผู้นำลงมือทำจริงจังและมีทิศทางชัดเจน
2) Data คือ สำรวจข้อมูลทั่วประเทศอย่างถูกต้องแม่นยำและวิเคราะห์ฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ


ส่วน 3 M หมายถึง
1) Man คือ มอบหมายบุคลากรไปแก้ปัญหาอย่างมุ่งมั่น มีความเป็นเอกภาพของระบบ และสามารถตรวจชี้วัดผลงานได้จริง
2) Money คือ ทุ่มงบประมาณไปแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและโปร่งใส
3) Materials คือการจัดสรรทรัพยากรจากทุกภาคส่วนไปร่วมกันแก้ปัญหา ไม่ใช่เพียงแค่ภาครัฐ

ระบบแก้จนของจีนได้ดำเนินการจัดตั้งสภาแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการดูแลและเยียวยาขจัดความยากจนอย่างเป็นรูปธรรม แก้ปัญหาความยากจนตามสภาพความเป็นจริงของปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งปรับให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น จากการดำเนินการแก้ปัญหาความยากจนของจังหวัด ทำให้ประเทศไทยได้เรียนรู้ว่าการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ฐานข้อมูลที่แม่นยำ การแก้ปัญหาให้ตรงจุด และการมีเอกภาพของระบบทำให้การแก้ปัญหาความยากจนเป็นไปได้ 


ถึงแม้ว่าการขจัดความยากจนของจีนทั่วทั้งประเทศจะประสบความสำเร็จแล้ว แต่รัฐบาลจีนยังคงดำเนินการพัฒนา และจับตาเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้มีครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งในประเทศจีนกลับมายากจนอีกครั้ง ด้วยการนำโมเดลสิโนมิกส์ (Xinomics) ซึ่งในรูปแบบโมเดลดังกล่าวนี้มีจุดเด่น คือมุ่งเน้นลดความเหลื่อมล้ำ ผลักดันแนวคิด ”ความรุ่งเรืองร่วมกัน” เพื่อลดช่องว่างทางรายได้ภายใต้คำจำกัดความที่กล่าวว่า “จากยุค ใครรวยได้รวยก่อน สู่ยุค รวยแล้วต้องแบ่งปัน” ทำให้สังคมของจังหวัดเกิดปรากฎการณ์กลุ่มทุนภาคเอกชน และภาคธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีรายได้ และผู้ประกอบการจำนวนมากหันช่วยเหลือสังคมเพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน และเป็นการแสดงออกถึงการรักชาติของกลุ่มคนจีน

ผู้นำแบบสีจิ้นผิง


3. จากกรณีศึกษา- การปรับโครงสร้างบริหาร/การกระชับอำนาจ- การปลูกฝังความรักชาติ- วิธีการจัดการข่าวปลอม สื่อออนไลน์ต่าง ๆจากการศึกษาพบว่าการที่ประเทศจีนมีการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ภายใต้ผู้นำประเทศ คือ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งมีแนวคิดสังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์ความเป็นชนชาติจีนอย่างชัดเจน แนวคิดดังกล่าวนี้ปรากฎอยู่ในรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐประชาชนจีน
โดยสี จิ้นผิงได้มีการปฏิรูปกลไกระบบราชการ ด้วยการรวมศูนย์อำนาจเพื่อกำกับดูแลเอง ในการปลูกฝังความรักชาติให้แก่ประชาชน ในยุครัฐบาลสีจิ้นผิงมีการปลุกกระแสความรักชาติ ซึ่งรัฐบาลจีนไม่สร้างความสับสนให้แก่ประชาชน เพราะสื่อไม่นำเสนอข่าวที่ทำให้เกิดวิกฤติความศรัทธา และประชาชนจีนต้องไม่แตกแยกกันเอง ตลอดจนตัวสี จิ้นผิงเองเป็นผู้นำที่มีทัศนคติที่เชื่อในความยิ่งใหญ่ของจีน ซึ่งเป็นแนวคิดเดียวกันกับประชาชนคนจีนที่มองว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของโลกมาแต่ครั้งโบราณ ดังนั้น สีจึงมีความชอบธรรมที่จะขับเคลื่อนประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และประเทศจีนให้ยิ่งใหญ่และเติบโตต่อไปได้

รศ.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา 

รศ.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา  กล่าวหลังได้เดินทางไปศึกษาดูงาน “การแก้ปัญหาความยากจนที่เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงและมณฑลยูนนาน” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566  ว่าการที่ประเทศจีนสามารถ “ขจัดความยากจน” ออกจากสังคมจีนได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด


ประการแรก เป็นเพราะพวกเขามีภูมิปัญญาและมีความกล้าหาญเป็นอย่างมากพวกเขากล้าแตกหักกับประเพณีในการคิดเรื่อง ทฤษฎีการแก้ความยากจนแบบตะวันตกที่ครอบงำโลกมาเป็นเวลาช้านานแล้ว แต่ก็ไม่สามารถแก้ความยากจนให้ตกไปได้จริง รัฐบาลในโลกจำนวนมากยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางความคิดในเรื่องการแก้ความยากจนของตะวันตก และยังคงวนเวียนอยู่กับการหาทางออกไม่ได้ชาวจีนได้สลัดมายาคติเรื่องทฤษฎีแก้ความยากจนของตะวันตกออกไป และสร้างทฤษฎีแก้ปัญหาความยากจนของตนเองขึ้นได้เป็นผลสำเร็จ


“จากการศึกษาผมพบว่าคนจีนได้สร้างทฤษฎีใหม่ และโมเดลแก้จนจำนวนมาก และยังสร้างสรรค์นวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางด้านสังคมอีกจำนวนมากมายขึ้นมาในระหว่างการต่อสู้กับปัญหาความยากจน ทฤษฎี โมเดล และนวัตกรรมเหล่านี้นับเป็นคุณูปการไม่เพียงต่อชาวจีนจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติโดยส่วนรวมอีกด้วย”


สิ่งที่ชาวจีนคิดและลงมือปฏิบัติในการแก้ปัญหาความยากจน เป็นการตอบปัญหาจำนวนมากในทางทฤษฎี ที่นักวิชาการตะวันตกไม่สามารถหาคำตอบได้มาช้านานแล้วมีคำกล่าวของคนจีนที่ว่า “คิดหนึ่งส่วน แต่ทำเก้าส่วน” นั่นคือปรัชญาเบื้องหลังในการทำงานของพวกเขา นั่นคือปรัชญาที่เน้นการปฎิบัติ เป็นปรัชญาที่ทำได้จริง แต่ปรัชญาของจีนนั้นเป็นปรัชญาที่ไม่เพียงแต่อธิบายโลกและสังคมได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถเปลี่ยนแปลงโลกและสังคมให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ด้วย ปรัชญาของพวกเขาจึงแตกต่างจากสำนักปรัชญาของตะวันตกส่วนใหญ่ที่มิได้เน้นการปฏิบัติแต่อย่างใด


ประการที่สอง มีคำกล่าวของชาวจีนที่ใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ว่า “ค้นหาสัจจะจากความเป็นจริง” คำกล่าวนี้มีความหมายว่า ในการแก้ปัญหาให้เริ่มต้นจากความเป็นจริง ไม่ใช่เริ่มต้นจากแนวคิดหรือทฤษฎีหรือจากตำรับตำราที่เขียนเอาไว้ จากหลักคิดแบบนี้ทำให้พวกเขาสามารถสร้างทฤษฎีและโมเดลในการแก้ปัญหาความยากจนในแต่ละพื้นที่ๆ มีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันได้สำเร็จ
สภาพทางภูมิศาสตร์ที่เกิดจากการคมนาคมที่ไม่สะดวก เงื่อนไขและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ไม่ดี สภาพแวดล้อมที่หนาวจัด สภาพแวดล้อมที่มีพายุทะเลทรายเป็นประจำ สภาพแวดล้อมที่มีแต่ภูเขาและไม่มีพื้นที่สำหรับทำการเกษตร สภาพแวดล้อมของประชาชนที่รอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาล คอยแต่เรียกร้องความต้องการจากรัฐบาลโดยไม่พยายามพึ่งตนเอง สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันเหล่านี้ หากใช้แนวคิดทฤษฎีแบบตะวันตกที่เป็นมาตรฐานเดียว แต่ใช้ครอบคลุมกับสภาพความเป็นจริงที่แตกต่างกันอย่างหลากหลาย ย่อมจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ตกไปได้


สภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันอย่างหลากหลาย ได้สร้างแบบจำลองจำนวนมากขึ้นมาในการแก้ปัญหาความยากจน ตั้งแต่รูปแบบของการร่วมมือกันระหว่างภาคธุรกิจเอกชนกับสหกรณ์และเกษตรกรที่ยากจน รูปแบบการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาล ธุรกิจเอกชน ธุรกิจเทคโนโลยี และเกษตรกร หรือรูปแบบของพรรคคอมมิวนิสต์ในระดับสาขา กับธุรกิจเอกชน สหกรณ์และเกษตรกรที่ยากจน เป็นต้น

“โมเดลที่แตกต่างกันอย่างหลากหลาย แต่กลับประสบความสำเร็จได้ในแต่ละพื้นที่ ชี้ให้เห็นว่าการแก้ปัญหาความยากจนของแต่ละพื้นที่นั้น ต้องเริ่มต้นจากความเป็นจริงของพื้นที่นั้น ๆ และจำเป็นต้องอาศัยพลังทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองใดบ้างในการกำหนดกลยุทธ์เพื่อเอาชนะความยากจนในพื้นที่นั้น”


ประการที่สาม การมีทรัพยากรบุคคลที่ทุ่มเทเสียสละเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ผมพบว่าการแก้ปัญหาความยากจนของจีนนั้น ได้ใช้ทั้งเครื่องมือทางเศรษฐกิจ การตลาด กลไกทางสังคม ทางวัฒนธรรม และทางอุดมการณ์บุคลากรของจีนทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนต่างถูกหลอมรวมด้วยความคิดและจิตสำนึกรักชาติและรักประชาชนอย่างลึกซึ้ง 


การหลอมรวมของสังคมแบบนี้ช่วยให้สังคมของจีนมีบุคลากรที่มีจิตใจที่ดีงามอยู่เป็นจำนวนมากมาย ที่พร้อมจะเสียสละตนเองเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติและประชาชน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและพฤติสร้างอารยธรรมใหม่ของโลกขึ้นมา การมีบุคลากรแบบนี้เป็นจำนวนมากในประเทศ เป็นข้อได้เปรียบของประเทศจีนอย่างเห็นได้ชัด 

Author

Alternative Text
AUTHOR

นิตยา กีรติเสริมสิน

สนใจวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก รักการพูด แต่ชีวิตพลิกผันก้าวสู่นักสื่อสารมวลชน รักงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดิน น้ำ และความเป็นไปของโลก คิดบวก มองทางเลือกใหม่ ๆ อย่างสร้างสรรค์