ปฏิรูประบบราชการ : รีเซ็ตระบบใหม่ให้ประเทศไทยเดินหน้า?

“ประเทศไทยมีรัฐราชการที่ใหญ่เกินไปหรือไม่ ?”

หนึ่งในคำถามที่มีข้อถกเถียงกันมานาน เพราะหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ในองคาพยพที่เรียกว่า “ระบบราชการ” มีจำนวนบุคลากรมากกว่า 3 ล้านคน คิดเป็นอัตราส่วน 1 ต่อ 22 คน ของประชากร

เช่นเดียวกับงบประมาณค่าใช้จ่ายในส่วนบุคลากรภาครัฐที่สูงถึง 820,000 ล้านบาท

คิดเป็น 42%  ของวงเงินงบประมาณประเทศไทย สวนทางกับความรู้สึกของประชาชนที่มองว่ายิ่งนานวัน รัฐราชการไทยยิ่งใหญ่เกินไป และไร้ประสิทธิภาพ  

“หรือถึงเวลาแล้วที่เราต้องปฏิรูประบบราชการไทย ?”

ย้อนเส้นทางระบบราชการไทย 

หากจะย้อนความเป็นมาของระบบราชการไทย ต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์การปกครองในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการปฏิรูปการปกครองที่สำคัญ ให้รัฐมีความทันสมัย เพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากนอกประเทศอย่าง “ลัทธิล่าอาณานิคม” โดยพยายามรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ยกเลิกระบบจตุสดมภ์แบบเดิม จัดตั้งเป็นกระทรวงขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดิน

จากเดิมมีระบบไพร่พลที่เกณฑ์คนเข้ามาทำงาน เปลี่ยนมาเป็นข้าหลวง ข้าราชการ มีตำแหน่ง หน้าที่ แยกขาดจากพลเรือนอย่างชัดเจน 

ส่วน พื้นที่รอบนอกที่เคยปกครองแบบหัวเมือง โดยเจ้าเมืองท้องถิ่น ถูกเปลี่ยนมาใช้ระบบมณฑลเทศาภิบาลที่ข้าหลวงส่งตรงจากส่วนกลาง ใช้ระบบบริหารราชการในรูปแบบรัฐเดี่ยว หรือ Unitary State รวมศูนย์กลางอำนาจบริหารเป็นสำคัญ

ต่อมา หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี 2475 ระบบราชการยังคงถูกใช้เป็นกลไกลหลักในการพัฒนาประเทศ ตามแนวทางของคณะราษฎร ทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข ความมั่นคง บริการสาธารณะต่าง ๆ ทำให้กระทรวง กรม เพิ่มขึ้นจำนวนมาก พร้อม ๆ กับสถาบันการศึกษาที่ก่อตั้งขึ้น เพื่อผลิตบุคลากรข้าราชการเข้าระบบ

“จุดเปลี่ยนสำคัญในระดับพื้นที่ คือช่วง จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เขาเรียกว่ายุคสมัยของการพัฒนา มีหน่วยราชการเกิดขึ้นมาเยอะ คือการที่ส่วนกลางยกหน่วยงานเข้าไปในต่างจังหวัด”

ผศ.ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ข้าราชการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผศ.ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งข้อสังเกตว่า หลังยุคคณะราษฎรสิ้นอำนาจ คือช่วงเวลาที่ระบบราชการขยายใหญ่มากขึ้น ในยุครัฐบาล เผด็จการทหาร จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพื่อรองรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 และเป็นองคาพยพเพื่อรักษาอำนาจของคณะรัฐประหาร

เมื่อระบบราชการมีทั้งอำนาจและผลประโยชน์มากขึ้น ตามความเติบโตของตำแหน่ง ย่อมมีผู้หวังเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน อาชีพข้าราชการจึงยังเป็นที่นิยมจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน สะท้อนได้จากการสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไปของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สอบภาค ก) ปี 2568 ที่เปิดรับสมัคร 450,000 คน และมีผู้สมัครสอบเต็มทุกที่นั่ง

เมื่อลงลึกถึงรายละเอียด รายงานที่เกี่ยวกับรัฐราชการไทย จัดทำโดย 101 PUB หรือ 101 Public Policy Think Tank พบสิ่งที่น่าสนใจในรายงานฉบับดังกล่าว คือ การฉายภาพให้เห็นว่ารัฐราชการไทยใหญ่โตขนาดไหน

จากตัวเลขรายจ่ายเกี่ยวกับบุคลากรของรัฐ ซึ่งกินสัดส่วนมากถึง 42% ของงบประมาณภาครัฐทั้งหมด โดยรายจ่ายเกี่ยวกับบุคลากรรัฐแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้

  • รายจ่ายด้านบุคลากรโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้าง เงินเดือน บุคลากร เป็นจำนวน 820,000 ล้านบาท
  • รายจ่ายด้านบุคลากรทางอ้อม เช่น สวัสดิการหลังเกษียณ และค่ารักษาพยาบาล เป็นจำนวน 470,000 ล้านบาท

หากนึกภาพตาม เช่น ถ้าประเทศมีเงิน 100 บาท เงินเกือบครึ่งหนึ่ง คือ 42 บาท หมดไปแล้วกับการจ้างคน เงินที่เหลือถึงจะแบ่งไปใช้หนี้ ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ งบฯ พัฒนาการศึกษา รวมถึงการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน โดยค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐนี้ มีค่าเฉลี่ยทุกประเทศทั่วโลก อยู่เพียง 19.4% เท่านั้น 

เมื่อระบบราชการมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ การทำงานก็ควรมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่ทำไมสวนทางกับความรู้สึกของประชาชน ?

อาจาย์จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งข้อสังเกตว่าปัญหาหลักของระบบราชการไม่ใช่เรื่องจำนวน แต่เป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ส่วนกลาง โดยยกตัวอย่างในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ที่กำลังคนภาครัฐขึ้นตรงต่อท้องถิ่นที่ทำงานบริการใกล้ชิดประชาชน ถึง 80%

ขณะที่ประเทศไทย ขึ้นตรงกับท้องถิ่นเพียง 20% เท่านั้น ทำให้บุคลากรเต็มไปด้วยหน่วยงานรัฐส่วนกลาง ซึ่งทำหน้าที่สั่งการ ตรวจสอบ ซ้ำซ้อนกัน และกินพื้นที่ทางงบประมาณจำนวนมาก

สอดคล้องกับความเห็นของ รศ.ต่อภัสสร์ ยมนาค อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม จากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งสะท้อนการทำงานของระบบราชการไทยว่า แม้จะมีหลายหน่วยงานตรวจสอบของภาครัฐราชการ แต่ยังไม่มีหน่วยงานไหนรับผิดชอบสอบสวนอย่างจริงจัง และทำให้เรื่องเหล่านี้ ค้านกับความรู้สึกของประชาชน

“กรณี อาคาร สตง.ถล่ม ผ่านมา 6-7 เดือนแล้ว เรายังไม่เห็นความชัดเจนเลยว่า ใครจะรับผิดรับชอบในประเด็นนี้ ทั้งที่ไทยมีหน่วยงานคอร์รัปชันเยอะมากที่สุดในโลก เรามีหน่วยงาน หลัก ป.ป.ท. สตง. ทุกกระทรวงก็มี สปท. ศูนย์ปราบปรามการทุจริตภายในกระทรวง ทุกวันนี้เรายังไม่เห็นการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพได้”

รศ.ต่อภัสสร์ ยมนาค อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

รศ.ต่อภัสส์ ยังชวนทำความเข้าใจการคอร์รัปชันของหน่วยงานรัฐที่ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านจริยธรรม แต่ยังเกี่ยวข้องไปกับการรวมศูนย์อำนาจของรัฐราชการ โดยใช้กรอบแนวคิดของ ศ.โรเบิร์ต คลิตการ์ด นักเศรษฐศาสตร์ ที่ให้สมการว่า คอร์รัปชัน เท่ากับการผูกขาด บวกด้วยอำนาจดุลพินิจ และลบด้วยความรับผิดรับชอบ 

“แปลว่าถ้าเกิดอำนาจผูกขาดสูง การใช้ดุลพินิจสูง ก็จะมีคอร์รัปชันเยอะ ถ้าเกิดความรับผิดรับชอบต่ำ ยิ่งเกิดการคอร์รัปชันขึ้นเยอะด้วยซ้ำ พอเอาเฟรมนี้มามองรัฐราชการไทยก็พบทั้ง 3 จุดนี้เป็นปัญหาของรัฐราชการ”

รศ.ต่อภัสสร์ ยมนาค อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รศ.ต่อภัสส์ ยังขยายความถึงความล้มเหลวของงบประมาณ ฐานะที่ตนได้เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการพิจารณางบประมาณปี พ.ศ. 2569 จึงได้เห็นการผูกขาด ความซ้ำซ้อนที่ไม่มีประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณของหน่วยงานรัฐ และไม่มีการบูรณาการทำงานร่วมกัน

“มีหลายโครงการที่เขียนว่าโครงการบูรณาการ พอดูในรายละเอียดแล้วแยกกันอย่างโดดเดี่ยว แต่ละหน่วยงานต่างทำกันเอง หรือเป็นโครงการที่ซ้ำซ้อน ชื่อเดียวกันด้วยซ้ำ”

รศ.ต่อภัสสร์ ยมนาค อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“ในปีนี้เทรนด์มาในเรื่อง เอไอ หรือทำแอปพลิเคชัน ที่มีข่าวช่วงหนึ่งว่าประเทศไทยมีเป็นพันแอปฯ เลย ก็ไม่เกินจริง การใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ ผมเห็นหลายหน่วยงานนำเสนอเอไอของหน่วยงาน รายละเอียดซ้ำกัน คือเอาหลักการไปให้เอไอตอบ ถ้าหลักการแค่นี้ก็เหมือนกับงานที่เสนอมาก่อนหน้านี้ แค่นี้มันก็ชัดเจนว่ามันเป็นการซ้ำซ้อนของการใช้งบประมาณ”

รศ.ต่อภัสสร์ ยมนาค อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ใช่ว่าไทยไม่เคยปฏิรูประบบราชการ

เมื่อระบบราชการ คล้ายจะมีปัญหาเกินเยียวยา ทั้งรวมศูนย์อำนาจ ภาระงานซ้ำซ้อน การใช้งบประมาณไร้ประสิทธิภาพ

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะปฏิรูประบบราชการกันอีกครั้ง?

ผศ.ณัฐกร ได้เล่าย้อนให้เห็นคำตอบของคำถามนี้ ตั้งแต่ต้นทางความคิดการปฏิรูปลดขนาดรัฐราชการ มาจากหนังสือที่ชื่อว่า “Reinventing Government: How The Entrepreneurial Spirit Is Transforming The Public Sector” หรือ สวมวิญญาณธุรกิจเนรมิตระบบราชการ ต้นแบบการปฏิรูประบบราชการยุคใหม่ โดยเดวิด ออสบอร์น และเท็ด เกเบลอร์ ที่ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2535

เนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้มีอยู่ 2 ข้อ คือ การปรับโอนอำนาจจากรัฐส่วนกลางไปยังท้องถิ่น และการโอนกิจการบางส่วนของรัฐให้เป็นของเอกชน ซึ่งได้กลายเป็นแนวทางให้หลายประเทศนำไปใช้ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา

“ยกตัวอย่าง เช่น การ Downsizing ที่เรากำลังคุยกัน ทำให้รัฐราชการเล็ก เล็กแล้วไปไหน ของอเมริกาคือไปเอกชน เช่น คุก เขาก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลไปดูแลเรือนจำทั่วประเทศเหมือนเรา”

ผศ.ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

“ในยุคนั้นก็เลยมาถึงสังคมไทย ประจวบเหมาะ 2 เรื่องกับการปฏิรูปการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ 40 ไอเดียพวกนี้ถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญ และวิกฤตเศรษฐกิจที่โดนบีบจาก IMF ทำให้เห็นว่ารัฐคุณทำอะไรทุกเรื่องไม่ได้หรอก คุณต้องถ่ายภารกิจ เลือกทำบริการสาธารณะที่เป็นพื้นฐานจริง ๆ หลายเรื่องประชาชนต้องจ่ายเพื่อเป็นการบริการขั้นสูง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ”

ผศ.ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ย้อนกลับไป ปี 2540 ประเทศไทยเองก็เคยมีความพยายามจะปฎิรูประบบราชการ โดยทำทั้ง 2 แนวทางที่ปรากฏในหนังสือ คือ ทั้งกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น และโอนถ่ายภารกิจบางส่วนไปไว้กับเอกชน 

การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น มาพร้อมรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ตามด้วยการปฏิรูปประเทศหลายด้าน มีพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2542 โดยมีแผนระบุขั้นตอนการโอนถ่ายภารกิจ งบประมาณ กำลังคน กระจายออกจากส่วนกลางไปยังท้องถิ่น 

ในช่วงปี 2540 ถึง 2550 ถูกเรียกยุคทองของการกระจายอำนาจ ที่มีการโอนถ่ายภารกิจไปสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด

ส่วนการโอนถ่ายภารกิจไปยังเอกชนนั้นมาพร้อมกับการเข้ามาของรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2544 ด้วยเสถียรภาพทางการเมืองที่กุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร จึงเกิดการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่สำคัญ เป็นบริษัทมหาชนหลายแห่ง บริหารในรูปแบบบริษัท โดยที่รัฐเข้าไปถือหุ้นใหญ่แทนการบริหารแบบขึ้นตรงต่อภาครัฐเหมือนเดิม 

ตัวอย่างการโอนถ่ายภารกิจไปยังเอกชน

  • การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ปฏิรูปสู่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 
  • ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ปฏิรูปสู่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน)

อย่างไรก็ตาม หลายแห่งก็ทำไม่สำเร็จ เพราะเกิดกระแสต่อต้านจากข้าราชการและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการยกให้เอกชนบริหาร เช่น ด้านพลังงานไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมไปถึง การรถไฟแห่งประเทศไทย โดยฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่า บริการสาธารณะเหล่านี้ไม่ควรอยู่ในมือของเอกชน  

ความพยายามปฏิรูป จึงเป็นเหมือนเหรียญสองด้าน คือ เพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจกลายเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้รัฐนาวาของทักษิณ ชินวัตร ต้องล่มสลาย ถูกชุมนุมต่อต้าน ขับไล่ จนนำไปสู่การรัฐประหาร 

หลังจากมีการรัฐประหาร ทั้ง 2 ครั้ง ในปี 2549 และ 2557 กระบวนการปฏิรูประบบราชการ ทั้งจากตัวกลไกรัฐธรรมนูญ และความพยายามของรัฐบาลในเวลานั้น ก็ต้องหยุดชะงักลง เพราะทุกครั้งหลังการยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ รัฐบาลทหารจะแต่งตั้งข้าราชการบริหารแทนนักการเมืองจากการเลือกตั้ง และดูเหมือนว่ายิ่งทำให้รัฐราชการมีขนาดใหญ่มากขึ้น 

มากไปกว่านั้นมีการตั้งหน่วยงานเพิ่มขึ้น เช่น การรัฐประหารปี 2557 จัดตั้ง คณะกรรมการน้ำ เพื่อมาจัดการดูแลสั่งการ การบริหารจัดการน้ำ รวมอำนาจจากหน่วยงานทั้งหมดมาไว้ที่ส่วนกลาง ทั้งที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว  

เมื่อกลับมาดูในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน รัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่นำโดย อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพรรคภูมิใจไทย ดูเหมือนจะกำลังขยายเครือข่ายรัฐราชการ 

โดยเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ภายหลังการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่กี่วัน พรรคภูมิใจไทย เสนอแก้กฎหมาย 3 ฉบับ คือ ร่าง พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด, ร่าง พ.ร.บ.สภาตําบล และองค์การบริหารส่วนตําบล และ ร่าง พ.ร.บ.เทศบาล สาระสำคัญ คือ การปรับอายุของผู้บริหารท้องถิ่น และให้ผู้บริหารท้องถิ่น ไม่ถูกจำกัดจำนวนวาระในการดำรงตำแหน่ง

โดยเฉพาะ ร่าง พ.ร.บ.เทศบาล นั้น พรรคภูมิใจไทย พยายามผลักดันให้มีการเพิ่มตำแหน่งกำนันและผู้ใหญ่บ้านในเขตเทศบาลเมืองและเทศบาลตำบลได้ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อช่วยดูแลทุกข์สุขของประชาชนได้อย่างทั่วถึง รวมถึงการสานต่อเครือข่าย อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) อีกด้วย

“อีกสิ่งที่เป็นสัญญาณว่าพรรคภูมิใจไทย พยายามจะขยายรัฐราชการ คือ การเสนอ ร่างพระราชบัญญัติอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน คือ อสม. คอนเซ็ปต์ คืออาสาสมัคร มาทำด้วยความรักผูกพันในชุมชม อยากเห็นคนสุขภาพดี แต่ตอนนี้ อสม. กำลังถูกแปลงร่างเป็นไปเป็นเหมือนพ่อหลวงกำนัน มีเงินเดือน นอกจากนั้น อนุทิน เขายังเป็นคนเปิดประเด็นเอง ว่าให้มีการขยายเวลาเกษียณเป็น 65 มันสอดรับกับการทำให้ราชการขยาย”

ผศ.ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

กระแสโลกปฏิรูประบบราชการ ก้าวให้ทันนานาประเทศ 

ความพยายามลดขนาดของระบบราชการลง (Downsizing) ในปัจจุบันกลับมาเป็นกระแสในหลายประเทศ ด้วยเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ทรัพยากรที่ลดน้อยลง การเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ล้วนเป็นปัจจัยเร่งให้แต่ละประเทศต้องปรับตัว 

ตัวอย่างประเทศกลุ่มอาเซียนอย่าง เวียดนาม คู่แข่งด้านเศรษฐกิจและเป็นฐานการผลิต ดึงการลงทุนจากอุตสาหกรรมต่างชาติ เหมือนกับประเทศไทย ได้ประกาศนโยบายปฏิรูประบบราชการครั้งประวัติศาสตร์ Vietnam’s Bureaucratic Reform โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐ ลดความซ้ำซ้อน ลดค่าใช้จ่าย และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมไปถึงการปราบปรามคอร์รัปชัน

นโยบายนี้ลดจำนวนกระทรวงจากเดิม 22 กระทรวง ให้เหลือ 17 กระทรวง ลดจำนวนบุคลากรลงอย่างน้อย 20%  ควบรวมจังหวัดและเมืองต่าง ๆ จากเดิม 63 จังหวัด ลดเหลือ 34 จังหวัด 

ผลจากนโยบายดังกล่าว คาดว่าจะสามารถประหยัดงบประมาณได้ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อนำไปใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น สร้างถนน โรงพยาบาล และพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็คาดหวังว่าการทำงานข้าราชการจะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

แต่ข้อสังเกตในการปฏิรูปราชการ โดยการลดจำนวนคนนั้น อาจถูกต่อต้านจากผู้มีส่วนได้-เสีย หากกระทำเยี่ยงเผด็จการ เช่น สหรัฐอเมริกา ด้วยการนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้ตั้งหน่วยงาน Department of Government Efficiency ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อลดการใช้จ่าย ความซ้ำซ้อนของหน่วยงาน ซึ่งแม้คาดกันว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายภาครัฐได้หลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี แต่การปลดพนักงานรัฐจำนวนมากออกอย่างกะทันหัน ก็มีกระแสการต่อต้านเกิดขึ้นทั่วประเทศด้วยเช่นกัน 

ปฏิรูประบบราชการ : ประเทศไทยพร้อมหรือยัง

แม้ในวันนี้ คำถามที่ว่า “ประเทศไทยพร้อมหรือยัง ในการปฏิรูประบบราชการ” ยังไม่มีใครตอบได้ แต่ในทัศนะของ ผศ.ณัฐกร มองว่าประเทศไทยคงถึงเวลาที่ต้องกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงานส่วนกลาง เพื่อนำไปสู่การปฏิรูประบบราชการอย่างแท้จริง โดยเริ่มจากการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อเป็นกรอบสำหรับการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ แต่การปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อการเมืองต้องมีเสถียรภาพ และไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบ

“ต้องเริ่มจากรัฐธรรมนูญ ประเทศนี้ต้องเปลี่ยนจากข้างบนลงมามันถึงจะสำเร็จ ถ้าสู้เป็นรายประเด็น ถ้าไม่มีพลังทางการเมืองมันทำไม่สำเร็จ แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่รัฐธรรมนูญทำไว้ผลมันยังคงอยู่ ผลจากรัฐธรรมนูญ ปี 40 อย่างการกระจายอำนาจ เพราะอย่างน้อยก็ไม่ถอยหลังไปกว่าเดิม เราเลยจุดนั้นมาแล้ว ผมคิดว่ามันมีพลังมากกว่าจะไปขับเคลื่อนรายประเด็น”

ผศ.ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สำหรับมุมมองของ ผศ.ต่อภัสสร์ การปฏิรูประบบราชการของประเทศไทยต้องลงมือทำทันที  ไม่เช่นนั้นจะตามประเทศอื่นไม่ทันแน่นอน และผู้มีอำนาจต้องใช้เจตจำนงชัดเจนที่จะปฏิรูป เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม ถึงจะทำสำเร็จ ก่อนทุกอย่างจะช้าเกินไป 

ปัญหาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการรวมศูนย์อำนาจ ความซ้ำซ้อนของหน่วยงาน และการใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า เหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงระบบราชการในปัจจุบันที่อาจเดินมาถึงจุดอิ่มตัวหรือไม่

ประสบการณ์จากอดีตและตัวอย่างจากนานาประเทศเป็นตัวอย่างที่ดีมากพอหรือยังที่จะทำให้ผู้มีอำนาจเห็นถึงความจำเป็นของการปฏิรูประบบราชการอย่างจริงจัง?

ท้ายที่สุดทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการเมืองมีเสถียรภาพ และผู้มีอำนาจมีเจตจำนงในการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เพื่อให้รัฐราชการไทยก้าวพ้นความยิ่งใหญ่ที่ไร้ประสิทธิภาพ และกลับมาเป็นโครงสร้างที่รับใช้ประชาชนได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

“ต้องยอมรับว่า เรารอไม่ได้อีกแล้ว… ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง และความท้าทายที่เกิดขึ้นทั่วโลก”


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active