สังคมไทย พระพุทธศาสนา ยังคงเป็นเสาหลักทางจิตใจ ทำให้เรื่องราวเหล่านี้จึงมักถูกมองผ่าน ศรัทธา จนหลายครั้งความจริงที่ดำมืดอาจกำลังถูกปิดบังเอาไว้เบื้องหลัง
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงนี้เหตุการณ์อื้อฉาวที่เกิดขึ้นในรั้ววัด กลับเผยให้เห็นอีกด้านหนึ่งของความศรัทธา นั่นคือ ความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่าง พระสงฆ์ กับ ผู้คนรอบข้าง ที่บางครั้งไม่เพียงฉุดภาพลักษณ์ศาสนาให้เสื่อมเสีย แต่ยังเปิดช่องให้เกิดผลประโยชน์ ไปจนถึงการยักยอกเงิน การทุจริต หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ ข้ามเส้นศีลธรรม
ปัญหาเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของพระ แต่นี่กลับเป็นเงาสะท้อนของสังคม ที่ต้องถามตัวเองว่า เราในฐานะ ผู้ใกล้ชิดศาสนา ได้มีส่วนพาวงการสงฆ์มาถึงจุดนี้อย่างไร ?

เมื่อทางโลก กำลังล้ำเส้น ทางธรรม
“เรื่องราวฉาวโฉ่ในแวดวงศาสนาเช่นนี้ เกิดขึ้นมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ได้เป็นที่รับรู้ของคนภายนอกเท่านั้น”
คือบทสนทนาที่ รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน นักวิชาการด้านปรัชญาและพุทธศาสนา ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ชวนเปิดประเด็น และร่วมทำความเข้าใจรากของปัญหาในวงการสงฆ์ไทยเวลานี้
ประเด็นด้านความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างพระชั้นผู้ใหญ่ กับ สีกา ก่อนหน้านี้ คือหนึ่งในเรื่องราวของคนใกล้ชิดศาสนา ที่สร้างจุดด่างพร้อยให้กับพุทธศาสนาอย่างไม่มีใครปฏิเสธ จนทำให้เห็นปรากฏการณ์สำคัญหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือการพยายามปกปิดข่าวด้วยการใช้ วาทกรรม โดยที่ รศ.ชาญณรงค์ กำลังหมายถึง คือ มีคนส่วนหนึ่งพยายามเปิดโปง และคนส่วนหนึ่งพยายามปกปิด ในที่นี้ไม่ใช่การปิดข่าว แต่เป็นการปิดแนวคิดบางอย่าง สะท้อนให้เห็นผ่านการใช้คำว่า นารีพิฆาต
“นัยยะของคำนี้คือ การพยายามบอกว่าพระเป็นเพียงเหยื่อ และเลือกที่จะโยนความผิดให้สีกาในฐานะผู้กระทำ นี่คือการลดทอนความเลวร้ายในวงการสงฆ์ ปกปิดความเลวของพระ ปัดความรับผิดชอบออกไป ทั้งที่พระสงฆ์คือผู้ที่ถูกคาดหวังให้ต้องมีความรับผิดชอบทางศีลธรรมสูงกว่าคนทั่วไป”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
อย่างกรณีที่เกิดขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะใช้คำอย่างไร สังคมก็ดูเหมือนจะมองว่า สีกา จงใจ จับ เอาแต่พระชั้นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น แต่หากมองอย่างใจเป็นกลาง บริบทของพระเหล่านี้มีโอกาสที่จะเกี่ยวข้องกับฆราวาสทั่วไปมากกว่าอยู่แล้ว โดยเฉพาะด้วยระบบของการศึกษา
การศึกษาตามกระบวนการสงฆ์จะมีการเรียนตามขั้นตอน เช่น ในการเรียนนักธรรมบาลี 9 ประโยค แล้วใช้วุฒิการศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาแต่งตั้งสมณศักดิ์ในลำดับถัดไป
“แต่ปัจจุบัน ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์ไม่ได้มีเพียงการสอนแผนกธรรมหรือแผนกบาลีเท่านั้น แต่อยู่ในฝ่ายทางโลกด้วย ทำให้ฆราวาสเริ่มเข้ามาเรียนหนังสือรวมกับพระสงฆ์ได้ เมื่อก่อนมีเพียงแค่ระดับ ป.โท-ป.เอก แต่ตอนนี้ได้เจอกันตั้งแต่ในระดับ ป.ตรี รวมทั้งพระอาจารย์ผู้สอน ก็มีโอกาสได้พบเจอกับฆราวาส ญาติโยมทั้งชาย-หญิง ลูกศิษย์ลูกหาก็เข้าหาเป็นเรื่องปกติ อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์ในทางวิชาการการเรียนการสอน”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
และไม่ใช่กับเฉพาะนักเรียน แต่รวมไปถึงคนทำงานด้วย เพราะระบบการจัดการของวิทยาลัยสงฆ์นั้น บางตำแหน่งจำเป็นต้องให้ฆราวาสดำเนินการ เช่น บัญชีการเงิน เพราะพระไม่สามารถจัดการเองได้ การทำงานร่วมกันทุกวันเช่นนี้จึงยิ่งทำให้พระ และสีกามีโอกาสได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นไปอีก
“พระที่อยู่ในสายการศึกษามีโอกาสใกล้ชิดผู้หญิงได้มากกว่า และอาจนำไปสู่ความสนิทสนม เช่นเดียวกับพระสายที่อยู่ในบริหารและการปกครอง ที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับเงิน”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
ในแง่ของระบบการปกครองของพระ อาจดูคล้ายกับระบบราชการ เช่น พระที่ต้องการเป็นเจ้าคณะตำบล จำเป็นต้องย้ายไปวัดอื่นเพื่อรับตำแหน่ง ต่างจากในอดีต ที่พระอยู่วัดไหนก็จะอยู่วัดนั้นตลอดไป
“ระบบแบบในอดีต พระรูปเดิมจะอยู่วัดเดียวตลอดไป ทำให้คุ้นเคยกับชาวบ้านในพื้นที่ และในทางกลับกัน ชาวบ้านและชุมชนนี้แหละจะคอยดูแล ควบคุมพระ หากเห็นว่าเกิดปัญหาหรือความผิดปกติชุมชนก็จะจัดการ แต่ตอนนี้พระต้องย้ายออกกไปรับตำแหน่งที่อื่นนอกจากไม่คุ้นเคยกับชุมชนแล้ว อาจส่งปัญหาทางใจต่อญาติโยมเช่นกัน”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน

อย่างไรก็ตาม พระเหล่านี้มักเป็นศูนย์กลางของวัด การย้ายวัด หรือกิจของสงฆ์มากมายทำให้ต้องเดินทางไปไหนมาไหนตลอดเวลา รวมถึงการมีญาติโยมแวะเวียนมาหาไม่ขาดสาย มาดีบ้าง ร้ายบ้างก็ไม่อาจรู้ การพบเจอผู้คนทุกวัน หรือการย้ายที่มั่น ก็อาจทำให้ท่านไม่มีเวลาขัดเกลาตนเองบนเส้นทางของศาสนาที่แท้จริงมากนัก
“ผมคิดว่าคำว่า พระไร้เดียงสา อาจไม่ตรงเสียทีเดียว แต่พระอาจจะมองโลกแบบซื่อ ๆ ใครมาหาก็ต้องคุยด้วยความใจดี เพราะระบบการคุยของพระกับฆราวาสมันไม่ใช่แบบชาวบ้านคุยกันนะ แต่มันต้องพูดสิ่งดี ๆ ต่อกัน ทำให้ดึงดูด หวั่นไหว และอาจหลอกกันได้ง่าย”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
รศ.ชาญณรงค์ ยังย้ำว่า สิ่งที่พระสงฆ์ต้องรำลึกไว้เสมอเมื่อเกิดความรู้สึกที่ได้รับมากมาย โดยเฉพาะกับญาติโยมผู้หญิง คือ การเท่าทันตนเอง
“ผมเชื่อว่าแรกเริ่มคงไม่มีใครตั้งใจให้เกิด แต่การไม่เท่าทันตนเอง ปล่อยตัว เปิดช่องว่างจนกลายเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ และจากสิ่งที่คิดว่าไม่มีอะไรกลับเลยเถิดจนกลายเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
สะพานบุญมุ่งสู่บาป : บุญ ทาน ในพุทธศาสนา กับการสังคมสงเคราะห์
หากถอยออกมองในมุมที่กว้างออกไปอีกจะพบว่า โครงสร้างสังคมแบบ สังคมสงเคราะห์ ที่มาจากการขาด รัฐสวัสดิการที่ดี ในบ้านเราต่างหาก ที่อาจเป็นหนึ่งในรากของปัญหา และนำพาให้พุทธศาสนาดำดิ่งเหมือนอย่างทุกวันนี้ รศ.ชาญณรงค์ อธิบายถึงการที่ศาสนาพุทธแสดงบทบาทสังคมสงเคราะห์เป็นเครื่องมือทางการเมืองแบบหนึ่ง เพราะรัฐไม่มีระบบที่ทำให้คนเข้าถึงสวัสดิการอย่างเท่าเทียม ศาสนาซึ่งใกล้ชิดกับคนจริง ๆ จึงกลายเป็นตัวกลางจัดสรรทรัพยากรผ่านระบบ บุญทาน เพื่อให้ชุมชนเดินหน้าต่อไปได้
ในขณะที่ตัวพระสงฆ์เอง ถูกเรียกร้องจากสังคมว่าต้องไม่ทำตัวไร้ประโยชน์หรือเอาเปรียบสังคม จึงทำให้พระต้องทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ และวัดจึงกลายเป็นสถานที่ เรี่ยไรเงิน โดยปริยาย
แต่การที่พระสงฆ์ต้องทำหน้าที่เรี่ยไรเงินเสียเอง ย่อมย้อนแย้งกับพระธรรมวินัย จึงเปิดช่องให้ฆราวาส เข้ามาจัดการการเงินแทนพระสิ่งนี้ รศ.ชาญณรงค์ ชี้ให้เห็นว่าเป็นช่องว่างสำคัญที่เปิดโอกาสในการใช้พระพุทธศาสนาหาผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นจากตัว วัดเอง พระสงฆ์ หรือแม้แต่ฆราวาส ที่สมัยนี้เข้ามาในรูปแบบ อินฟลูเอนเซอร์ หรือคนที่เป็นผู้นำทางความคิดไม่ว่าด้านใดก็ด้านหนึ่ง
“สังคมไทยไม่เคยปลูกฝังให้คนรู้จักให้ทาน เพราะควรแบ่งปันทรัพยากร แต่สอนกันมาว่าการทำบุญ จะได้บุญ”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
รศ.ชาญณรงค์ ชี้ให้เห็นว่า ถ้าเป็นสมัยก่อน คนจะไปทำบุญที่วัดโดยตรง เห็นหน้าตากันจริง ๆ แต่ตอนนี้เป็นออนไลน์ตรวจสอบยาก แล้วคนไทยใจดี เห็นคนมารับบริจาคก็คิดว่าเขาเป็นคนดี เลยมือไว โอนทำบุญทานโดยไม่คิดมาก
จะเห็นได้จากการเข้ามาของอินฟลูฯ บางคน ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริจาคของวัด หรือเป็นตัวแทน เป็นสะพานบุญ กำลังเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ หากมองในแง่ดีก็มีผลต่อการระดมทุนของวัด และอำนวยความสะดวก แต่ก็กลายเป็นเส้นทางหาผลประโยชน์เช่นกัน
“เราคงห้ามคนเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะศาสนาต้องปรับตัวเข้าสู่โลกสมัยใหม่ แต่ถัดจากนี้วัดต้องสร้างระบบให้ผู้บริจาคไว้เนื้อเชื่อใจ”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
อย่างไรก็ตาม รศ.ชาญณรงค์ เสนอว่า หากผู้ใดจะอาสาเข้ามาดำเนินการกิจการของวัด ควรต้องได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการวัดภายใต้ระบบกฏหมาย และสามารถเรียกร้องค่าตอบแทนได้ตามความเหมาะสม เพื่อความเป็นมืออาชีพ โปร่งใส และตรวจสอบได้จากสังคม
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงคำอธิบายส่วนหนึ่ง ว่าเหตุใดพระสงฆ์เหล่านี้จึงตกอยู่ในบริบทที่ เสี่ยง กับ กิเลส แทนที่พระที่มุ่งไปในเส้นทางแห่งการปฏิบัติตามคำสอน โลกียธรรม

แล้วอะไร ? คือปัจจัยฉุดวงการสงฆ์ไทยขนาดนี้…
รศ.ชาญณรงค์ ชวนเล่าย้อนไปในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่พุทธศาสนาไทยถึงคราวอ่อนแอ พระภิกษุหย่อนยานในพระธรรมวินัย รวมกับความเชื่อด้านไสยศาสตร์และพิธีกรรมและแรงกดดันจากตะวันตก นำมาสู่การปฏิรูปพระพุทธศาสนาในสมัยรัชกาลที่ 4
ในครั้งนั้นมีการฟื้นฟูการศึกษาพระไตรปิฎกและบาลีอย่างเข้มข้น ปฏิรูปวัด ลดรูปแบบพิธีกรรม และ พุทธผสมไสยศาสตร์ ให้น้อยลง และมีการตั้งคณะสงฆ์ใหม่ ธรรมยุติกนิกาย (พ.ศ. 2372)
ธรรมยุติกนิกาย…จะเน้นให้เคร่งครัดในธรรมวินัย ไม่รับความเชื่อผสมอย่างเครื่องรางของขลัง หรือไสยศาสตร์ นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้มุมมองที่มีต่อศาสนาเปลี่ยนไป คือ มีความเป็นวิทยาศาสตร์และจับต้องได้มากขึ้น
“ผลที่ตามมา คือ ทำให้ของบางอย่างที่มองไม่เห็นถูกกำจัดไปด้วย เช่น ความเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์, เทวดา-ภูติผี หรือเรื่องชาติหน้า สิ่งเหล่านี้จะหายไปจากคำสอนทางพุทธศาสนาที่เป็นทางการทั้งหมด เพราะถูกควบคุมโดยรัฐ และอีกสิ่งหนึ่งที่หายไปด้วย คือ แนวคิดเรื่องนิพพาน แต่เดิมนิพพานคือสิ่งหนึ่งที่อยู่ในระบบการสอน แต่เมื่อหายไป เป้าหมายของพุทธศาสนาจึงกลายเป็นเรื่องโลกียธรรม หรือ ศีลธรรมอันดีงามของสังคม เป็นหลักแทน”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
สำนึกทางพุทธศาสนา ที่หายไป ?
แม้ในช่วงเวลานั้น พุทธศาสนาได้ถูกตีความใหม่ เน้นการใช้ชีวิตเชิงศีลธรรมประจำวันมากขึ้น และมีเครื่องมือทางพุทธศาสนาอย่าง ศีลห้า คอยควบคุม แต่มีบางแนวคิดที่มองว่า กลับไม่ได้ช่วยให้คนพัฒนาทางศีลธรรมมากขึ้นเลย เช่น การเกิดสงคราม เราจะพบเห็นแต่การแสดงความเกลียดชัง คนจำนวนมากยุยงให้เกิดสงครามฆ่าล้าง แม้กระทั่งคนที่เคยบวชเรียนทางศาสนามาก่อนก็ตาม
“หากมองในมุมแบบ พระไพศาล วิสาโล ท่านเห็นว่า เมื่อสำนึกแบบ โลกุตตรธรรม (ธรรมเหนือโลก) ที่เป็นสำนึกทางศาสนาหายไปจากระบบคำสอน เลยทำให้ศีลธรรมของคนทั่วไปไม่พัฒนา
“ผมคิดว่าระบบการศึกษาของพระสงฆ์ทุกวันนี้ แม้จะเป็นการศึกษาตามแผน แต่ไม่ได้มุ่งเป้าในการขัดเกลาจิตใจ ละเลยการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ ทำให้ขาดสำนึกแบบพุทธอย่างแท้จริง”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
สำหรับพระสงฆ์ แม้จะมีความเป็นมนุษย์ที่เปราะบางและผิดพลาดได้ แต่หากรู้ว่าปฏิบัติผิดบทบัญญัติทางศาสนา ก็ควรสละตนเองออกจากร่มเงา การที่ปล่อยให้ความผิดพลาดเกิดอยู่ยาวนานหลายปีเหมือนหลายกรณีที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จึงเป็นเรื่องน่าสงสัยในสำนึกทางพุทธศาสนา ว่าที่ผ่านมาเหตุใดจึงไม่สามารถพัฒนาจิตวิญญาณทางศาสนาได้เลย

พระไทยเป็นง่ายไปไหม ?
เมื่อการเข้าสู่ร่มเงาศาสนาช่างหย่อนยาน
หากถามถึงรากของปัญหาในวงการสงฆ์ไทยเวลานี้ มีหลายปัจจัยพัวพันกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ รศ.ชาญณรงค์ มองว่าเกี่ยวข้องกันมาตลอด คือ ความสัมพันธ์ของ รัฐ และ ศาสนา
ที่ผ่านมา มีข้อเสนอให้แยกรัฐและศาสนาออกจากกัน เพราะการที่พระพุทธศาสนาเข้าไปอยู่ในการควบคุมของรัฐอย่างทุกวันนี้ ทำให้พระต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องสมณศักดิ์ และการบริกหารจัดการคณะสงฆ์ ซึ่งทำให้พระเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิถีทางโลกมากเกินไป
แต่ยังมีประเด็นอื่นที่อาจเป็นรากฐานของปัญหานี้เช่นกัน หนึ่งในนั้นคือเรื่อง กระบวนการเข้าเป็นพระ ของพระพุทธศาสนาไทยที่ขั้นตอนเหล่านี้ไม่เคยมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบ
“ระบบการเข้าสู่ชีวิตนักบวชในศาสนาคริสต์ มันต้องผ่านขั้นตอนมาเยอะมาก เริ่มจากการคัดกรองด้วยความสมัครใจตั้งแต่ตอนเรียนมัธยม ระหว่างเรียนก็ถูกหล่อหลอมขัดเกลาจากศาสนาอย่างลึกซึ้งรอบด้าน”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
สำหรับศาสนาคริสต์ ไม่สามารถเป็นพระได้ทันที เมื่อเรียนจบ ป.ตรี จะได้เป็น บราเธอร์ (Brother) (ยังไม่ใช่สงฆ์) และต้องเรียน ป.โทจึงอาจจะได้รับแต่งตั้งเป็น สังฆานุกร จากนั้นจึงได้บวชเป็น พระสงฆ์ (Priest) ในลำดับถัดไป ซึ่งระหว่างทางจะมีการอบรม ฝึกฝน และขัดเกลาอย่างเคร่างครัดหลายปีเพื่อพิสูจน์ความตั้งใจและศรัทธา
“กว่าจะได้เป็นสังฆานุกร ผู้นั้นต้องมีความมั่นใจแล้วว่าจะอยู่ใต้ร่มเงาศาสนาได้อย่างตลอดรอดฝั่ง หรือที่เรียกว่า กระแสเรียก ถัดจากนี้ก็ต้องไปขัดเกลาตนเองต่ออีกเพื่อให้มีการพัฒนาทางจิตวิญญาณระดับหนึ่ง ที่มั่นคงเพียงพอ และต้องผ่านการรับรองจากคุณพ่อผู้อาวุโส เพื่อรับรองว่า มีศรัทธามั่นคงแล้ว จึงบวชเป็นพระสงฆ์ได้”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
หากมองย้อนกลับมาที่บ้านเรา รศ.ชาญณรงค์ ย้ำว่า ต่างกันมาก เพราะแทบไม่มีกระบวนการคัดกรองคนเข้ามาบวชอย่างเป็นระบบ วันดีคืนดีเกษียณอายุราชการแล้วไม่มีอะไรทำ หรือไปยิงใครมา ไปทำอะไรผิดกฎหมายมา อยากบวชหนีความผิด นึกจะไปบวชก็เข้าไปได้เลย
แต่นี่อาจเป็นเพียงปลายทาง เพราะหากมองให้ลึกลงไปกว่านั้น การบวชพระเข้าสู่ร่มเงาพระพุทธศาสนาจของไทยยังกลายเป็น โอกาส ให้กับคนจำนวนมากเช่นกัน
“คนจำนวนไม่น้อยรวมทั้งผมด้วย เข้ามาในร่มเงาศาสนาเพราะความจำเป็น เพราะสมัยเด็กบ้านเรายากจน พ่อบอกให้ไปบวชเพื่อจะได้เรียนหนังสือ เราอยากเรียนหนังสือเราก็ต้องไปบวช ไม่ได้มาจากความตั้งใจ”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน
ดังนั้นมองว่ากระบวนการขัดเกลาควรจะเริ่มตั้งแต่ตอนเป็นเณร แต่ภายใต้การดูแลของระบบคณะสงฆ์ไทย (ส่วนกลาง) ที่ละเลย แม้มีการวางระบบการเรียนอย่างนักธรรม บาลี ไว้อย่างดีแล้ว แต่ไม่มีนโบยายหรืองบประมาณที่สร้างพระสงฆ์ที่มีคุณภาพ หรือเกื้อกูลให้ชัดเจนว่าพวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างไร สำนึกที่เกิดขึ้นจึงมีต่อครูบาอาจารย์มากกว่าพุทธศาสนา การจะหวังให้มีคุณภาพจึงเป็นเรื่องยาก
เมื่อมีพระอลัชชี หรือ ‘ภิกษุณี’ คือ คำตอบ ?
เหตุการณ์ฉาวในวงการสงฆ์ที่เกิดต่อเนื่องในบ้านเราตลอดช่วงที่ผ่านมา อาจกำลังสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของสถาบันทางพุทธศาสนาว่าแท้จริงแล้วยังเป็นที่พึ่ง และเรียกศรัทธาความเชื่อมั่นให้คนได้อยู่หรือไม่ ?
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นักวิชาการ จึงแบ่งคนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดศาสนา ที่เชื่อว่า ความเชื่อมั่นในตัวบุคคลอาจจางหาย แต่ศรัทธามั่นในหลักการพุทธศานายังคงอยู่
- กลุ่มคนที่ไม่สนใจศาสนา โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ไม่นับถือศาสนาอยู่แล้ว การเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จึงทำให้เขาสามารถปฏิเสธคำสอน หรือมีเสรีภาพในการเลือกสิ่งที่ตนเองเชื่อได้
- กลุ่มคนกลาง ๆ กลุ่มนี้จะมีความหวั่นไหว โดยเฉพาะคนที่ยึดถือที่ตัวบุคคลเป็นหลัก เมื่อทำให้ผิดหวังอาจจะทำสั่นคลอนภายในใจได้
“หากเราเอาแต่ยึดติดตัวบุคคล พอคนนั้นล้ม เราก็ต้องไปยึดคนใหม่ เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จบ เราต้องข้ามความเป็นตัวบุคคลให้ได้ ถึงจะมั่นคง หากไม่รู้จะพึ่งพาใครจริง ๆ อาจเป็นพระพุทธเจ้าในอุดมคติ หรือพระโพธิสัตว์ก็ได้ แม้ไม่รู้ว่ามีจริงไหม แต่อย่างน้อยก็ทำให้ชีวิตเราเดินหน้าต่อไปได้”
รศ.ชาญณรงค์ บุญหนุน

ท้ายที่สุดแล้ว ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวงการสงฆ์ แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรกและคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย วิวัฒนาการทางพระพุทธศาสนาในไทย ยังต้องเดินหน้าต่อไปเฉกเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
“พุทธไทยยังอยู่ใต้อำนาจของรัฐ ตลอดเส้นทางประวัติศาสตร์เราจะเห็นมาตลอดว่าเวลาพระทำตัวไม่ดี ก็จะมีการจัดการ ชำระคณะสงฆ์ให้บริสุทธิ์ ในอนาคต ผมว่าอาจรัฐอาจเข้ามาควบคุมศาสนามากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องภายนอก เช่น การเงิน สมณศักดิ์ แต่โครงสร้างทางการศึกษายังคงเหมือนเดิม วันนี้พระทำให้ผู้คนผิดหวังเสียใจและสิ้นศรัทธา และเมื่อวันหนึ่งสังคมมองว่าพระหรือศาสนาไม่มีประโยชน์ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะใช้เสรีภาพในการปฏิเสธ ไม่แน่ว่าวันหนึ่ง ภิกษุณี อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสมสำหรับสังคมไทยก็เป็นได้”
รศ.ชาญณรงค์ ทิ้งท้าย
พระพุทธศาสนาอยู่ได้เพราะศรัทธา และศรัทธาจะมั่นคงได้ ก็ต้องอาศัยผู้คนที่ตั้งมั่นในธรรมเช่นกัน คนใกล้ชิดศาสนา จึงไม่ควรเป็นเพียงผู้รับใช้ แต่ควรต้องมีส่วนรักษา คอยปกป้อง ไม่ให้ศรัทธาถูกบิดเบือน และถลำลึกไปมากกว่านี้