โปร่งใสในผ้าเหลือง : เมื่อ ‘พระดี’ และ ‘ศรัทธา’ ถูกเรียกหาการตรวจสอบ

ท่ามกลางความเป็นไปของวิกฤตพุทธศาสนาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังคมกำลังหันกลับมาตั้งคำถามถึงการจัดการภายในวัดอีกครั้ง ทั้งเรื่องความหย่อนยานของพระธรรมวินัย การปกครองคณะสงฆ์ การจัดระเบียบวัด

โดยเฉพาะเรื่อง การบริหารจัดการเงินวัด ที่หลายฝ่ายมองว่านี่เป็นจุดอ่อนของพระและวัดที่ขาดองค์ความรู้ รวมทั้งการมีระบบที่ดี จนนำมาซึ่งโอกาสแห่งการทุจริตคอร์รัปชัน แต่ยังมีวัดอีกจำนวนไม่น้อยที่ดำเนินกิจการในวัดได้ดีและเป็นต้นแบบแห่งธรรมาภิบาลที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

The Active ชวนอ่านบทเรียนจาก 5 วัดต้นแบบ ทั้งวัดบ้าน วัดเมือง วัดหลวง วัดป่า ในบริบทที่ต่างกัน แต่ละแห่งเริ่มต้นอย่างไร ก้าวผ่านปัญหาอย่างไร จนนำมาสู่การเป็นวัดที่มีการจัดการที่ดี โดยเฉพาะด้านการเงิน จากการเข้าร่วม โครงการบริหารจัดการวัดตามหลักธรรมาภิบาล ที่กลายเป็น “ความรู้” และ “ระบบ” ต้นทุนสำคัญในการรักษา “พระดี” เอาไว้ได้ในสังคม

ศรัทธาจะงอกงาม ระบบต้องงอกเงย

ในวันที่ศาสนาและศรัทธายังคงแยกขาดออกจากกันไม่ได้ ศรัทธาจึงกลายเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่อำนวยให้คนฉกฉวยโอกาส นำไปสู่การทุจริต คอร์รัปชัน โดยเฉพาะในวัดที่ขาดระบบแบบแผนที่รัดกุมและโปร่งใส ฉะนั้นแล้ว ศรัทธาที่ดี จึงจำเป็นต้องคู่กับระบบการบริหารจัดการวัดและพระสงฆ์ที่ดีด้วย

พระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ อธิบายว่า เพื่อให้เกิดศรัทธาที่ดี หัวใจหลักหนึ่งคือ การกลับมาดูแลพระสงฆ์

นั่นคือ การสร้างปัจจัยต่าง ๆ ที่เอื้ออำนวยให้พระสงฆ์มีความเจริญงอกงาม โดยการเกิดความงอกงามภายในนั้น จำเป็นต้องมีปัจจัยภายนอกช่วยหล่อเลี้ยง นั่นคือ “พระธรรมวินัย” โดย “ธรรม” เปรียบเสมือนน้ำ ส่วน “วินัย” เปรียบเสมือนภาชนะ

“หากภาชนะดี ก็จะรักษาน้ำให้ยังอยู่ และยังเติมน้ำได้เรื่อย ๆ แต่หากไม่มีภาชนะที่ดี น้ำก็รั่วไหล หากขาดวินัย ขาดระเบียบในชีวิต ขาดระเบียบในสังคม สุดท้าย แทนที่ธรรมจะเจริญงอกงามก็รั่วไหลหมด”

การจะมีพระดีในคณะสงฆ์ได้นั้น ต้องมีระบบช่วย ทั้งกลั่นกรอง กล่อมเกลา ปัดกวาดพระไม่ดีออกไป สร้างให้เป็นระบบรักษาพระดี โดยเฉพาะระบบการเงิน

การเสวนา จากศรัทธาสู่ระบบ: ความสำคัญ ความเป็นไปได้ และพลังการมีส่วนร่วม
ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ

โปร่งใส ไม่เป็นหนี้ มีประโยชน์ – จัดการเงินวัดอย่างสมดุลผ่าน 4 กองทุน

วัดเหล่าอาภรณ์ จ.ยโสธร คือตัวอย่างหนึ่งของวัดที่สามารถสร้างระบบการจัดการบริหารภายในได้เป็นอย่างดี แม้จะเป็นวัดขนาดเล็กที่อยู่ร่วมกับชุมชนไม่ถึงร้อยหลังคาเรือน

พระมหาชุมพร ธัมมโฆสโก เจ้าอาวาส อธิบายว่า ด้วยความที่เป็นวัดขนาดเล็กและใกล้ชิดชุมชน การบริหารจัดการวัดจึงให้น้ำหนักในการร่วมกับชุมชนอย่างมาก ผ่าน 3 หลักการ คือ โปร่งใส ไม่เป็นหนี้ มีประโยชน์

1. โปร่งใส

พระมหาชุมพร เล่าว่า ทางวัดได้มีการร่างกติกาแนวปฏิบัติของวัด รวมถึงการเลือกเจ้าอาวาส แล้วแจกจ่ายให้ชาวบ้านทุกหลังคาเรือนพิจารณา เมื่อเกิดเป็นข้อตกลงที่ชุมชนเห็นชอบและมีการลงนามแล้ว ก็มีการดำเนินการตามระเบียบ

“การให้ชุมชนเลือกกันเอง เป็นเพราะวัดเป็นพื้นที่สำหรับทุกคน และหากใครต้องการเป็นผู้นำชุมชนก็สามารถใช้วัดแสดงบทบาท ทำให้เกิดสมดุลของการมีส่วนร่วมจากหลายฝ่าย นำมาสู่ความโปร่งใส”

ในเรื่องการจัดการการเงิน เจ้าอาวาสวัดเหล่าอาภรณ์ อธิบายว่า ด้วยความที่เป็นวัดเล็ก ๆ จึงเริ่มจากการจดบันทึกด้วยมือร่วมกับกรรมการวัด ซึ่งบันทึกนี้เปรียบเสมือนบันทึกทางประวัติศาสตร์ของวัด ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง นี่จึงเป็นความโปร่งใสในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน (ต่อมาพัฒนามใช้ระบบบัญชีที่ โครงการบริหารจัดการวัดตามหลักธรรมาภิบาล ออกให้)

จะเห็นว่าด้วยความเป็นวัดเล็กในชุมชน ในช่วงแรกระบบการจัดการเงินจึงเป็นไปอย่างเรียบง่าย และอำนาจทางการเงินผูกขาดกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ซึ่งมีทั้งข้อดี ข้อเสีย 

“ระบบวัดแบบบ้านนอก พระจะกุมอำนาจหมด ถ้าพระไม่เข้มแข็ง ชาวบ้าน (อบต., ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) จะเข้ากุมอำนาจแทน วัดบางแห่ง ขนาดพระจะซื้อน้ำยังต้องเบิกเงินจากผู้นำชุมชน

“อาตมาไม่ต้องการทั้ง 2 แบบ แต่ต้องการระบบที่สมดุล วัดไม่ควรรับผิดชอบเงินทั้งหมด แต่หากหมู่บ้านเป็นคนถือเงินไว้ทั้งหมดโดยพระไม่รับรู้เลยก็ไม่เหมาะสม”

2. ไม่เป็นหนี้

“อาตมาเชื่อว่า ถ้าวัดเป็นหนี้เสียเอง แล้วจะสอนธรรมะได้อย่างไร” พระมหาชุมพร อธิบายถึงจุดยืนว่า หากจำเป็นต้องเป็นหนี้จริง ๆ จะไม่ยอมให้เกิน 2 วัน เพราะถือว่าเป็นหลักปฏิบัติหนึ่งที่ต้องทำอย่างเข้มแข็ง

 3. มีประโยชน์

วัดเหล่าอาภรณ์ มีการบริหารเงินโดยจัดตั้ง 4 กองทุน ได้แก่ 1. กองทุนทำงานศาสนา 2. กองทุนการศึกษา (เน้นมากที่สุด) 3. กองทุนค่ารักษาพยาบาล (สำหรับญาติโยมในชุมชนที่เจ็บป่วย) 4. กองทุนงานศพ (จัดงานศพให้ชาวบ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่าย) โดยมีเงินสำรองกองทุนละ 10,000 บาท ยกเว้นกองทุนการศึกษาที่สำรองไว้ประมาณ 2 แสนบาท และในช่วงไหนที่กองทุนไหนมีเงินเต็มแล้ว เราจะปิดรับบริจาคไปก่อน

พระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุขโต จ.ชัยภูมิ (ซ้าย)
พระมหาชุมพร ธัมมโฆสโก วัดเหล่าอาภรณ์ จ.ยโสธร (ขวา)

“เราอยากให้เงินทำบุญของชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์สูงสุด เลยเน้นเอาเงินมาคืนให้กับชุมชน การบริหารเงินผ่าน 4 กองทุนนี้ เป็นสังฆทาน (สังฆะ แปลว่า ส่วนรวม, ทาน แปลว่าเสียสละ) ไม่ใช่แค่วัดให้สวัสดิการชุมชน แต่ชุมชนก็ดูแลเกื้อกูลวัดร่วมกันด้วย”

หากถามถึงข้อจำกัด ในการบริหารจัดการเงินในวัดขนาดเล็ก พระมหาชุมพร บอกว่า เงื่อนไขที่สำคัญที่สุด คือ การทำความเข้าใจกับชาวบ้าน โดยเฉพาะผู้นำชุมชน และคนรุ่นใหม่

“เราต้องอธิบายให้พวกเขาเข้าใจว่ารูปแบบนี้ดีอย่างไร ทำไมเราจึงไม่ทำแบบที่เคยทำมา หากสื่อสารอย่างดีแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ก็สามารถเกิดขึ้นได้”

“เวลามีคนมาบริจาคเงินจำนวนมาก ๆ เราจะถามก่อนว่าเขามีความคาดหวังให้เราต้องสร้างอะไรที่มันใหญ่โตหรือไม่ หากจะบริจาก ญาติโยมก็ต้องยึดตามนโยบายของวัดเป็นสำคัญ เพราะเราไม่ต้องการให้วัดนี้รวย ความร่ำรวยนำมาซึ่งผลประโยชน์ ” พระมหาชุมพร อธิบาย

ปัจจุบัน วัดเหล่าอาภรณ์ใช้หลัก “เบิกเท่าที่ใช้” เพื่อป้องกันไม่ให้มีเงินสดค้างในมือพระรูปใดรูปหนึ่ง โดยเฉพาะกองทุนงานศพที่เบิกเฉพาะเมื่อเกิดเหตุจริง การเบิกจ่ายทุกครั้งมีคณะกรรมการร่วมจำนวน 5 คน (ที่ได้จากการคัดเลือกในชุมชน) ร่วมลงนาม และมีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีทุกสัปดาห์ แต่ผู้จ่ายเงินจริงยังคงเป็นเจ้าอาวาส เพื่อความประหยัดและลดภาระขั้นตอน

แม้ระบบนี้ช่วยให้เกิดความโปร่งใส เพราะชาวบ้านและกรรมการวัดมีส่วนรับรู้การใช้เงิน แต่ข้อจำกัดสำคัญคือ วัดบ้านนอกไม่มีคนทำงานเอกสาร ทำให้การจัดการทางบัญชีเป็นภาระเพิ่มเติม พระมหาชุมพรจึงเห็นว่า หากต้องการขยายโครงการสู่พื้นที่อื่น ต้องคำนึงถึงท่าทีของผู้เข้าไปติดต่อ และไม่เพิ่มภาระงานให้วัดมากเกินไป และระบบปัจจุบันยังพึ่งพาตัวเจ้าอาวาสเป็นหลัก หากวันหนึ่งไม่สามารถทำหน้าที่ได้ อาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของระบบบัญชีในวัด

พลิกวัดจากวิกฤต: เสียงสงบจากวัดวังตะวันตก

“พวกเราเจอปัญหาหนักมาก นี่เป็นจุดเริ่มต้นปี 60 ที่เขย่าขวัญ มีเณรถูกฆ่าตายและฝังไว้หลังวัด ตอนนั้น การเงินล้มเหลว ติดหนี้ เจอวิกฤต”

พระครูพรหมเขตคณารักษ์ หรือ พระชัยสิทธิ์ โชติปัญโญ วัดวังตะวันตก จ.นครศรีธรรมราช เล่าถึงวิกฤตในอดีต ที่ในเวลานั้นวัดวังตะวันตกไม่ได้เผชิญเพียงข่าวร้ายที่สั่นสะเทือน แต่ยังต้องเผชิญกับปัญหาการบริหารจัดการและความศรัทธาที่สั่นคลอน

จากการพูดคุยของพระสงฆ์และกรรมการวัดทำให้เห็นชัดว่า ปัญหาหนักที่สุดของวัดตอนนั้น คือเรื่องเงิน  เพราะที่ผ่านมา วัดไม่มีระบบบัญชีที่ชัดเจน ไม่มีการตรวจสอบ หรือแผนการบริหารจัดการที่ต่อเนื่อง

ต่อมา เมื่อวัดวังตะวันตกเข้าร่วม “โครงการบริหารจัดการวัดตามหลักธรรมาภิบาล” การจัดการระบบจึงเริ่มเกิดขึ้น

“เมื่อเข้าระบบนี้ เราตั้งโจทย์เลยว่าจะไม่ให้ใครแตะต้องเงินสด ต้องผ่านธนาคาร โอนจ่ายเท่านั้น เมื่อคนแตะต้องเงินไม่ได้ ก็ปิดโอกาสในการทุจริต” 

ภายใต้หลักการนี้ วัดเริ่มตั้งทีมบริหารใหม่ มีการแบ่งหน้าที่ชัดเจน โดยพระสงฆ์ดูแลการตัดสินใจเชิงธรรมาภิบาล ไวยาวัจกรรับผิดชอบการเงิน ส่วนกรรมการวัด และญาติโยมถือเป็นหุ้นส่วนร่วมตรวจสอบ

พระครูพรหมเขตคณารักษ์ ย้ำว่า หัวใจของความโปร่งใส คือ การร่วมคิด ร่วมทำ ระหว่างพระสงฆ์ ญาติโยม และกรรมการวัด และทำให้เกิดจิตอาสากลุ่มใหม่ ๆ ในชุมชน มีอาสาสมัครมาช่วยสอนการกรอกบัญชีออนไลน์ให้เจ้าหน้าที่วัดที่ไม่เคยแตะคอมพิวเตอร์มาก่อน

แม้ระบบใหม่นี้จะทำให้วัดต้องกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน ทั้งในของโครงการฯ และระบบลงบัญชีของสำนักพุทธฯ แต่ท่านก็เห็นว่านั่นคือ “ขั้นของการเรียนรู้” ที่ต้องปรับให้ดีขึ้นในอนาคต

วันนี้ วัดวังตะวันตกฯ มีบัญชีวัดเหลือเพียง 9 บัญชี จากเดิม 63 บัญชี เงินทุกบาททุกสตางค์เข้าออกอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ เน้นใช้เพื่อซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างและสนับสนุนการศึกษาของพระเณรในวัดเป็นหลัก

“วัดอื่นก็ทำได้ ถ้ามีใจร่วมกัน เราแค่ต้องกล้าเปลี่ยนสิ่งเดิม แล้วเพิ่มสิ่งใหม่” พระครูพรหมเขตคณารักษ์ ย้ำ พร้อมอธิบายว่า การปรับเปลี่ยนระบบการบริหารจัดการวัดใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้นเมื่อต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงจะรู้สึกว่าเป็นภาระ

แต่สำหรับวัดวังตะวันตกแล้ว การตัดสินใจกล้าเปลี่ยนจากความไร้ระบบ มามีระบบจัดการที่ดี โปร่งใส่ มีมาตรฐาน นอกจากเป็นการให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลแล้ว ยังเป็นคุณค่าและ

ความหมายของการดำรงอยู่ของวัดด้วย
พระครูพรหมเขตคณารักษ์ ยังเปรียบด้วยว่า ระบบที่ดีว่า ต้องอาศัย ดาว 4 ประเภท คือ

  1. ดาวค้างฟ้า หมายถึง ผู้มีบารมีหรือผู้นำที่มาช่วยสนับสนุน
  2. ดาวจรัสแสง หมายถึง ผู้มีอุดมการณ์และพลังที่จะร่วมขับเคลื่อนงานไปด้วยกัน
  3. ดาวรุ่ง หมายถึง วัดรุ่นใหม่ หรือวัดต่อไปที่จะเติบโตจากแบบอย่างนี้
  4. ดาวกระจาย หมายถึง การขยายแนวทางธรรมาภิบาลวัดนี้ ให้แพร่หลายไปทั่วประเทศ

การหาดาวทั้ง 4 ประเภทนี้ให้เจอ จะทำให้การพัฒนาคน งาน และระบบการเงินเกิดความสมดุล แล้ววัดจะสามารถเรียกคืนศรัทธาและความเชื่อมั่นกลับมาได้อีกครั้ง

ศรัทธาต้องตรวจสอบได้ การจัดการเงินวัดขนาดใหญ่ : บทเรียนจากวัดศรีโสดา จังหวัดเชียงใหม่

วัดศรีโสดาเป็นวัดใหญ่ที่ตั้งอยู่เชิงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ มีพระและสามเณรกว่า 220 รูปจำพรรษาอยู่ภายในวัด และเป็นศูนย์รวมกิจกรรมทางศาสนา การศึกษา และการอุปถัมภ์สาธารณะของชุมชนโดยรอบ

ภายใต้โครงสร้างขนาดใหญ่และภารกิจหลากหลาย พระมหาสมพงษ์ สมวังโส ทำหน้าที่อยู่ใน กองงานเลขานุการ ซึ่งเป็นหัวใจของระบบบริหารวัด

“อาตมาอยู่ในส่วนของกองงานเลขานุการ กองนี้จะมีการสับเปลี่ยนเป็นประจำ ไม่มีพระรูปใดรับผิดชอบอยู่ยาว ทุกอย่างหมุนเวียนตามวาระ”  พระมหาสมพงษ์อธิบาย 

งานในวัดจะถูกแบ่งตามความรับผิดชอบของแต่ฝ่าย เช่น ด้านการเงิน ทรัพย์สิน หรือการบริหารงานทั่วไป โดยสุดท้ายแล้ว ทุกเรื่องต้องผ่านการกลั่นกรองจาก กองงานเลขานุการ

หากถามถึงข้อจำกัด พบว่า เนื่องจากเป็นวัดขนาดใหญ่ ระบบการบริหารภายในวัดจึงมีความซับซ้อน โดยเฉพาะด้านการเงิน ที่ต้องจัดทำรายงานประจำเดือนและรายงานประจำปีอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนผู้ดูแล ก็จะมีการส่งมอบงานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ข้อมูลไม่ขาดตอน และวัดยังมีการตรวจสอบบัญชีโดยบุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงิน มาช่วยตรวจความถูกต้องของการบันทึกบัญชีทุกปี

เมื่อถามถึงการปรับตัว หลังจากเข้าร่วมโครงการบริหารจัดการวัดตามหลักธรรมาภิบาล พระมหาสมพงษ์บอกว่า วัดศรีโสดามีระบบพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องเพิ่มเติมคือ “บัญชีทรัพย์สินของวัด”

“เรามีระบบบัญชีรายรับรายจ่ายอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องปรับคือ บัญชีทรัพย์สิน เพราะที่ผ่านมาไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นระบบ

ก่อนเงินจะออกจากบัญชี ต้องมีการอนุมัติ ต้องรู้ก่อนว่าจะใช้เงินไปทำอะไร เงินมาจากไหน และต้องใช้ให้ตรงตามกองทุนที่กำหนดไว้” พระมหาสมพงษ์ สมวังโส ย้ำว่าศรัทธาจำเป็นต้องตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในวัดที่มีขนาดใหญ่ และความโปร่งใสไม่ใช่เพียงเรื่องของศีลธรรม แต่คือ “ระเบียบ” ที่ทำให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่าทุกบาท ทุกสตางค์ เดินทางไปสู่จุดที่ตั้งใจจริง ๆ

จากเงินศูนย์ สู่ ศรัทธา เรียกความเชื่อมั่นให้ญาติโยมด้วยระบบที่ดี : วัดจากแดง สมุทรปราการ

“แรกเริ่ม วัดเราเปิดบัญชีด้วยเงินเพียงสองหมื่นบาท ซื้อโต๊ะเก้าอี้สำหรับเรียนให้พระสงฆ์ก็หมดแล้ว”  พระราชวัชรบัณฑิต (ประนอม ธัมมาลังกาโร) วัดจากแดง สมุทรปราการ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของวัด ที่เริ่มมาจากศูนย์อย่างแท้จริง

หากย้อนไปถึงตอนนั้น วัดจากแดงมีพระและสามเณรเพียงสิบกว่ารูป ไม่มีแม้แต่เงินค่าน้ำค่าไฟ  แต่สิ่งแรกที่ท่านเลือกพัฒนาวัดไม่ใช่สิ่งก่อสร้างหรือบัญชี แต่ “ศรัทธา”

“เราคิดว่าสิ่งแรกที่ต้องสร้างคือศรัทธา หากคนมีศรัทธา เงินก็จะมาเอง”

พระประนอมเล่าว่า ในช่วงแรก วัดพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ชุมชนเกิดศรัทธาต่อวัด ไม่ว่าจะเป็นการสอนหนังสือ ออกเทศน์ เขียนบทความ ทำวารสาร และจัดรายการวิทยุชุมชน 

ทุกเดือน หนังสือธรรมะกว่า 500 ชุด จะถูกพระนำไปแจกจ่ายญาติโยมระหว่างออกบิณฑบาตในยามเช้า ก่อนจะออกไปบรรยายธรรมที่โรงงาน ธนาคาร โรงเรียน และโรงพยาบาลโดยรอบ เพื่อใช้ธรรมะเป็นสะพานสร้างศรัทธา

พระราชวัชรบัณฑิต (ประนอม ธัมมาลังกาโร) วัดจากแดง จ. สมุทรปราการ (ซ้าย)
พระครูพรหมเขตคณารักษ์ (พระชัยสิทธิ์ โชติปัญโญ) วัดวังตะวันตก จ.นครศรีธรรมราช (กลาง)
พระมหาสมพงษ์ สมวังโส วัดศรีโสดา จ.เชียงใหม่ (ขวา)

จากการเดินสายเทศน์และสื่อสารอย่างต่อเนื่องนั้นเอง ทำให้ชาวบ้านเริ่มเห็นคุณค่า “ศรัทธาเริ่มเกิดขึ้น” และวัดก็เริ่มมีผู้คนเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้น

จากนั้น วัดจึงเริ่มเปิดบัญชีอย่างเป็นทางการ โดยแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ได้แก่ การศึกษา ภัตตาหาร ค่าน้ำไฟ ค่ารักษาพระอาพาธ และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ

ท่านเล่าว่าช่วงแรกต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง เนื่องจากไม่รู้จักญาติโยมที่ไหนจะนำมาเป็นกรรมการวัดได้ จึงต้องหาเงินเอง เซ็นชื่อเอง จ่ายเงินเอง

แต่เมื่อวัดเริ่มเติบโต จากวัดเล็ก ๆ ที่มีพระสงฆ์เพียงจาก 12 รูป ก็เพิ่มเป็นเกือบ 90 รูป ระบบภายในของวัดจึงเริ่มพัฒนาไปพร้อมกับผู้คน

วัดจากแดงเริ่มทำโครงการฝึกอบรมผู้ต้องขังและเยาวชนติดยาเสพติด และส่งเสริมให้มีการศึกษาให้แก่พระภายในวัดมากขึ้น โดยเฉพาะการสวดปาฏิโมกข์และการเทศนา

“เมื่อก่อน ทั้งวัดมีพระที่สวดปาฏิโมกข์ได้รูปเดียว เราเลยจัดสอบขึ้น จนตอนนี้มีพระสวดได้แล้ว 20 รูป และพระเทศน์ได้เกือบทุกรูปแล้ว”

การสร้าง “คน” กลายเป็นพื้นฐานของการสร้าง “ระบบ” แต่ในเวลานั้น วัดยังไม่มีหลักเกณฑ์หรือกฎระเบียบใด ๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งได้เข้าร่วม โครงการบริหารจัดการวัดตามหลักธรรมาภิบาล

“เขามาถามเราว่า มีอันนี้หรือยัง มีอันนั้นหรือยัง เช่น กฎระเบียบการเข้าอยู่ การฌาปนกิจ หรือการจัดการเงิน ฯลฯ คำตอบของเรา คือ ยังไม่มี” 

จากจุดนั้น ทีมจากสำนักงานพระพุทธศาสนา ก็ได้เข้ามาช่วยวางระบบทุกขั้นตอน ตั้งแต่กฎระเบียบการรับพระ การจัดการบัญชี ไปจนถึงกระบวนการอนุมัติและตรวจสอบเงิน

“เมื่อก่อนอาตมาเซ็นจ่ายคนเดียว แต่ตอนนี้มีผู้อนุมัติ มีผู้รับรอง เป็นระบบ ทำให้การเงินเป็นรูปร่างขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนมาก” พระประนอม อธิบาย

จากวันที่วัดมีเพียงเงินสองหมื่นบาท และโต๊ะเก้าอี้ชุดแรก วันนี้ วัดจากแดงมีทั้งระบบบัญชีที่โปร่งใส การบริหารแบบมีส่วนร่วม และบุคลากรที่เติบโตจากการฝึกฝนภายใน

“เมื่อก่อนเราต้องหาเงินเอง ใช้เอง สั่งเอง และเจอความเสี่ยงเอง เพราะไม่มีระบบที่ดี แต่ตอนนี้เราสร้างคน ฝึกฝน แล้วแบ่งหน้าที่กันได้แล้ว วัดก็เลยกลายเป็นรูปเป็นร่าง”

พระประนอม ยังย้ำว่า การมีระบบบริหารจัดการที่ดี คือ หัวใจของความมั่นคงของวัด เพราะคือการสร้างความโปร่งใสต่อศรัทธาของญาติโยม หากคนรู้สึกไว้ใจ ศรัทธา เชื่อมั่น ในวัดและพระสงฆ์แล้ว ผู้คนก็พร้อมถวายปัจจัยมากขึ้น

วันนี้ วัดจากแดงสามารถระดมทุนกว่า 80 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารเรียนพระไตรปิฎกได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องรางของขลัง แต่ใช้ความโปร่งใสเป็นฐานแห่งความศรัทธาและเชื่อมั่น 

ท่านย้ำว่า “ระบบที่ดี” คือกองหนุนของศรัทธา ที่จะทำให้วัดยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในยุคที่ผู้คนห่างวัด

โปร่งใสในผ้าเหลือง เริ่มด้วยการปรับทัศนคติ : วัดป่าสุขโต จ.ชัยภูมิ

“สมัยอาตมาอยู่วัดนี้ใหม่ ๆ กันดารมาก พระก็มีน้อย ช่วง 4-5 พรรษาแรก ตอนนั้นวัดมีเงินแค่หลักพัน-หลักหมื่น อาตมารับหน้าที่จ่ายเงิน ทำบัญชี ดูแลเงินวัดเอง” พระไพศาล วิสาโล เล่าย้อนไปถึงถึงระบบการเงินของป่าสุขโต จ.ชัยภูมิ ในช่วงแรกที่เป็นไปอย่างเรียบง่าย

เวลาผ่านไปกว่า 30 ปี พระในวัดเพิ่มขึ้น กิจกรรมด้านปฏิบัติธรรมและการอบรมขยายตัว จนต้องสร้างเสนาสนะและกุฏิเพิ่มขึ้นตามลำดับ ศรัทธาจากญาติโยมหลั่งไหลมา เงินบริจาคเริ่มมีจำนวนมาก กลายเป็นฃจุดเริ่มต้นของคำถามเรื่อง “ระบบ”

“ตอนนั้น เรามีการแบ่งการใช้เงินเป็นแผนกต่าง ๆ อยู่แล้ว เช่น แผนกครัว แผนกก่อสร้าง แผนกวัสดุอุปกรณ์ แต่จุดอ่อนคือ คนถือเงิน คนจ่าย และคนอนุมัติ เป็นคนเดียวกัน ซึ่งเป็นความเสี่ยง”

ท่านเล่าว่า ปัญหาไม่ใช่การทุจริต แต่คือ “โอกาสที่จะพลาด” เพราะไม่สามารถตรวจสอบกันเองได้

จนกระทั่งมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล เข้ามาช่วยวางระบบบัญชีและการเงิน วัดป่าสุคะโตจึงเริ่มใช้หลัก 3 ประการในการบริหารการเงิน ได้แก่

  1. รัดกุม เพื่อไม่ให้เงินรั่วไหล
  2. ตรวจสอบได้ เพื่อช่วยลดการใช้เงินอย่างไม่ระมัดระวัง
  3. สะดวก เพราะหากมีเอกสารเยอะเกินไป ก็จะกลายเป็นระบบที่ช้าและไม่ทันการ 

ด้วยระบบนี้ วัดสามารถตรวจสอบรายจ่ายได้อย่างเป็นระบบ และใช้ข้อมูลจากโปรแกรมบัญชีเพื่อวางแผนทางการเงินในระยะยาว

แต่สิ่งที่ท่านเห็นว่ายากที่สุด ไม่ใช่การทำบัญชีให้ถูกต้อง หากคือการเปลี่ยน ทัศนคติของคนในวัด

“ทักษะและเทคโนโลยีจำเป็นก็จริง แต่คือทัศนคติสำคัญที่สุด เพราะเมื่อมีระบบการจ่ายเงินเข้ามา จากที่เคยใช้เงินสะดวก ก็กลายเป็นไม่สะดวก คนจ่ายเงินก็ไม่ชอบ โดยเฉพาะคนที่เคยมีอำนาจทางการเงินมาก่อน”

ท่านอธิบายต่อไปอีกว่า นี่ไม่ใช่การแสดงถึงความไม่ไว้ใจ แต่คือการวางระบบที่ถูกต้องในระยะยาว

“แม้วันนี้เราจะเป็นคนดี แต่เมื่อมีโอกาส คนดีก็อาจทำตามใจกิเลสได้ พระดีเสียคน ไม่ใช่เพราะกิเลสอย่างเดียว แต่เพราะโอกาส”

สำหรับพระไพศาลแล้ว “การปิดโอกาสให้ทำตามใจกิเลส” ไม่ใช่การระแวง แต่คือการสร้างหลักค้ำจุนให้คนดีคงอยู่ได้

“เราต้องอธิบายให้เข้าใจว่า ระบบเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อผู้รับหน้าที่คนต่อ ๆ ไป มันเหมือนพระธรรมวินัย ที่แม้ดูเหมือนข้อจำกัด แต่แท้จริงคือเครื่องคุ้มครองใจ” พระไพศาล วิสาโล ทิ้งท้าย

มากกว่าการบริจาค คือการ “สร้าง” และ “รักษา” พระดี

พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต มองว่า ตอนนี้การช่วยเหลือพระสงฆ์หรือวัดเพื่อทำนุบำรุงศาสนา สังคมมักมุ่งไปที่ “เงิน” เท่านั้น จึงแห่แหนกับบริจาค แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่พระต้องการตอนนี้ คือ การช่วยเหลือด้าน “ความรู้สติปัญญา”

พระไพศาลเห็นว่า โครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการวัด เป็น “คุณูปการที่แท้จริง” เพราะไม่ได้ให้เงิน แต่ให้ “ความรู้และระบบ” ที่ช่วยเกื้อกูลพระสงฆ์ในระยะยาว ที่มากไปกว่าการเป็นเพียงสนับสนุนกิจกรรมทางวัด แต่ยังเป็นการสร้างต้นทุนที่ช่วยทำให้เรารักษา “พระดี” เอาไว้ได้ 

แล้วญาติโยม จะช่วยเหลือพระสงฆ์ได้อย่างไร ? ท่านอธิบายว่าสามารถทำได้ 3 ทาง ได้แก่ 1. สร้างพระดี 2. ส่งเสริมพระดี 3. รักษาพระดี

“ทุกวันนี้ เรามักเน้นที่การ ส่งเสริมพระดี คือ ช่วยบริจาคเงินทองเมื่อพระอยากทำกิจใด ๆ  แต่กลับไม่ค่อยช่วย สร้าง หรือ รักษาพระดี เอาไว้เลย”

พระไพศาล ย้ำว่า การช่วยเหลือพระด้วยเงินเพียงอย่างเดียว แม้มีประโยชน์ แต่ไม่อาจรักษาความดีของพระได้ในระยะยาว หากระบบภายในคณะสงฆ์ยังขาดกลไกที่กลั่นกรอง กล่อมเกลา และเก็บกวาด

การรักษาพระดี คือการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อความบริสุทธิ์ทางใจของพระ ทั้งระบบการศึกษา การปกครอง และการจัดการภายในวัด ซึ่งในปัจจุบันแทบไม่มีอยู่อีกแล้ว

“ตอนนี้ ระบบแทบรักษาพระดีไว้ไม่ได้เลย พระดีกำลังหายไปเรื่อย ๆ พวกท่านไม่ได้ตาย แต่พ่ายต่อกิเลส เพราะเกิดโอกาส

“พระหลายรูปที่เป็นข่าว คนบอกว่าท่านเคยเป็นพระดี แต่ทำไมเปลี่ยนไป นั่นเพราะระบบรักษาความดีของพระไม่ทำงาน”

อย่างไรก็ตาม พระไพศาลจึงมองว่า “ระบบ” ที่กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ ไม่ได้มีความหมายเฉพาะเรื่องบัญชีหรือเงินทอง แต่คือโครงสร้างใหม่ที่จะช่วยให้คณะสงฆ์กลับมามั่นคงในความดีงามอีกครั้ง

“นี่คือการบ้านของฆราวาส ว่าจะช่วยกันอย่างไรให้เกิดระบบที่รักษาพระดีไว้ได้ต่อไป” พระไพศาล ทิ้งท้าย

บทเรียนการจัด “ระบบ” ของ 5 วัดที่ผ่านมายังมีรายละเอียดอีกมากที่หลายวัดสามารถเรียนรู้และนำไปเป็นแนวทางในการจัดการวัดของตนตามบริบท แต่ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า ศรัทธา เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับพุทธศาสนามาโดยตลอด และการจะรักษาศรัทธาของญาติโยมได้นั้น จำเป็นต้องทำให้ศรัทธาตรวจสอบได้ โดยมีระบบและการจัดการที่ดี โปร่งใส ในขณะเดียวกัน เมื่อเกิดระบบ ศรัทธาก็จะเพิ่มพูนขึ้นไปอีก และยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบและสังคมที่ช่วยรักษา “พระดี” เอาไว้ด้วย


  • เนื้อหาทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของงานเสวนา จากศรัทธาสู่ระบบ: ความสำคัญ ความเป็นไปได้ และพลังการมีส่วนร่วม หัวข้อ “บทเรียนและความก้าวหน้า” โครงการบริหารจัดการวัดตามหลักธรรมาภิบาล ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ วันที่ 3 ต.ค. 68

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง


Author

Alternative Text
AUTHOR

ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์

เธอไม่ต้องฆ่าฉันด้วยปืนหรอก แค่เธอบอกว่าไม่รัก สักพักฉันก็ตาย