‘พระ’ รวย…บุญญาบารมี ไม่ใช่เงินตรา! สังคายนา ‘ธรรมาภิบาลวัด’ ตัดวงจรโกง

เหตุการณ์อื้อฉาวในวงการสงฆ์ไทยหลายเรื่อง เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนและต่อเนื่องมาตลอดทั้งปีนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่า สร้างความสะเทือนใจในหมู่ชาวพุทธ จนกระทั่งเกิดการตั้งคำถามตามมาว่า พระมีไว้ทำไม ?

เพื่อไม่ให้สถานการณ์ไปจนถึงจุดนั้น The Active ชวนเปิดมุมมองทางธรรม ผ่านธรรมะปฏิสันถารจาก พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จังหวัดชัยภูมิ ว่าแท้จริงแล้วปัจจัยใด ที่ทำให้วิกฤตทางพุทธศาสนาเกิดขึ้นเช่นนี้ หรือแท้จริงแล้วเป็นเพียงความหวั่นไหวต่อ อำนาจเงินตรา และความหย่อนยานของ พระธรรมวินัย จนต้องพ่ายแพ้ต่อ กิเลส

พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ

กระจกส่องใจ : จงวางใจเมื่อถูกวิจารณ์

เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ว่า พระ หรือ ฆราวาสจะรู้สึกโกรธหรือขุ่นเคืองใจเมื่อ สถาบันสงฆ์ หรือ พระพุทธศาสนาที่ตนเองนับถือ กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้แล้ว เราควรหันกลับมาตั้งคำถามว่า

“เพราะตัวตนของเรา ถูกกระแทกหรือเปล่า ?”

พระไพศาล ย้ำว่า หากตัวตน หรือ ตัวกูของกูถูกกระทบกระแทก แล้วโกรธ นั่นเป็นปัญหาของเราเอง ไม่ใช่ของคนอื่น ต้องจัดการให้ถูก ยิ่งผู้ที่เป็นพระ เป็นที่เคารพของผู้คน เมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือถูกคาดหวังมากมาย สิ่งแรกที่ต้องทำไม่ใช่การโต้ตอบหรือพยายามอธิบาย แต่คือการหันกลับมาดูใจของตนเองก่อน

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) ในสมัยท่านเป็นพระหนุ่ม ได้ออกเดินบิณฑบาตตามปกติ ท่านเห็นหญิงคนหนึ่งยืนกับลูกชายอายุประมาณ 5 ขวบ กำลังยืนรอใส่บาตร พอท่านเดินเข้าไปใกล้ เด็กชายคนนั้นก็พูดกับท่านว่า

 “มึงบ่แม่นพระดอก”

หลวงพ่อเล่าว่า ตอนแรกที่ได้ยินก็ฉุน แต่สักพักก็มีสติรู้ตัว แล้วนึกขึ้นมาในใจว่า

“จริงของมันหวะ เราไม่ใช่พระ เพราะถ้าเราเป็นพระ เราต้องไม่โกรธ”

จากนั้นท่านก็เดินไปรับบาตรด้วยสีหน้า และจิตใจที่ปกติ ไม่ได้โกรธแม่เด็กที่ปล่อยให้ลูกพูดแบบนั้น และไม่ได้ฉุนเด็กชายคนนั้นอีกแล้ว

ภายหลังเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ท่านบอกว่า เด็กคนนั้นเป็นอาจารย์ของท่าน เมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา ต้องใช้มันให้เป็นประโยชน์นี่แหละคือการวางใจที่ถูกต้อง การรู้จักวางใจเช่นนี้ ไม่ได้หมายถึงพระเท่านั้น แต่รวมถึงชาวพุทธทั้งหลายด้วย

หากเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อสิ่งที่เรานับถือ หรือ เสียงตำหนิที่พุ่งตรงมาที่ตัวเรา ขอให้กลับมาดูใจตัวเอง ปรับใจให้ถูก เพราะหากรู้จักวางใจไว้ดี ไม่ว่าเสียงแบบใดก็จะไม่สามารถทำให้ใจเราเกิดความขุ่นข้องหมองใจได้

ในทางกลับกัน เสียงนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจว่า เรายังต้องฝึกอีกมาก เพราะหากยังโกรธ แปลว่าใจเรายังไม่มั่นคงมากพอ

มีอีกเรื่องเล่าในสมัยพุทธกาล…ครั้งหนึ่ง ระหว่างทางที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปพระเชตวันมหาวิหาร เพื่อไปประทับจำพรรษาและแสดงธรรมแก่ภิกษุและคฤหัสถ์ทั้งหลาย

มีนักบวชนอกศาสนาคอยเดินตามพระพุทธเจ้าแล้วตำหนิ ด่าทอ กล่าวหาว่าร้ายเสีย ๆ หาย ไปตลอดทาง ในครั้งนั้น ภิกษุบางรูปรู้สึกไม่พอใจ พระพุทธเจ้าจึงได้ตักเตือนไปว่า 

“เมื่อได้ยินใครกล่าวตำหนินินทาเรา (พระพุทธเจ้า) ตำหนิพระธรรม หรือ ตำหนิพระสงฆ์อย่าได้อาฆาต ขุ่นเคือง หรือ ไม่พอใจต่อบุคคลเหล่านั้นเลย เพราะถ้าใจเรามีความอาฆาตขุ่นเคือง โทษจะเกิดขึ้นกับเราเอง ถ้ายังมัวแต่โกรธ อาฆาตคนที่ตำหนิว่าร้ายเรานั้นไม่มีประโยชน์ แต่ควรพิจารณาว่า สิ่งที่เขาพูดนั้นจริงหรือไม่ ถ้าจริงก็ยอมรับ ถ้าไม่จริงก็ชี้แจงให้เข้าใจ”

ฉะนั้น ไม่ว่า พระ หรือ คฤหัสถ์เมื่อเจอคำตำหนิว่าร้ายควรรักษาใจให้ปกติ แล้วคิดทบทวนว่า สิ่งที่เขาว่านั้นจริงไหม หากไม่จริงก็ชี้แจงไป ว่าสิ่งใดไม่มีในเรา อย่ามัวแต่ปล่อยให้จิตใจขุ่นเคือง

สรุปให้ง่าย คือเราต้องทำ 2 อย่าง คือ ทำจิต และ ทำกิจ

  • ทำจิต คือรักษาใจให้ปกติ ไม่อาฆาต ไม่ขุ่นเคือง
  • ทำกิจ คือการชี้แจงด้วยเหตุผล

เฉกเช่นเดียวกับสถานการณ์ของคณะสงฆ์ที่ปรากฏในข่าวบ่อย ๆ ตอนนี้ เราต้องยอมรับว่ามีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย ควรเอามาทำหน้าที่เป็น กระจกกส่องใจ ว่าเป็นเช่นนี้เพราะอะไรต่างหาก

การศึกษาคณะสงฆ์ : จุดบกพร่องที่สะสมมานาน

สถาบันสงฆ์ไทยถูกตั้งคำถามอย่างรุนแรงมายาวนาน แต่สังคมยังปล่อยปละละเลย บางครั้งเลือกโทษศาสนาอื่นว่าอยู่เบื้องหลังข่าวคราวอื้อฉาว ทั้งที่แท้จริงแล้ว การพิจารณาหาต้นเหตุแห่งปัญหา (สมุทัย) ต่างหากคือสิ่งจำเป็น

ปัญหาที่พระผู้ใหญ่ผู้ทรงสมณศักดิ์จำนวนหนึ่งทำผิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง และยังละเมิดกฎหมาย ไม่ใช่เพียงความบกพร่องเชิงบุคคล แต่ตลอด 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ เหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นได้ชัดว่ามากจากปัญหาเชิงโครงสร้าง

พระสงฆ์จำนวนมาก แม้จะสอบได้เปรียญธรรม หรือจบประโยคสูง ๆ แต่กลับขาดรากฐานแท้จริงของ ไตรสิกขา (ศีล – สมาธิ – ปัญญา) จึงไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันภายในต่อแรงยั่วยวนของโลกได้

เมื่อไม่สามารถเข้าถึงความสุขภายใน พระจึงอ่อนไหวต่อสิ่งล่อใจ ลาภ ยศ สรรเสริญ เงินทอง ความสุขทางกามารมณ์ ปัญหาการศึกษาคณะสงฆ์จึงไม่ใช่เรื่องตำราหรือระดับเปรียญเท่านั้น แต่คือความล้มเหลวเชิงคุณภาพของการฝึกฝน

นอกจากเรื่องการศึกษาที่ทำให้พระสงฆ์จำนวนมาก ขาดภูมิต้านทานต่อสิ่งยั่วยุ ทั้งวัตถุนิยม และทุนนิยมแล้ว อีกปัญหาหนึ่งที่พ่วงตามมา คือการที่วัดไม่รู้เท่าทัน

เมื่อพระสงฆ์ไม่เคยกลับบ้านมือเปล่า ?

พระไพศาล ยังอธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้น โดยระบุว่า เงินเข้ามามีบทบาทกับสังคมไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 และอิทธิพลต่อพระสงฆ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ในอดีต วัดในอาณาจักรสยามอยู่ได้ด้วยปัจจัย 4 จากญาติโยมเป็นหลัก มีเงินเข้ามามีบทบาทน้อยมาก

มีแต่เพียง วัดหลวง หรือ วัดในกรุงเทพฯ เท่านั้นที่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง หรือแม้แต่ นิตยภัต (ค่าอาหารที่พระมหากษัตริย์ถวายแก่พระภิกษุสามเณร) ก็มีเพียงวัดหลวงและวัดในกรุงเทพฯ ไม่กี่วัดเท่านั้นที่ได้รับ

แม้แต่ในประเพณีกฐิน ถ้าเป็นกฐินหลวง พระในวัดก็จะได้เพียงปูนแดงกับหมากพลู ไม่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่พอถึงรัชกาลที่ 4 ก็เริ่มมีการถวายเงินประกอบพิธี 

กระทั่งรัชกาลที่ 4 ทรงปรารภ ความว่า “พระสงฆ์เข้าวังวันใด ก็ไม่เคยกลับวัดมือเปล่า ผิดกับข้าราชการหรือคฤหัสถ์ ทำงานทั้งวันจนเหนื่อยยาก กลับบ้านไปไม่ได้อะไรเลย”

หลังจากนั้นมา ไม่ใช่แค่การเข้าวังแล้วที่พระสงฆ์จะได้เงินกลับ แต่เมื่อชาวบ้านทั่วไปอยากจะนิมนต์พระไปทำกิจพิธีก็ต้องถวายเงินด้วย

ที่ลังกา (ประเทศศรีลังกา) หากไปหาชาวบ้าน พระจะไม่รับเงิน รับได้แต่อาหารเท่านั้น ต่างจากเมืองไทยที่ถวายเงินกันพร่ำเพรื่อ ไปสวดก็ต้องได้ซอง บางทีไม่ได้ซองก็ทวง แถมเปิดดูด้วยว่าได้เท่าไหร่ ถ้าน้อยเกินไปก็ไม่พอใจอีก

พระไพศาล ยอมรับว่านี่กำลังกลายเป็นวัฒนธรรมที่ปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจแบบเงินตราเข้ามาครอบงำศาสนา หากพระไม่มีการฝึกกรรมฐานดีพอ ก็จะหลงติดในอำนาจของเงิน เพราะเงินเป็นตัวเพิ่มโอกาสในการทำตามใจ มีเงินน้อยก็ทำตามใจได้น้อย มีเงินมากก็ทำตามใจมาก เงินเป็นเหมือนตัวเร่งกิเลสให้กำเริบ ใจอ่อนแอพ่ายแพ้ต่อความอยาก

ช่วง 50 ปีที่ผ่านมานี้ เศรษฐกิจไทยดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา คนไทยอยู่ดีกินดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาและลังกามาก วัดก็รวยขึ้น เพราะญาติโยมรวยขึ้นก็เอาเงินมาถวาย ก็ยิ่งทำให้เงินตราเข้ามาอยู่ในเส้นทางของพุทธศาสนามากขึ้น

ต่างจากพระในอดีต ที่อาจไม่มีความรู้เรื่องนักธรรมบาลีเท่าพระสมัยนี้ แต่มีภูมิธรรมที่ทำให้ไม่หวั่นไหวต่ออำนาจเงินมากกว่า เพราะพระเหล่านี้อยู่ในสมถะ มีสมาธิภาวนาเป็นเครื่องคุ้มกัน ทำให้เกิดความสุขโดยไม่ต้องอาศัยการเสพ เมื่อไม่ต้องพึ่งสุขจากการเสพ ก็ไม่หวั่นไหวต่อเงินตรา

ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า คณะสงฆ์ไทยโดยรวมไม่มีความรู้เท่าทันต่อเศรษฐกิจแบบเงินตราที่หลั่งไหลมาพร้อมกับระบบทุนนิยม และระบบการจัดงานเงินของวัดไม่เคยตระหนักถึงภัยจากระบบเงินตราเลยเพราะ

“ความรวยของพระไม่ใช่เงินตรา แต่คือบุญญาบารมี ต่างหาก”

วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง : เมื่อเงินไม่รู้ที่มา ตามหาไม่รู้ที่ไป

ตัวอย่างหนึ่งที่ พระไพศาล หยิบยกมา คือ มูลนิธิฉือจี้ ในไต้หวัน ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ในช่วงที่ไต้หวันเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก ก็ยิ่งทำให้ฉือจี้มีเงินมาก แล้วนำเงินไปช่วยเหลือสังคม กิจกรรมของฉือจี้เกิดขึ้นหลากหลายใช้เงินไปช่วยชาวบ้านในด้านต่าง ๆ จนกลายเป็นแหล่งดูงานสำคัญของไทยและอีกหลายประเทศ

ส่วนในประเทศไทย พอญาติโยมรวย วัดก็รวยตาม แต่ความรวยนั้นไม่กระจายไปสู่วัดชนบทที่ยากจน เงินกระจุกอยู่ตามวัดใหญ่ โดยเฉพาะ เจ้าอาวาส

ราวปี 2538 – 2539 เคยมีงานวิจัยเกี่ยวกับวัดในกรุงเทพฯ จำนวน 52 วัด พบว่า 1 ใน 5 วัด มีเจ้าอาวาสเป็นผู้รับผิดชอบเงินแต่เพียงผู้เดียว ส่วนอีก 58% พบว่า เงินอยู่ในความดูแลของเจ้าอาวาสและไวยาวัจกร

เมื่อสอบถามถึงรายรับ รายจ่ายของแต่ละวัด ส่วนใหญ่ไม่ตอบ รายได้ส่วนมากมาจากการ ให้เช่าที่, วัตถุมงคล หรือ การทำตลาดแต่ก็ไม่เปิดเผยตัวเลขรายรับรายจ่าย ซึ่งปัจจุบันนี้ คาดว่าคงไม่ต่างกันไปกว่าเดิม หรืออาจจะหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ

เห็นได้ชัดว่า เมื่อเงินกระจุกอยู่ในมือของเจ้าอาวาสหรือไวยาวัจกร กลายเป็นจุดโหว่สำคัญที่ทำให้เกิดการรั่วไหลของเงิน บางครั้งใช้ผิดประเภท หรือบางครั้งก็เพื่อสนองกิเลสของผู้ดูแลเงิน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าระบบการเงินของวัดบกพร่องในเชิงโครงสร้างและขาดธรรมาภิบาล

ค่าตัวและโอกาส : 2 เงื่อนไข พระหวั่นไหวจน ‘คอร์รัปชัน’!!

พระไพศาล จึงขอยกคำของ พล.ต.อ. อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ที่เคยพูดว่า “คนเราจะคอร์รัปชันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสองอย่าง คือ ค่าตัว และโอกาส”

บางคนไม่มีคอร์รัปชัน เพราะไม่มีโอกาสทำ หรือบางคนมีโอกาส แต่เงินที่จะได้กลับมาน้อยกว่าค่าตัวของตัวเอง แม้นี่จะเป็นการมองแบบ cynical หรือมองโลกในแง่ร้ายเสียหน่อยแต่มันบอกว่า คนเรามีกิเลสกันทุกคน

แต่สิ่งที่น่าสนใจในแนวคิดนี้ คือ คำว่า โอกาส

เพราะคนเราต่อให้เข้ามาบวชด้วยศรัทธา และตั้งใจดีแค่ไหน แต่ถ้าวันหนึ่งมีโอกาส แล้วไม่มีเครื่องคุ้มกันใจที่เข้มแข็งพอ ก็อาจต้านทานไม่ไหว สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อกิเลส ถ้าระบบการเงินเปิดช่องให้ทุจริตได้ ไม่ช้าก็เร็ว ความทุจริตก็จะเกิดขึ้นแน่นอน

นี่ไม่ใช่เรื่องการไม่วางใจใคร แต่เป็นการเข้าใจธรรมชาติมนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงวาง พระธรรมวินัย ขึ้นมา มีไว้เพื่อปิดโอกาสในการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

แค่พระธรรมวินัยคงยังไม่พอ ?

พระไพศาล ยังบอกเล่าเรื่องราวของผู้ที่เป็น ปฐมปาราชิก ในสมัยพุทธกาลเรื่องหนึ่ง ที่อธิบายถึง โอกาส ในการดำรงความเป็นพระในเส้นทางธรรม

บุคคลผู้นั้นคือ พระสุทินน์กลันทบุตร แต่เดิมคือเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งที่มีเจตนาการบวชเพื่อต้องการบรรลุนิพพาน แม้พ่อแม่ไม่เห็นด้วย ก็ประท้วงโดยการอดอาหารจนพ่อแม่ยอมให้บวช แต่สุดท้ายก็ต้อง อาบัติปาราชิกจากการเสพเมถุน และกลายเป็นตำนาน ปฐมบทปาราชิก

ในสมัยนั้น ถือเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า พระไม่ควรเสพเมถุน แต่ยังไม่มีการบัญญัติเป็นข้อห้าม ครอบครัวเศรษฐีของพระสุทินน์ฯ เร่งรัดให้อยากมีทายาทสืบวงศ์ตระกูล พระสุทินน์ฯ เองใจอ่อนจึงยอมประนีประนอม เสพเมถุนกับภรรยาเก่า เพื่อให้มีลูกสืบตระกูล

หากในขณะนั้นมีพระวินัยข้อนี้บัญญัติไว้แต่แรก พระสุทินน์ฯ คงไม่ทำ เพราะไม่มี โอกาส หรือช่องว่างให้ทำได้ ภายหลัง เรื่องนี้แพร่ออกไป พระพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติปฐมปาราชิก ขึ้น หลังจากตั้งคณะสงฆ์มาแล้ว 12 ปี

เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า พระธรรมวินัย มีไว้เพื่อ ปิดโอกาส ไม่ให้พระ แม้จะมาบวชด้วยความมุ่งนิพพาน ต้องเผลอพ่ายต่อกิเลส

แต่ในยุคปัจจุบัน พระธรรมวินัยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจแบบเงินตราแพร่เข้ามาในวัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้พระจะไม่ได้จับเงินเองโดยตรง แต่เกี่ยวข้องกับกิจการวัดทั้งหมด

โดยเฉพาะสมณศักดิ์ และ อำนาจของพระก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ทำตามใจกิเลสได้ง่ายขึ้น ยิ่งเป็นพระเจ้าอาวาส หรือ มีสมณศักดิ์สูง ก็ยิ่งมีโอกาสในการเข้าถึงเงิน สีกา และการสองกิเลสได้มากกว่า

หากเงินจำนวนมหาศาลหลายร้อย หลายพันล้านบาทมีระบบที่เข้มงวดเพียงพอ จะเป็นการปิดโอกาสการใช้เงินไปในทางที่ผิด ไม่ว่าจะเพื่อตอบสนองกิเลสส่วนตัว หรือการทุจริตคอร์รัปชัน

ดังนั้น การจัดระบบการเงินวัดให้มีธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ จึงสำคัญมาก เพราะจะช่วย รักษาพระดี เอาไว้

แต่ถ้าระบบยังคงเปิดโอกาสให้ทำสิ่งไม่ถูกต้องอยู่ร่ำไป ไม่สามารถคุ้มครองพระดีได้ พระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมถอยลงไปเรื่อย ๆ หากปล่อยไว้นาน ก็อาจถึงกาลวิบัติในที่สุด


  • เนื้อหาของบทความนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ ธรรมะปฏิสันถาร ภายในเวทีแลกเปลี่ยน “บทเรียนและความก้าวหน้า โครงการบริหารจัดการวัดตามหลักธรรมาภิบาล” เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 68 ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ

Author

Alternative Text
AUTHOR

ปุณยอาภา ศรีคิรินทร์

เธอไม่ต้องฆ่าฉันด้วยปืนหรอก แค่เธอบอกว่าไม่รัก สักพักฉันก็ตาย