ที่พึ่งสุดท้ายของ ผู้สูงอายุไทยในภาวะพึ่งพิงจะครอบคลุมแค่ไหน?
แล้วใครบ้างที่จะได้เข้าไปอยู่ในสถานชีวาภิบาลของรัฐ
จะเป็นอย่างไรถ้าผู้สูงอายุในบ้านเรา เริ่มช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือที่เรียกว่าเป็น “ผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิง” ขณะที่ลูกหลานก็ต้องออกไปทำงาน แล้วใครจะเป็นคนดูแล ถ้าจะให้ลาออกมาดูแลผู้สูงอายุในบ้านก็ทำไม่ได้เพราะเงินก็สำคัญ
การมีสถานที่มารองรับพร้อมกับมีคนมาดูแลผู้สูงอายุกลุ่มนี้แทนลูกหลานที่ต้องออกไปทำงาน จึงจำเป็นอย่างมากหลังจากที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ที่นับวันจะมีผู้สูงอายุให้ต้องดูแลมากขึ้นเรื่อย ๆ
“1 จังหวัด 1 สถานชีวาภิบาล” เป็นนโยบายเร่งด่วนหรือควิกวินของกระทรวงสาธารณสุขที่ประกาศไว้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 นั่นหมายความว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในอีก 100 วันหรือประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเดิมตั้งเป้าจะมีทุกจังหวัด แต่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปรับเป้าลงมาเป็นเพียงแค่ทุกเขตสุขภาพ 13 เขตในเฟสแรก เพราะยอมรับในข้อจำกัดหลายด้าน
สถานชีวาภิบาลคืออะไร
เดิมสถานชีวาภิบาล คือหอผู้ป่วยในโรงพยาบาล ที่ดูแลผู้สูงอายุในระยะสุดท้ายแบบประคับประคองนี่แหละ ซึ่งปัจจุบันในหอผู้ป่วยแบบนี้ทุกโรงพยาบาลจะมีผู้ป่วยเต็มแทบทุกเตียง
คำว่า “ชีวาภิบาล” เป็นคำที่มาจากคำสองคำคือ “ชีวา” หรือ “ชีวิต” บวกกับ “อภิบาล” คือ การบำรุง ดูแลอย่างรอบด้าน เมื่อรวมกันจึงเป็น “ชีวาภิบาล” หมายถึง การบำรุงดูแลชีวิต ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Palliative Care Center
สถานชีวาภิบาลจึงเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้การดูแลชีวิตช่วงท้ายของผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเน้นการรักษาแบบประคับประคอง ไม่ใส่ท่อ ไม่เจาะคอ เพียงแต่บรรเทาอาการไม่ให้เจ็บปวด และจากไปอย่างสงบ หรือที่เรียกว่า “ตายดี” นั่นเอง
จากสถานการณ์ “หอผู้ป่วยชีวาภิบาล” ในโรงพยาบาลที่ครองเตียงกันเกือบเต็ม เพื่อให้มีเตียงเพียงพอรองรับผู้ป่วยที่อาการหนักกว่า โรงพยาบาลจึงส่งตัวผู้ป่วยที่อาการคงที่กลับมารักษาต่อที่บ้าน ทำให้เกิดธุรกิจรับดูแลผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียง และเป็นโรคสมองเสื่อมอย่างรุนแรงที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มาอยู่ใน “เนิร์สซิ่งโฮม”
เนิร์สซิ่งโฮม กำลังเป็นธุรกิจที่เติบโตมากพร้อมกับการเข้าสู่สังคมสูงวัย โดยที่นี่จะมีพยาบาล และคนที่จะมาดูแลผู้สูงอายุอย่างมืออาชีพโดยเฉพาะ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงเนิร์สซิ่งโฮมที่มาตรฐานดีเรียกเก็บค่าบริการเริ่มต้น เดือนละ 25,000 บาท ซึ่งผู้สูงอายุในครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำทั่วไป เข้าไม่ถึงแน่นอน
สถานชีวาภิบาลคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
แต่ต้องยอมรับว่าครอบครัวในเมืองอย่างกรุงเทพฯ หลายครอบครัว ส่งผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไปอยู่ที่ เนิร์สซิ่งโฮม เหล่านี้ แม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงก็ตาม เห็นได้จากตัวเลข ปี 2558 มีเนิร์สซิ่งโฮมใน กทม. ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จำนวนเพียง 12 แห่ง และเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในอีก 9 ปีต่อมาล่าสุดปี 2566 ในกรุงเทพพบเนิร์สซิ่งโฮมที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเป็น 290 แห่ง
จากความต้องการการดูแลผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น นโยบาย 1 จังหวัด 1 สถานชีวาภิบาลซึ่งเป็นนโยบายที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียงเลือกตั้งจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่ทำให้ผู้สูงอายุในครอบครัวที่ไม่มีกำลังส่งผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุแบบประคับประคอง หรือเป็นผู้ป่วยที่ถูกทอดทิ้งตามลำพัง เข้ามาดูในความดูแลของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
อีกเรื่องที่ต้องเตรียมรองรับ คือ “กำลังคน” โดยเฉพาะพยาบาลวิชาชีพ ที่ต้องทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพ นักบริบาล หรือกำลังคนระดับผู้ช่วย ซึ่งในอนาคตกำลังคนที่จะขาดแคลน ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ CM และนักสังคมสงเคราะห์ ดังนั้นจึงควรมีมาตรการเพิ่มกำลังคนเหล่านี้เข้าไปสู่ระบบ ไปพร้อมกัน
คาดการณ์จำนวนผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิง
พ.ศ.2563 | พ.ศ.2569 | พ.ศ.2573 | |
ประชากรผู้สูงอายุ | 12,621,655 | 15,638,572 | 17,578,929 |
จำนวนผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิง | 2,473,844 | 3,065,160 | 3,445,470 |
สำหรับความคืบหน้าการจัดตั้งสถานชีวาภิบาล แยกเป็น 2 พื้นที่คือ “ต่างจังหวัด” กับ “กรุงเทพมหานคร” สำหรับในพื้นที่ กทม. วางแผนทำเรื่องสถานชีวาภิบาลโดยจะดึง เนิร์สซิ่งโฮม ภาคเอกชน มายกระดับเป็น “สถานชีวาภิบาล” แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเนิร์สซิ่งโฮมเอกชนมีค่าใช้จ่ายสูง การเบิกค่าใช้จ่ายจาก สปสช. หรือ สิทธิบัตรทองจึงยังเคาะกันไม่จบ
- อ่านเพิ่ม กทม.ตั้งเป้าเปิด 7 สถานชีวาภิบาลใน 100 วัน ปูพรมครบ 250 แห่งทั่วกรุงฯ ใน5 ปี
- อ่านเพิ่ม “หมอชลน่าน” เล็งใช้ “วัด” เป็นสถานชีวาภิบาลดูแลผู้สูงอายุระยะสุดท้าย
ขณะที่ในต่างจังหวัดในระยะแรกมีแนวคิดจะใช้ “วัด” เป็นหนึ่งในสถานชีวาภิบาลดูแลผู้สูงอายุ โดย นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ บอกว่าวัด มีความพร้อม มีทรัพยากร และมีความตั้งใจจะดูแลประชาชน จึงจะนำร่องสถานชีวาภิบาลในวัด และเรียนรู้ ส่วนรัฐต้องสนับสนุนค่าจ้างผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือ Care Giver
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. เปิดเผยขั้นตอนว่า เริ่มจากการสำรวจผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิงในระดับตำบลว่ามีความต้องการเท่าไร จากนั้นหาสถานที่จัดทำสถานชีวาภิบาล ที่มีความพร้อมในชุมชน ออกกติกาการเงินเข้ามาเสริม สิ่งที่จะอนุมัติเพิ่มเติมคือคือหน่วยงานที่จะเข้าไปดูแล
“ในต่างจังหวัดเราไม่ได้ดูค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน แต่เราดูจำนวนคนที่ต้องดูแล เช่น 1 ตำบลมีผู้สูงอายุ 100 คนที่ต้องดู แปลว่าเราจ่ายเงิน 1-2 ล้าน และจ้าง Care Giver อีก 5 แสนบาท เงินที่เหลือก็ซื้ออุปกรณ์ ดังนั้นในพื้นที่ต่างจังหวัดเชื่อว่ามีเพียงพอ”
ใครที่จะได้อยู่ในสถานชีวาภิบาลของรัฐบาล
มาถึงตรงนี้แล้วหลายคนคงมีคำถามว่า แล้วจะเข้านำผู้สูงอายุในบ้านที่มีภาวะพึ่งพิงขณะที่ครอบครัวเองก็ดูแลไม่ไหว ไปใช้บริการในสถานชีวาภิบาลเหล่านี้ได้อย่างไร?
เรื่องนี้ยังค่อนข้างเป็นเรื่องเทคนิคโดยเฉพาะการเบิกจ่ายเงินจากสิทธิบัตรทองว่าได้มากน้อยแค่ไหน หรือหากต้องร่วมจ่ายก็จะมีประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำของแพ็คเก็จในการดูแลตามมา
เบื้องต้นที่มีการคุยกันคือ ต้องเป็นผู้ป่วยสูงอายุ ที่เข้าสู่การรักษาตัวในระยะท้าย หรือPalliative Care ที่รักษาตัวในโรงพยาบาลของรัฐตามสิทธิ์ แล้วโรงพยาบาลนั้น ส่งตัวต่อมายังสถานชีวาภิบาลประจำจังหวัด หรือ เนิร์สซิ่งโฮม ชีวาภิบาลเอกชน ที่ขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย และเป็นเครือข่ายที่เชื่อมกับ สปสช. ในฐานะ “หน่วยบริการปฐมภูมิ”
นนทวัฒน์ บุญบา ผู้อำนวยการมูลนิธิเส้นด้าย ในฐานะหน่วยงานที่ช่วยเหลือคนที่ตกหล่นเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุขมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 บอกว่า ยังมีผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อีกหลายคนที่ซ่อนอยู่ในชุมชนหลายแห่ง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ไม่มีคนคอยดูแล จึงอยากให้รัฐทำงานให้ยืดหยุ่นกับภาคประชาสังคม ไม่ทำทับซ้อนแต่ทำต่อเนื่องกัน รัฐควรเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้กับการทำงานของภาคประชาสังคม ช่วยกันผลักดัน
เขาตั้งข้อสังเกตถึงนโยบายสถานชีวาภิบาลของรัฐว่า ลักษณะผู้ป่วยระยะสุดท้ายไม่สามารถรอได้ แต่ที่ผ่านมาการใช้กระบวนการของรัฐต้องผ่านการรอ การประเมิน ขณะที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายมีเวลาสั้น เราอยากให้เขาจากไปสงบหรือ “ตายดี” ก็ควรจะรวดเร็วในการรับเคสผู้ป่วยเข้าไปดูแล
ส่วนเงื่อนไขการรับผู้สูงอายุเข้าไปอยู่ในสถานชีวาภิบาล ควรจะรวมไปถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่ถูกทอดทิ้ง เพราะต้องบอกว่าปัจจุบันผู้สูงอายุที่อยู่ ติดบ้าน ติดเตียง ถูกทอดทิ้งมีจำนวนมาก ขณะที่สถานดูแลผู้สูงในกทม.และปริมณฑลมีไม่เพียงพอ
การเข้าถึงสถานชีวาภิบาลของรัฐอาจไม่ง่าย หากดูจากเกณฑ์การเลือกผู้สูงอายุเข้าไปดูแล และคงไม่ใช่ทุกครอบครัวจะส่งผู้สูงอายุไปอยู่ในสถานชีวาภิบาลได้หรือไม่ ยังต้องรอความชัดเจน และจับตาว่านโยบายนี้ จะสามารถดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง ได้ทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำ อย่างที่สังคมคาดหวังได้จริงหรือไม่