ดินแดนพิพาท ‘ทับลาน’ กันแนวเขตอุทยานฯ หรือ เฉือนป่า แก้ปัญหา-คืนสิทธิชาวบ้าน…อยู่ที่ไหน ?

  • ชาวบ้านในพื้นที่ตั้งคำถาม หลัง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ทำจดหมายเปิดผนึกถึง นายกรัฐมนตรี คัดค้านการกันแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน เพื่อแก้ปัญหาข้อพาทกับชุมชน
  • คณะทำงาน One map เชื่อ การแก้ปัญหาไขข้อพิพาททับลานคืบหน้า ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน ย้ำว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในแนวเขตที่กันออกไม่มีสภาพเป็นป่า เป็นชุมชนดั้งเดิมที่อยู่มาก่อน ควรได้รับการคืนสิทธิที่ดิน  
  • เชื่อรัฐบาลเดินหน้ามีแต่ได้กับได้ ไม่เสียรังวัดทางการเมือง

จดหมายเปิดผนึกที่ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ยื่นถึง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ย้ำจุดยืนคัดค้านการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน เนื้อที่ 265,286 ไร่ ออกจากการเป็นอุทยานแห่งชาติทับลาน เพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่ดินชุมชน นับเป็นช่วงจังหวะเวลาที่ คณะทำงานพิจารณาเสนอแนวทางเกี่ยวกับประเด็นร้องเรียนกรณีการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียในการกำหนดเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ภายใต้ คณะอนุกรรมการอิสระเพื่อศึกษากำหนดแนวทางมาตรการเร่งรัดการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ (ONE MAP)  ซึ่งมี รศ.ธนพร ศรียากูล เป็นประธาน 

โดยมีกำหนดรับฟังความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่ศูนย์ประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเวทีต่อเนื่องจากรับฟังความคิดเห็นชุมชน ที่เกี่ยวข้องและประชาชนในการกำหนดแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน จ.นครราชสีมา, ปราจีนบุรี และ สระแก้ว เพื่อนำข้อสรุปเสนอต่อ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และ คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ที่เตรียมประชุมแก้ไขปัญหาเรื่องนี้

กรณีดังกล่าวจึงกลายเป็นประเด็นร้อน และนำไปสู่ข้อถกเถียงขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับคำถามและข้อสังเกต ว่า ปัญหานี้จะเดินถอยหลังกลับไปที่เดิม ที่ต่างฝ่ายต่างยืนกันคนละฝั่ง ระหว่าง สายอนุรักษ์ ที่เคยออกมา #Saveทับลาน กับ ภาคประชาชนและชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งลุกขึ้นมาทวงสิทธิชุมชนดั้งเดิม ด้วยการ #Saveชุมชนทับลาน จนอาจไม่สามารถแก้ไขข้อพิพาทที่ดินที่ ที่ทำกินชุมชนดั้งเดิมที่สั่งสมมายาวนานได้เสียที รวมถึงกระบวนการมีส่วนร่วมการจัดการทรัพยากร ที่สอดคล้องเหมาะสมกับแต่ละบริบท จะสร้างความเป็นธรรรมให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ?

The Active รวบรวมความเห็นของแต่ละฝ่าย พร้อมแนวทางข้อเสนอสู่การหาทางออกให้กับปมปัญหานี้  

ย้อนปมพิพาทที่ดิน ‘ทับลาน’ สู่การเดินหน้ารับฟังความเห็น ‘กันแนวเขตรอบใหม่’

ปัญหาที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน กลายเป็นอีกมหากาพย์ปัญหาข้อพิพาทที่ดิน หลังการประกาศแนวเขตอุทยานมาตั้งแต่ปี 2524 ว่า คนทับป่า หรือ ป่าทับคน

หากจำกันได้ ช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2567 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ประกาศรับฟังความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชนที่เกี่ยวข้อง และประชาชน ต่อการกำหนดอุทยานแห่งชาติทับลาน จ.นครราชสีมา, ปราจีนบุรี และ สระแก้ว ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2566 โดยการใช้เส้นปรับปรุงการสำรวจแนวเขต ปี 2543 ปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1:4,000 (ONE MAP) เพื่อออกโฉนดที่ดินในพื้นที่เขตของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) โดยเปิดรับฟังความเห็นตั้งแต่ วันที่ 28 มิ.ย. – 12 ก.ค. 2567 ณ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

ในเวลานั้นได้เกิดเป็นกระแสในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้ X (Twitter) หลายคนออกมาแสดงความเห็น ไม่เห็นด้วย และมองว่าข่าวนี้เงียบเกินไป ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นประเด็นใหญ่ จึงเชิญชวนให้สะท้อนความเห็นไปยังกรมอุทยานฯ ตามมาด้วยกระแส #Saveทับลาน ขึ้นเทรนด์ X (Twitter) อันดับ 1 ประเทศไทย ในตอนนั้น โดยกังวลจะเป็นการกันพื้นที่ป่าให้กับนายทุน เฉือนป่าให้กับนายทุน

มูลนิธิสืบนาคะเสถียร จึงยื่นหนังสือต่อ คณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้พิจารณากระบวนการเพิกถอนพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงเรียกผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาให้ข้อมูล โดยยืนยันว่า ไม่ควรเพิกถอนแบบเหมาเข่ง

เมื่อมี #Saveทับลาน อีกด้านก็มี #Saveชาวบ้าน #Saveชุมชนทับลาน เช่นกัน โดยชาวบ้านในพื้นที่ รวมถึงเครือข่ายภาคประชาชนที่ทำงานด้านการแก้ปัญหาที่ดิน อย่าง กลุ่มทับลาน 43 ก็ให้เหตุผลว่าในแนวเขตที่ให้มีการกันออกจากอุทยานแห่งชาติทับลานส่วนใหญ่ เป็นชาวบ้านที่อยู่อาศัยทำกินมาก่อนการประกาศเขตอุทยานฯ ครอบทับ บางชุมชนมาอยู่เป็นแนวกันชน ตามนโยบายความมั่นคง และการจัดสรรที่ดินทำกินของรัฐ สืบต่อที่ดินมาจากบรรพบุรุษ พร้อมงัดหลักฐานเป็นเอกสารการถือครอง และการตั้งถิ่นฐานมาก่อนการประกาศเขตอุทยานฯ และย้ำการเปลี่ยนมือหรือนายทุนนั้นเป็นส่วนน้อย ซึ่งประเด็นนี้ก็ให้ดำเนินคดีไปแต่อย่าให้ข้อมูลในลักษณะเหมารวมว่าชาวบ้านบุกรุกป่า 

ที่สำคัญการรับฟังความเห็นครั้งนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์ ว่า การตั้งคำถามของกรมอุทยานฯ คลุมเครือไม่ชัดเจนสร้างความสับสน ว่ายึดแนวเขต ปี 2524 หรือปี 2543 ที่ปรับปรุงแนวเขตเห็นร่วมกันทุกฝ่าย ทำให้ชาวบ้าน และกลุ่มเครือข่ายทับลาน 43 ตระเวนยื่นร้องขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น  ป.ป.ช., กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, คณะรัฐมนตรี, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ กมธ.ที่ดินฯ สภาผู้แทนราษฏร

จนนำมาสู่การตั้งอนุกรรมการอิสระเพื่อศึกษากำหนดแนวทางมาตรการเร่งรัดการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ  (ONE MAP) ที่มี รศ.ธนพร ศรียากูล เป็นประธาน ซึ่งได้จัดเวทีการรับฟังความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียชุมชนที่เกี่ยวข้อง ในการกำหนดเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน จ.นครราชสีมา, ปราจีนบุรี และ สระแก้ว รอบใหม่ ระหว่างวันที่ 31 ก.ค .-22 ส.ค. ที่ผ่านมา

โดยเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2566 เห็นชอบให้ใช้แผนที่ ONE MAP มาตราส่วน1 : 4,000 ในการเข้ามาแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ ที่ทับซ้อนกันในอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐที่มีพื้นที่แนวเขตสารพัดหน่วยงานทับซ้อนกันเต็มไปหมด เช่น กรมป่าไม้, กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช, กรมที่ดิน ซึ่งที่ผ่านมาต่างหน่วยต่างถือแผนที่กันคนละฉบับ เมื่อเทคโนโลยีดีขึ้น จึงทำแผนที่เป็นแนวเขตเดียวกัน พอ ครม. ให้ความเห็นชอบ หน่วยงานที่เป็นเจ้าของแผนที่ก็ต้องเอามติ ครม. ที่ให้ความเห็นชอบแล้ว มาปรับปรุงแผนที่ตัวเองให้สอดคล้องกับมติ ครม.

ชาวบ้านเสียงส่วนใหญ่ เห็นด้วยใช้เส้นแนวเขต ปี 2543

ช่วงวันที่ 31 ก.ค.-12 ส.ค. ที่ผ่านมา ชาวบ้าน 18 ตำบล ในพื้นที่ 3 จังหวัด เข้าร่วมสะท้อนเหตุผลของการกันแนวเขตอุทยานฯ โดยต่างยืนยัน อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ก่อนการประกาศอุทยานแห่งชาติทับลานในปี 2524 ทำเกษตรปลูกพืชตามนโยบายรัฐที่สนับสนุนมาอย่างเนื่อง การที่อยู่ในที่ทับซ้อนเขตอุทยานฯ ทำให้เข้าไม่ถึงสิทธิต่าง ๆ ที่ได้รับจากโครงการสนับสนุนการพัฒนาของภาครัฐ หรือแม้แต่การชดเชยเยียวยาเมื่อประสบปัญหาผลผลิตการเกษตรตกต่ำและผลกระทบจากภัยพิบัติ โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น ไฟฟ้า ถนนหนทางก็เข้าไม่ถึง ที่สำคัญห่วงอนาคตลูกหลาน ที่ไม่มีความมั่นคงในที่ดินทำกินที่อยู่อาศัย จึงอยากให้กันแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานที่ทับสิทธิชุมชน โดยใช้เส้นแนวเขต ปี2543 เพราะมีการสำรวจเห็นร่วมกันทุกฝ่ายแล้ว 

“ฉันและพี่น้องอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ปู่ย่าตายายก็อยู่กันมาที่นี่กันนมนาม เราเดินมาโรงเรียนตั้งแต่เด็กๆ  พอรู้ว่าวมีการกันแนวเขต ก็อยากให้มีการให้สิทธิที่ดิน มีเอกสารสิทธิถูกต้องให้พวกเรา”   

ชาวบ้าน อ.ครบุรี ผู้ร่วมเวทีรับฟังความเห็น

“ยุคสมัยไหนแล้ว แต่ชาวบ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้ มียุคหนึ่ง สส.ในพื้นที่มีการเสนอนำโครงการมาติดตั้งโซล่าเซลล์ให้ พอพังไปก็ไม่มีงบประมาณมาช่วยชาวบ้านแล้ว ที่พอมีกำลังก็ซ่อมแซมเองกันไป แต่ชาวบ้านที่ไม่มีกำลังก็อยู่กันมามืดมืด คิดดูในยุคสมัยนี้ แต่ยังไม่มีคนที่มีไฟฟ้าใช้เพราะติดในเขตอุทยานมาทับ”

ชาวบ้าน อ.ครบุรี ผู้ร่วมเวทีรับฟังความเห็น 

“ข้องใจพ่อแม่ อยู่มาจน 80,90 ปี พอมาถึงรุ่นพวกฉัน ก็อยากแบ่งที่ดินให้ลูกหลาน เอาเอกสารไปยื่นกับกรมที่ดิน เขาก็รับเอาไว้ทำทุกอย่างเรียบร้อย สักพักกรมที่ดินตีคืน บอกว่าแบ่งที่ดินไม่ได้ เพราะติดที่อุทยานฯ นี่เป็นปัญหาคราวนี้พวกฉันมีพี่น้องหลายคน ก็อยากใช้สิทธิของตนเองแต่มันใช้ไม่ได้นี่คือปัญหาเดือดร้อนอย่างมาก ก็อยากให้มีการกันชุมชนออกจากอุทยาน เราอยู่มานานและตายรุ่นต่อรุ่น พวกฉันก็จะตายแล้ว ยังไม่ได้รับการคืนสิทธิ์”

ชาวบ้าน อ.ครบุรี ผู้ร่วมเวทีรับฟังความเห็น

“อุทยานฯ ขีดแนวเขตค่อมพื้นที่เราไว้ เอกสารสิทธิทั้งโฉนดที่ดิน นส.3 ก็เป็นแค่กระดาษเปล่า จะเอาไปทำอะไรไม่ได้นี่คือปัญหา จำกัดสิทธิชาวบ้านอย่างมาก ขอให้กันแนวเขตออก เดือดร้อนกันมาหลายปีแล้ว”

ชาวบ้าน อ.เสิงสาง ผู้ร่วมเวทีรับฟังความเห็น 

ในการรับฟังความเห็น ชาวบ้านยังได้กรอกแบบรับฟังความเห็นการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียชุมชนที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในการกำหนดพื้นที่ให้เป็นอุทยานแห่งชาติทับลาน(เพิ่มเติม) โดยมีประเด็นคำถามสำคัญ

ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับกรณีที่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช จะดำเนินการปรับปรุงเส้นแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 โดยใช้เส้นแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานปี 2543 เพื่อแก้ไขปัญหาแนวเขตทับซ้อนที่ดินของรัฐซึ่งสามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้านที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยได้”  

จึงขอให้ผู้แสดงความเห็นตอบว่า เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย พร้อมระบุเหตุผล…ปรากฎว่าเสียงส่วนใหญ่ต่างระบุว่า เห็นด้วย!!

เพิกถอน 2.6 แสนไร่ ? ‘มูลนิธิสืบฯ’ ห่วงเหมารวม เอื้อทุน-ทำลาย ‘ไข่แดงเชิงนิเวศ’  

แต่อีกด้าน ภาณุเดช เกิดมะลิ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เปิดเผยกับ The Active ถึงกรณีมูลนิธิฯ ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ค้านการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน โดยเห็นว่า การกันแนวเขตเพิกถอนที่อุทยานทับลาน 2.6 แสนไร่ทำได้ แต่อาจจะต้องพิจารณาเป็นรายกรณี ไม่ใช่การเหมาเข่ง เพราะนั่นอาจหมายความได้ว่าพื้นที่ที่เป็นคดีความ จากผู้เข้าไปใช้พื้นที่หลังประกาศเขตพื้นที่อุทยานฯ และคนที่ขยายพื้นที่หลังจากประกาศกฎหมายแล้ว อาจได้รับการเพิกถอนพื้นที่ดังกล่าวนั่นไปด้วย  

ฉะนั้นจึงมองว่าชุมชนที่ขยายเพิ่มเติมควรอยู่ภายใต้มาตรา 64 ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ให้ทำกินและพัฒนาพื้นฐานได้ แต่ทุนและเอกชนที่รุกใหม่ ต้องให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ไม่ใช่ถูกทำให้ชอบธรรมจากการเพิกถอนแบบเหมาเข่ง  และในส่วนของชุมชนเดิม ที่รัฐเคยจัดสรรให้ก่อนที่จะมีการประกาศพื้นที่อุทยานฯ ก็ต้องคืนสิทธิ์อย่างถูกต้อง 

“ต้องยอมรับว่าพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน มีความสวยงามเรื่องของธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสัตว์ป่าหรือว่าอากาศรวมถึงสภาพของธรรมชาติก็พบว่ามีความพยายามที่จะเข้าไปผลักดันให้เกิดการปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้มีโรงแรมรีสอร์ทในพื้นที่ตรงนี้ได้ซึ่งเรามีข้อกังวลว่าถ้าหากเราไปเหมาเข่ง อาจจะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับคนที่เข้ามาโดยมิชอบ”

ภาณุเดช เกิดมะลิ 

ส่วนประเด็นเรื่องการเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน หรือการปรับแนวเขตอุทยานฯ นั้น ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ยอมรับว่า พูดกันมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะการประกาศเป็นอุทยานฯ พื้นที่ตรงนี้บางส่วนก็มีชุมชนและหน่วยงานรัฐเข้าไปใช้ประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่สมัยเป็นป่าสงวน ทำให้เมื่อประกาศเป็นอุทยานฯ จึงเกิดปัญหาทับซ้อน และมีการเสนอ ครม. ให้มีการปรับปรุงแนวเขตมาโดยตลอด

โดย ตั้งแต่ปี 2540–2541 ก็มีมติ ครม. ออกมาเพื่อหาทางแก้ปัญหาชุมชนในพื้นที่อนุรักษ์ กระบวนการนี้ดำเนินเรื่อยมาจนถึง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ปี 2562 ที่เปิดทางให้ใช้มาตรา 64 แก้ปัญหาชุมชนในป่าได้ ขณะเดียวกันก็มีการอ้างอิงแนวเขตสำรวจปี 2543 ในการพิจารณาเพิกถอน 

แต่การเพิกถอนพื้นที่แนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน โดยใช้เส้นปี 2543 มูลนิธิสืบฯ มีข้อกังวลว่า ควรที่จะทบทวนสำรวจและประเมินแนวเขตตรงนี้ใหม่ เนื่องจากว่าแนวเขตปี 2543 ที่คณะรัฐมนตรี มีมติออกมาเมื่อปี 2566 ยังเป็นแนวเขตเส้นสำรวจอยู่ ซึ่งหลายจุดพบว่ายังมีข้อที่จะต้องปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงมีมติที่จะให้ผนวกพื้นที่ป่าสงวนเพิ่มเติมเข้ามา

“จากข้อมูลที่ มูลนิธิสืบนาคะเสถียรลงสำรวจพื้นที่พบว่า ป่าสงวนที่เขาจะผนวกเพิ่มเติมเป็นอุทยานแห่งชาติทับลาน 100,000 กว่าไร่เพื่อที่จะชดเชยพื้นที่ที่จะเพิกถอน มันกลายเป็นพื้นที่ที่ชุมชน เข้าใช้ประโยชน์อยู่แล้ว เป็นพื้นที่ที่มีการจัดตั้งป่าชุมชนอยู่แล้วถึง 3 แห่ง การที่จะไปผนวกพื้นที่เหล่านี้เข้ามาเพิ่มเติมมันจะกลายมาเป็นปัญหางอกขึ้นมาให้กับอุทยานฯ แล้วมันก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องของชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ป่าได้ด้วยซ้ำ”

ภาณุเดช เกิดมะลิ 

กรณีที่มูลนิธิฯ พยายามสื่อสารว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ไข่แดงของกลุ่มป่ามรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เนื่องจากทับลานอยู่จุดศูนย์กลางที่อยู่แนวเชื่อมต่อระหว่างสัตว์ป่าและผืนป่าที่อยู่ในบริเวณดงใหญ่ปางสีดา ตาพระยา มาเชื่อมต่อกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พื้นที่ดังกล่าวจึงเป็นไข่แดงของระบบนิเวศ และหากมีการเพิกถอนพื้นที่บริเวณนี้ไปอาจจะกลายเป็นว่าผืนป่าขาดออกจากกัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาเรื่องของระบบนิเวศในพื้นที่

“แต่ว่าการที่หลายท่านเข้าใจผิดคิดว่ามูลนิธิฯ มองว่าตัวชุมชนเป็นไข่แดงของอุทยานแห่งชาติทับลาน ทั้งที่บริเวณการเพิกถอนเป็นพื้นที่แนวขอบอันนี้ไม่ตรงกับที่มูลนิธิฯ พยายามเสนอหรือว่าสื่อสารออกไป แต่การที่ระบุว่าเป็นไข่แดงตรงนี้หมายถึง เป็นไข่แดงในเชิงนิเวศ”

“ตัวชุมชนอยู่แนวขอบก็จริง แต่ว่ามีบางส่วนที่อยู่แนวขอบเส้น 304 ซึ่งตรงนี้อาจจะมีผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายสัตว์ป่าอันนี้อาจจะต้องมีการพิจารณาทบทวนให้ดีเพราะว่าการที่เราจะทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือการเพิกถอนจะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศที่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยสำคัญของสัตว์ป่าที่ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก”

ภาณุเดช เกิดมะลิ 

ภาณุเดช เกิดมะลิ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร 

ภาณุเดช ยังย้ำข้อเสนอหลัก 3 ประการของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ประกอบด้วย

  1. เรื่องของการเพิกถอนพื้นที่แนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลานโดยใช้เส้นปี 2543 มูลนิธิสืบยังมีข้อกังวลว่าควรที่จะทบทวนสำรวจและประเมินแนวเขตตรงนี้ใหม่ อีกทั้งหลายจุดยังมีข้อผิดพลาด และพื้นที่ที่เสนอผนวกเพิ่มกว่าแสนไร่จริง ๆ เป็นป่าชุมชนอยู่แล้ว

  2. รักษาบทบาทของทับลานในฐานะไข่แดงเชิงนิเวศป้องกันไม่ให้การเพิกถอนตัดการเชื่อมโยงของสัตว์ป่าและระบบนิเวศ

  3. แก้ปัญหาแบบแยกกลุ่ม ไม่เหมารวมเพื่อให้ชุมชนที่อยู่มาก่อนอยู่ได้โดยชอบธรรม ในขณะที่ผู้บุกรุกใหม่ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย

“อาจจะต้อง ใช้หลักวิชาการในการที่จะเอามาประกอบที่จะพิจารณาและอาจจะต้องมีการศึกษาในเชิงของยุทธศาสตร์ในพื้นที่ดังกล่าวว่าในภาพรวมแล้วหากเราจะต้องมีการปรับปรุงเรื่องเขตควรจะทำในแนวทางแบบไหนถึงจะเหมาะสมทั้งชุมชนได้สิทธิ์ที่เขาควรจะได้ในขณะเดียวกันสัตว์ป่าก็สามารถที่จะอยู่ในพื้นที่บริเวณนั้นได้ด้วยอย่างชอบธรรม”

ภาณุเดช เกิดมะลิ  

ห่วงสื่อสารสร้างอคติเหมารวม ยื้อ-คืนสิทธิ ที่ดินชุมชนดั้งเดิม 

ในขณะที่ความเห็นจากฝั่ง เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ให้มุมมองว่า แม้ตอนนี้ทางมูลนิธิสืบนาคะเสถียร จะออกมาชี้แจงภายหลังที่มีการตั้งคำถาม ต่อพื้นที่ไข่แดงที่ทางมูลนิธิฯ ยกมาอ้างถึง โดยการชี้แจงไม่ได้หมายถึงพื้นที่ชุมชนเป็นไข่แดงของอุทยานแห่งชาติทับลาน ไข่แดงที่พูดถึงตรงนี้หมายถึงเป็นไข่แดงในเชิงนิเวศ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายสัตว์ป่า จึงอาจจะต้องมีการพิจารณาทบทวนให้ดีนั้น 

แต่ในการสื่อสารผ่านเพจของมูลนิธิฯ ที่เผยแพร่ไปแล้ว ได้กล่าวอ้างสร้างความเข้าใจผิดในเชิงเหมารวม เสมือนว่า พื้นที่ที่จะมีการกันออก เป็นไข่แดงของกลุ่มป่าดงพญาเย็น – เขาใหญ่ ประหนึ่งว่าพื้นที่ 265,286 ไร่ที่จะเพิกถอนจากแนวเขตอุทยานทับลานนั้น เป็นป่าอุดมสมบูรณ์ มีช้าง มีเสือและสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่ ทั้งยังเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่า และย้ำซ้ำ ๆ ว่ากำลังมีบางหน่วยงานจะไปเพิกถอนอุทยานที่เป็นป่าสมบูรณ์ แล้วให้พวกชาวบ้านและนายทุนเข้าไปแผ้วถางป่า ทำให้สัตว์ป่าจำนวนมหาศาลจะไร้ที่อยู่ 

จึงอยากถามมูลนิธิสืบฯ และผู้ที่ต้องการคัดค้านว่า เข้าใจและรู้ข้อเท็จจริงไหมว่า พื้นที่เป้าหมายที่จะเพิกแนวนั้นอยู่ตรงไหน เพราะพูดตลอดเวลาว่าพื้นที่ที่จะเพิกถอนเป็นป่าสมบูรณ์ เป็นไข่แดงของกลุ่มป่าดงพญาเย็น – เขาใหญ่ ซึ่งดูเหมือนพื้นที่ที่พูดถึงนั้นจะเป็นคนละที่กันกับพื้นที่ที่เขากำลังจะไปเพิกถอน หากเป็นเช่นนี้ เป็นการพูดกันคนละเรื่องเพราะพื้นที่เป้าหมายที่จะเพิกถอนเมื่อดูในแผนที่ของกรมอุทยานเทียบกับแผนที่ดาวเทียม เป็นพื้นที่รอบนอกของเขตอุทยานทับลาน ไม่ใช่ใจกลางอย่างที่พยายามอ้าง มีสภาพเป็นทุ่งนา ที่สวน พื้นที่โล่ง เป็นที่ตั้งชุมชนและสถานที่ราชการ ไม่ใช่ที่อยู่ของช้างและเสือ สัตว์ป่าที่ไหนจะเดินมาหากินกลางหมู่บ้าน ทุ่งนาที่ไหนใช้เป็นแหล่งอาหารของสัตว์ป่า  

ชาวบ้านเขาอยู่มานานแล้วและบางส่วนก็ถูกทางราชการนำมาก่อนประกาศเป็นอุทยานฯ ช่วงปี 2506 – 2515 มีการทยอยประกาศเป็นเขตป่าไม้ถาวรและเขตป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่ ต่อมาช่วงปี 2519 – 2521 มีการประกาศให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ต่อมาระหว่างที่ดำเนินการเพิกถอนเขตป่าสงวนเพื่อจัด สปก. กลับไปประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติทับลงที่ชาวบ้านเมื่อปี พ.ศ. 2528 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2534 – 2543 มีการตั้งคณะทำงานปรับปรุงแนวเขตอุทยานฯ ทับลาน มีการดำเนินสำรวจแนวเขตใหม่ร่วมกัน และมีมติ ครม.ให้ดำเนินการเพิกถอน ล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2566 เมื่อจัดทำแผนที่ One Map เสร็จ ก็มติ ครม.ยืนยันให้เพิกถอนแนวเขตอุทยาน 

“บรรดาคนที่คัดค้านอาจต้องการปล่อยให้แนวเขตอุทยานที่ไปขีดทับที่ของประชาชน (ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิ) คาไว้อย่างนั้น โดยเชื่อว่าเมื่อมีแนวเขตอุทยานฯคุมอยู่ จะสามารถแช่แข็งที่ดินบริเวณนั้นไว้ ไม่ให้ชาวบ้านเอาไปขาย หรือทำรีสอร์ท โรงแรม และป้องกันไม่ให้นายทุนเข้าไปกว้านซื้อ เนื่องจากทั้งมูลนิธิสืบฯ และสังคมรู้สึกไม่เชื่อใจ สปก. จึงไม่อยากยกพื้นที่ให้ สปก. ไปดำเนินการ อาจจะหวังดี แต่นั่นอาจกำลังละเมิดสิทธิของคนอื่นที่เขาสุจริตซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ด้วย อีกทั้งในการจัดที่ดิน สปก. ยังมีขั้นตอนกฎหมายที่ใช้กลั่นกรองอยู่แล้ว”

เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล

หากเปิดใจรับฟังข้อเท็จจริง ฟังประวัติความเป็นมาการประกาศแนวเขตป่า และเปิดดูแผนที่ประกอบและมองอย่างเป็นกลางแล้ว การเพิกถอนแนวเขตอุทยานฯ ทับลาน จะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงแนวเขตป่าธรรมชาติของพื้นที่อุทยานฯ และไม่ทำให้พื้นที่ป่าของรัฐลดลงแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้อุทยานฯ ทับลาน ได้พื้นที่ผนวกเพิ่มขึ้นมาอีก 110,000 ไร่ด้วยซ้ำ  

“แต่การนำเสนอของมูลนิธิสืบฯ รวมทั้งคนที่ออกมาคัดค้าน ส่งผลทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า ชาวบ้านเป็นพวกโลภต้องการเงิน หาก รับ ส.ป.ก. จะขายที่ให้นายทุนกันอย่างมโหฬาร ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมรับไม่ได้ แม้จะมีข้อเท็จจริงว่ามีนายทุนเข้าไปกว้านซื้อที่ดินจริง แต่ก็ยังไม่เคยมีข้อมูลจากทางราชการว่าที่ดินตกไปอยู่ในมือของนายทุนเท่าไหร่ คิดเป็นสัดส่วนเท่าใดของพื้นที่ทั้งหมด การพูดแบบเหมารวม ทำให้คนที่สุจริตได้รับความเสียหายไปด้วย”

เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล

ส่วนเรื่องปล่อยให้นายทุนบุกรุก การทุจริตออกเอกสารสิทธิ ล้วนเกิดขึ้นเป็นผลมาจากการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปล่อยปละละเลยหรืออาจมีส่วนในการทุจริต เรียกรับผลประโยชน์ จนปัญหาบานปลาย ซึ่งจะเอาปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐหรือการทุจริตของเจ้าหน้าที่ มาอ้างเพื่อขัดขวางไม่ให้คนส่วนใหญ่ที่สุจริตเสียสิทธิและโอกาสไปด้วยนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งหากใครติดใจเรื่องนี้ก็สื่อสารให้ตรงประเด็น ว่าคุณไม่ไว้ใจกลไกการทำงานของกรมอุทยานฯ ส.ป.ก. ที่ดิน รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมทางศาล ก็ต้องไปกดดันกับหน่วยงานรัฐเหล่านั้นให้ทำหน้าที่ด้วยความตรงไปตรงมา   

 “ลองคิดถึงใจเขาใจเรา สมมติว่าคุณเป็นคนที่นั่น คุณมีบ้านและที่นาที่ตกทอดมาจากปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งถูกอุทยานประกาศทับในภายหลังโดยที่คุณก็ไม่รู้ ทำให้คุณเสียสิทธิและโอกาสที่จะได้เอกสาร ส.ป.ก. ต่อมารัฐบาลมีนโยบายจะไปเพิกถอนแนวเขตอุทยานเพื่อออกเอกสาร ส.ป.ก.ให้คุณ แม้จะมีบางคนที่ขายที่ให้นายทุนบ้าง แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับคุณด้วย แล้วก็มีใครจากที่ไหนก็ไม่รู้มาคัดค้าน กล่าวหาว่าคุณเป็นพวกโลภมาก ที่จ้องจะขายที่ดิน เป็นนายทุน และทำลายที่ป่าสมบูรณ์ที่ถือเป็นจุดไข่แดงของอุทยานที่เป็นที่อยู่ของเสือและช้าง แล้วอย่างนี้คุณจะรู้สึกอย่างไรครับ”

เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล

นอกจากนั้นยังอยากทำความเข้าใจว่า ไม่ได้หมายความว่าเพิกถอนเสร็จแล้ว ที่นั่นใครอยากได้อะไรก็ได้ไป พื้นที่ตรงนั้นถูกประกาศเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน หรือ ส.ป.ก.ครอบเอาไว้ เพราะฉะนั้นการเพิกถอนแนวเขตอุทยานและส่งมอบให้กับ ส.ป.ก.ไปดำเนินการจัดตามกฏหมาย ส.ป.ก. การจัดตามกฏหมาย ส.ป.ก. ก็มีระเบียบมีหลักเกณฑ์มีเงื่อนไขในการจัดอยู่คนที่จะได้รับสิทธิ์ในการจัดที่ดินมีใครบ้าง ก็ต้องเอาระเบียบกฎหมายมากางเลย 

ส่วนแรก เป็นเกษตรกรหรือคนที่เป็นลูกหลานของเกษตรกร เพดานของการถือครองกำหนดไว้ชัด ที่ดินถ้าใช้ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยการเกษตรกำหนดไว้รวมทั้งคุณสมบัติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าคนที่เป็นนายทุนอยู่ข้างนอก จะมาซื้อที่ตรงนั้น ก็จะไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ที่ดินตรงนั้นในรูปแบบ ส.ป.ก.อยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ก็มีกฎหมายการกรองของมันเอง

ส่วนที่สอง ที่เราเห็นก็คือว่า มีบางส่วนที่มีการพิสูจน์สิทธิ์และมีการไปออก นส.3 และออกโฉนดซึ่งเงื่อนไขในการพิสูจน์สิทธิ เพื่อออก นส.3 ออกโฉนด ก็จะเป็นเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายที่ดิน เพราะฉะนั้นในรายที่ได้ครอบครองและก็มีเอกสารการทำกิน เช่นเอกสาร สค.1 กลุ่มนี้ก็จะมีสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน

ส่วนเรื่อง นายทุนที่มาซื้อ ที่ดินแล้วก็สร้างรีสอร์ทสร้างโรงแรมโดยไม่มีคุณสมบัติซึ่งก็เป็นความผิดชัดเจนตามกฏหมายอยู่แล้วก็ต้องไปดำเนินการตามกฏหมาย ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ใช่ทั้งหมดจึงไม่อยากให้เหมารวมเพราะคนที่อยู่ที่นั่น 200,000 กว่าไร่ถามว่ามีนายทุนและกลุ่มคนที่ไปทุจริตโฉนดที่ต้องไปจัดการตามกฏหมายจริงๆนั้นกี่คน ก็ต้องไปว่ากันตามส่วนนั้น ไม่ใช่เอาคนแค่ไม่กี่คนที่ทำผิดตรงนั้น มาเหมารวมคนทั้ง 200,000 กว่าไร่ที่มีสิทธิ์ดั้งเดิมไม่ควรจะได้สิทธิ์เพราะคนบางคนทุจริตอยู่อันนี้ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรม

เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะเลขานุการ กมธ.การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 
สภาผู้แทนราษฎร

ทั้งนี้ มองว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะต้องมีการกำหนดนโยบายใหม่ถึงจะมาทำได้ แต่ในส่วนตัวของกฎหมายเดิมกลไกเดิมมันมีอยู่แล้ว ที่จะต้องทำซึ่งมันเป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่สามารถหยิบมาใช้ได้เลย ไม่จำเป็นจะต้องวางนโยบายใหม่เพราะเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นการที่จะต้องไปออกกฏหมายใหม่มันเดินหน้าได้เลย

“เรื่องนี้หากรัฐบาลเดินหน้าไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เสียรังวัดทางการเมือง แต่เป็นเรื่องที่ได้ด้วยซ้ำไปเพราะการดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์หรือว่าแก้ไขปัญหาเรื่องสิทธิในที่ดินให้กับคนกลุ่มใหญ่คนไม่ได้มาสนใจว่ารัฐบาลไหนประกาศนโยบายอะไรคนสนใจว่าใครเป็นคนแก้ปัญหาให้กับเขาเพราะฉะนั้นอันนี้พูดกันแบบแฟร์แฟร์เลยว่าถ้าพรรคภูมิใจไทยสามารถดำเนินการแก้ไขปัญหา 2.6 แสนไร่ และประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถไปแก้ไขปัญหาให้เขาได้คิดว่าพรรคภูมิใจไทย นั้นมีแต่ได้กับได้และเป็นผลงานของรัฐบาลที่เป็นเชิงประจักษ์เสียด้วยซ้ำ”

เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล 

ในช่วงระยะเวลาที่ดำเนินการมันจะยิ่งทำ แล้วก็สะท้อนให้เห็นว่าต่างกับอีกพรรคหนึ่ง ที่มีแต่การพูดอย่างเดียวแต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยสักอย่าง ปัญหาที่มีค้างค้างคาคาอยู่ไม่ยอมแก้ ไม่กล้าทำด้วยแต่คุณสามารถที่จะทำได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ประกาศเป็นนโยบายเลยทำได้เลยทำง่ายด้วยเดินหน้าแก้ไขปัญหาประชาชนทันทีเรื่องนี้ก็ชัดเจนว่ามีแต่ได้กับได้ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำแล้วอีกฝ่ายนึงเนี่ยก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาเคลมว่าเป็นผลงานของตัวเองได้ด้วยเพราะว่าไม่ได้ลงมือทำ

คณะทำงาน one map เชื่อ แก้ปัญหา ‘ทับลาน’ คืบหน้า 

ในมุมมอง รศ.ธนพร ศรียากูล เห็นว่า หากไปดูข้อเสนอของมูลนิธิสืบฯ โดยลงลึกในรายละเอียด จะเห็นชัดว่าข้อเสนอมีการเขียนไว้โดยแยกเป็นกลุ่ม

กลุ่มหนึ่ง ที่เห็นว่า ควรกันออกได้เลย คือ กลุ่ม ส.ป.ก.อยู่เดิม กลุ่มที่สอง ชุมชนที่เห็นชัดว่าไม่ได้มีสภาพป่าแล้ว จึงเสนอให้ใช้แนวทางตามมาตรา 64 ก็คือบริเวณพื้นที่อำเภอเสิงสาง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตัวข้อเสนอในรอบนี้ของมูลธิสืบฯเองก็มีความละเอียดมากขึ้น ก็ไม่ได้ว่าจะมาคัดค้านกันแบบเหมารวมแบบที่เคยมีปรากฏการณ์ #Saveทับลาน ในครั้งก่อน ด้วยเหตุผลว่าการรับฟังความเห็นรอบนี้ของคณะทำงาน ที่ลงไปทุกตำบล และเมื่อลงไปทุกตำบล ทุกพื้นที่ ก็จะมีเรื่องราวที่ต่างกัน

“อย่างกรณีของอำเภอเสิงสาง เป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่ป่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร และเป็นพื้นที่ที่ถูกจัดให้เพื่อความมั่นคง แล้วก็มีคำมั่นสัญญาของรัฐบาลในอดีต ในมุมของสิทธิชาวบ้านซึ่งเขาอยู่มาก่อนที่จะประกาศเป็นเขตอุทยานเขาถูกละเมิดสิทธิ ข้อเท็จจริงมันตรงกันหมดแล้ว ว่าพื้นที่ตรงนั้นมันไม่ได้ไปกระทบกับพื้นป่า ข้อมูลวิชาการสัตว์ป่าก็จะพบว่าการกระจายตัวของสัตว์ป่าไม่ว่าชนิดไหน ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องในพื้นที่นั้น รวมถึงบริเวณครบุรีด้วยก็เช่นกัน เพราะฉะนั้น จึงคิดว่าสิ่งที่มูลนิธิสืบฯ เสนอไม่ได้มีอะไรขัดหรือแย้งกับแนวทางที่เรารับฟังความคิดเห็น เราจะเห็นได้ว่าตัวข้อเสนอของมูลนิธิสืบก็มีความจำแนกพื้นที่เพิ่มมากขึ้น

รศ.ธนพร ศรียากูล 

แต่พื้นที่ที่มูลนิธิสืบฯ มีความห่วงกังวล ก็จะเป็นพื้นที่คอร์ริดอร์ที่เชื่อมผืนป่าทับลานและเขาใหญ่ซึ่งตรงนี้ มีข้อมูลวิชาการการกระจายตัวของกระทิงและเสือโคร่งจริง แต่จะเป็นพื้นที่ตำบลบุพราม และตำบลวังน้ำเขียวบางส่วน ซึ่งส่วนนี้เอง กรมอุทยานฯ ก็อาจจะใช้มาตรการอื่นในการบริหารจัดการตรงนี้ได้ เพราะว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ป่าอยู่แล้ว นั่นแปลว่าต่อให้พื้นที่ตรงนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ใครที่คิดจะไปทำร้ายสัตว์ป่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่มีคุณค่าต่อระบบนิเวศทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมันมีกฎหมายคุ้มครองตัวสัตว์ป่าด้วย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องแยกให้ออกว่าในเชิงพื้นที่เราแก้ปัญหาได้ โดยที่ตัวสัตว์ป่าเองก็มีกลไกทางกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว

“เพราะฉะนั้นคิดว่า การทำงานที่เราอยู่บนพื้นฐานทางวิชาการ มันจะทำให้ข้อเสนอของฝ่ายอนุรักษ์ กับฝ่ายที่จะต้องรักษาสิทธิ หรือว่าคืนสิทธิความเป็นธรรมให้กับชาวบ้าน มันมีโอกาสที่จะเจอกันได้ ซึ่งต่างจากในอดีตที่ผ่านมาที่ไม่มีทางเจอกันเลย อันนี้คือความต่างและความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น”

รศ.ธนพร ศรียากูล 

 รศ.ธนพร ศรียากูล ประธานคณะอนุกรรมการอิสระเพื่อศึกษากำหนดแนวทางมาตรการเร่งรัดการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ 
(ONE MAP) 

รศ.ธนพร ยังเชื่อว่าการแก้ไขปัญหาจะเดินหน้าและจบลงได้ เพราะว่ากลไกนี้ ตามพระราชบัญญัติที่ดินแห่งชาติ คือต่อให้ประธาน สคทช.เปลี่ยนคน เรื่องก็ต้องเดินต่อในข้อเท็จจริง คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ก็กำลังจะมีการประชุมในเรื่องมติ ครม. วันที่ 14 มีนาคม 2566 คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติใหม่ ที่มีรองนายกฯ ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ก็จะเข้ามารับผิดชอบ ก็เพียงแต่ส่งรายงานฉบับนี้ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็นำเข้าไปประกอบการประชุมคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งหากคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติอยากจะให้คณะทำงานอย่างตนเข้าไปชี้แจงก็พร้อม คิดว่ากระบวนการเหล่านี้ จากการเปลี่ยนรัฐบาลจะไม่มีอะไรสะดุด

“ผมมั่นใจว่าเราจะไปถึงจุดแก้ปัญหาที่มีความคืบหน้าได้ ผมพูดตามตรงว่าบางตำบลอาจจะต้องมีการถกเถียงกันในทางวิชาการอยู่บ้าง ก็เปิดเผยเลยก็ได้ว่าอย่างตำบลบุพราม เพราะข้อมูลวิชาการสัตว์ป่า เพราะมีคอร์ริดอร์จริง ๆ ซึ่งตรงนี้ก่อนที่กรรมการอุทยานแห่งชาติจะเห็นชอบให้มีการปรับปรุงแนวเขตตรงนั้น ก็อาจจะต้องมีการมาคิดอ่านหากระบวนการในการบริหารจัดการพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น นอกจากกระบวนการทางกฎหมายเกี่ยวกับที่ดินอาจจะต้องมาพิจารณาเรื่องมาตรการการดูแลสัตว์ป่าด้วย ซึ่งอันนี้เป็นชุดเดียว ที่ตนเห็นว่าเวลาคุยกันเนี่ยอาจจะต้องมีข้อมูลข้อโต้แย้งข้อมูลทางวิชาการที่ต้องใช้เวลาในการทุกเถียงกันอยู่บ้าง แต่ทางย้ำนะว่าฝั่งเหนือไม่ว่าจะเป็นเสิงสาง ครบุรี สะแกราช อันนี้ต้องย้ำเลยว่าโดยข้อเท็จจริงตอนเนี่ยทุกฝ่ายยอมรับหมดแล้วและข้อมูลทางวิชาการสัตว์ป่าก็ไม่ได้กระจายตัวไปบริเวณนั้น”

รศ.ธนพร ศรียากูล

คณะทำงานฯ ยังได้เตรียมเสนอข้อสรุปการรับฟังความคิดเห็น ต่อ โสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เสนอไปยังคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาหาข้อสรุปในการแก้ไขปัญหานี้

จึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาว่า มหากาพย์ปัญหาข้อพิพาทที่ดินทับลาน ที่ยาวนาน กว่า 40 ปี จะเป็นพื้นที่ต้นแบบของแก้ปัญหาข้อพิพาทที่ดินระหว่างรัฐและชุมชน และจบได้ในรัฐบาลนี้หรือไม่ ?

Author

Alternative Text
AUTHOR

ทัศนีย์ ประกอบบุญ

นักข่าวสายลุย เกาะติดประเด็นแล้วไม่มีปล่อย รักการเดินทาง หลงรักศิลปะบนรองเท้า และชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ