หลังการประกาศผลรางวัล เทศกาลหนังสั้นธีม “สุขภาพจิตเยาวชน” (Youth Mental Well-being) ระดับประเทศที่เพิ่งผ่านพ้นไป (28 ก.ย. 68) The Active มีโอกาสได้ร่วมรับชม 16 หนังสั้นที่เข้ารอบ กับการบอกเล่าปัญหาด้านสุขภาพจิตที่สังคมไทยกำลังเผชิญ
ระยะเวลาฉายหนังเพียง 100 กว่านาที เหมือนทำให้เรารีแคปภาพรวมของสถานการณ์สุขภาพจิตเยาวชนตอนนี้ พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับการถูกคาดหวัง การต่อสู้กับโรคซึมเศร้า การปรับตัวเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และต่างตั้งคำถามถึงความเชื่อ คุณค่าที่มีต่อตนเอง รวมถึงปัญหาการเข้าไม่ถึงการรักษาทางสุขภาพจิต ที่ทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาและพยายามสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่กันด้วยตนเอง
ในจำนวนหนังสั้นหลายเรื่อง มี 2 เรื่องที่ The Active อยากชวนทำความรู้จักให้มากขึ้น ผ่านมุมคิด 2 ผู้ผลิตภาพยนตร์สั้นเรื่องเยี่ยมอย่าง วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ จาก We Are Abdullah (2025) ที่การันตีด้วย รางวัลชนะเลิศจากสาขา Best Micro Film Award และ กุลวดี ทองไพบูลย์ จาก มรดกเงียบ Quiet Legacy, 2025) หนังสั้น รางวัลชนะเลิศจากสาขา Best Project Award
แม้ทั้ง 2 เรื่องนี้ จะไม่ได้ผ่านเข้าสู่รอบ Semi-Final Round ของเทศกาลหลักในสิงคโปร์ แต่ประเด็นในหนัง นั้นคมคายและน่าจับตามองอย่างมาก
นี่คือเรื่องราวของการส่งต่อบาดแผลทางใจ ทั้งความเศร้า ความเจ็บปวด และความเปลี่ยวเหงา พวกมันซ่อนเร้นกายอยู่ภายในตัวเรา กำลังทำงานอย่างเงียบงัน และถูกส่งต่อออกไปให้คนรอบข้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
บาดแผลรุ่นสู่รุ่น (generational trauma) กำลังถูกส่งต่อจากสามีสู่ภรรยา จากลูกสู่หลาน และจากรุ่นสู่รุ่น ความเจ็บปวดมือสองกลายเป็นมรดกตกทอดที่คนรอบข้างไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้จะไม่ยินดีก็ตาม
We Are Abdullah (2025) เมื่อเราทุกคน คือ ‘อับดุลเลาะห์’
We Are Abdullah (2025) หนังสั้นที่บอกเล่าเรื่องราว บาดแผล ของผู้คนในสามจังหวัดชายแดนใต้ จากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ผ่านเรื่องราวของ อับดุลเลาะห์ เงาะ
ย้อนไปเมื่อ 14 ปีก่อน อับดุลเลาะห์ เป็นเพียงคนหนุ่มที่กลับบ้านเกิดมาทำงานที่ร้านซ่อมโทรศัพท์มือถือในตลาดบันนังสตา จังหวัดยะลา วันหนึ่ง เขากลายเป็น บุคคลต้องสงสัย ในคดีลอบวางระเบิด และถูก เชิญตัว จากเจ้าหน้าที่รัฐภายใต้อำนาจ กฎหมายพิเศษ ที่รัฐประกาศใช้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เหตุการณ์ ไฟใต้ ปี 2547
อับดุลเลาะห์ ถูกเข้าควบคุมตัวจากเจ้าหน้าที่รัฐถึง 3 ครั้ง ถูกซ้อมทรมาน และเคยหลบหนี จนถูกจับกุมดำเนินคดีภายใต้กฏหมาย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
แม้ท้ายที่สุด ศาลจะยกฟ้อง และ เขากลายเป็นผู้บริสุทธิ์
แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น สิ่งหนึ่งที่ยังคงตกค้างในตัวเขา คือ บาดแผลทางใจที่ร้าวลึกที่ไม่อาจเยียวยา

ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น ทั้งเขาและคนหนุ่มอีกจำนวนมากที่เคยมีประวัติถูกเชิญตัว จะโดยหมายตาจากเจ้าหน้าที่รัฐไปโดยปริยาย
อับดุลเลาะห์ คือ หนึ่งในอีกหลายชีวิต ที่ต้องเผชิญกับการจับกุม ตรวจค้น คุมขัง กระทั่งเค้นทรมานให้สารภาพจากเจ้าหน้าที่รัฐ โลกใบนั้นเหมือนแดนสนธยา ความรุนแรงของผู้ถูกกระทำไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณะ และไม่มีกระทั่งสิทธิจะได้พูดคุยกับทนายความ
เบียร์ – วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ ผู้กำกับ และโปรดิวเซอร์ หนังสั้น We Are Abdullah (2025) เล่าว่า จุดเริ่มต้นมาจากการลงพื้นที่ในสามจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อเขียนงานสารคดีเกี่ยวกับเรื่องการอุ้มหาย ในปี 2560 ในเวลานั้นทำให้เขาได้เจอกับ อับดุลเลาะห์
“ตอนนั้น เลาะห์มารับหน้าที่เป็นฟิกเซอร์ให้ผม ระหว่างเราขับรถตระเวนไปทั่วปัตตานี ยะลา นราธิวาส เขาก็จะเล่าเรื่องชีวิตเขาให้ฟัง เรื่องของเขามีรายละเอียดอีกมาก จนผมบอกกับเขาตอนนั้นว่า วันหนึ่ง ผมขอเขียนเรื่องของเขานะ แน่นอนว่า อับดุลเลาะห์ รับปาก ”
จนกระทั่ง 6 ปีผ่านมา เบียร์ได้มีโอกาสเขียนเรื่องราวของเขา และเผยแพร่ลงในเว็บไซต์ Hardstories และเรื่องราวของอับดุลเลาะห์และบาดแผลข้ามรุ่นได้รับการแปลเป็นภาษาอิตาลีและอังกฤษตีพิมพ์ในนิตยสาร The Passenger ฉบับ THAILAND
เรื่องราวแสนเจ็บปวดของคนธรรมดาสามัญที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ ด้วยกฏหมายพิเศษ ถูกพัฒนามาเป็นหนังสั้น We Are Abdullah (2025) ด้วยความยาว 7 นาทีนี้ สะท้อนบาดแผลทางใจของผู้คนในสามจังหวัดชายแดนใต้ได้อย่างหมดจด งดงาม
อับดุลเลาะห์ ตัดสินใจก่อตั้ง เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ หรือ JASAD (จาซัด) องค์กรอาสาสมัครที่คอยให้คำปรึกษาเรื่องสิทธิทางกฎหมายแก่ประชาชน โดยเฉพาะชาวมลายูมุสลิม ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มักจะถูกเจ้าหน้าที่รัฐเชิญตัวไปควบคุมตัว และมีความเปราะบางต่อการถูกละเมิดสิทธิต่าง ๆ คอยรับฟังปัญหาและดูแลเยียวยาบาดแผลทางใจ

“ชื่อ JASAD (จาซัด) อ้างอิงมาจากแนวคิดของศาสนาอิสลามว่า มุสลิมทั้งผองคือกายเดียวกัน ชื่อนี้ต้องการสื่อว่าชุมชนมุสลิมควรมีความผูกพัน เอื้อเฟื้อ และเจ็บปวดร่วมกันในทุกข์ของผู้อื่น เลาะห์เป็นคนตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมา เพราะเขาเข้าใจความรู้สึกของผู้ถูกคุมขังว่ามันรู้สึกโดดเดี่ยวและหัวใจแตกสลายมากเพียงไหน”
วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์
เบียร์ ยังบอกด้วยว่า เลาะห์เริ่มต้นจากการรวบรวมสมัครพรรคพวกที่เคยโดนจับกุมมารวมตัวกัน แล้วก่อตั้งเป็นกลุ่มรับฟังสำหรับผู้ได้รับผลกระทบ ครอบครัวไหนที่สมาชิกในบ้านถูกจับกุม พวกเขาจะมาที่สำนักงานนี้ เลาะห์จะให้คำแนะนำข้อกฎหมายและสิทธิที่พวกเขาพึงมีเบื้องต้น ทั้งจากประสบการณ์ตรงของเขาและข้อกฎหมาย เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายมากนัก
นอกจากความรู้ทางสิทธิมนุษยชนแล้ว กลุ่มจาซัดเริ่มเห็นปัญหาอื่น ๆ ที่ตามมา โดยเฉพาะบาดแผลทางใจจากการถูกจับกุมและซ้อมทรมาน ที่ไม่ได้เกิดแต่กับเพียงแต่ผู้ที่ถูกจับกุมเท่านั้น แต่ยังสั่นสะเทือนไปยังผู้คนใกล้ชิดในวงโคจรรอบตัว

หากเปรียบผู้ถูกจับกุมอยู่ในวงกลมชั้นในสุด ชั้นที่สองถัดออกมาคือ ครอบครัว ของพวกเขา และชั้นที่สาม คือ ผู้คนในสังคม
“บางคนไม่สามารถกลับเข้าไปใช้ชีวิตในสังคมได้อีกเลย เมื่อกลับไปที่บ้านก็ไม่ใช่พ่อคนเดิมของลูก ไม่ใช่สามีคนเดิมของภรรยา พวกเขาส่งต่อความเจ็บปวด และสร้างบาดแผลมือสองที่ส่งต่อให้กับคนในครอบครัว”
วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์
จากการที่ลงไปปัตตานีหลายครั้งของผู้กำกับคนนี้ ยิ่งทำให้เห็นว่า บาดแผลของพวกเขายังคงทำงานอยู่ และกำลังถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น แม้กระทั่งกับเด็กเล็ก ๆ ในพื้นที่ หรือที่เรียกว่า (generational trauma)

บาดแผลจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนของอับดุลเลาะห์ เป็นภาพสะท้อนของความเลวร้ายที่เยาวชนในพื้นที่กำลังเผชิญ ทั้งจากประสบการณ์ตรง และความเจ็บปวดจากคนใกล้ตัว
ทุกวันนี้ ที่ชายแดนใต้ ยังมีคนที่หลับตาลงนอนในยามค่ำคืน แล้วเจอแต่ฝันร้ายแบบเลาะห์ ในฐานะของผู้กำกับ จึงอยากให้สังคมเห็นว่า บ้านเรายังมีเรื่องแบบนี้อยู่ อีกหลายคนกำลังเจ็บปวดแบบเดียวกับที่เลาะห์และครอบครัวเผชิญ
“แม้ว่าจะต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม แต่แท้จริงแล้ว พวกเราคือเพื่อนที่อยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน และมีความเป็นมนุษย์เหมือนกันทุกคน”
ผู้กำกับ We Are Abdullah (2025) ทิ้งท้ายบทสนทนา อย่างมีความหวัง
Quiet Legacy (มรดกเงียบ, 2025)
สมบัติแห่งความเศร้า ส่งต่อจากเราสู่ลูกหลาน
หนังสั้นอีกเรื่องที่น่าจับตามอง คือ Quiet Legacy (มรดกเงียบ, 2025) เรื่องราวในครอบครัวของแม่เลี้ยงเดี่ยวกับลูกสาววัย 14 ปี หนังทำให้เราเห็นช่วงเวลาที่เด็กสาวคนหนึ่งกำลังเติบโตพร้อมกับแม่ผู้มีบาดแผลทางใจ
แต่ละวันคืนผ่านไปอย่างว่างเปล่าภายในบ้านที่เงียบงันที่มีเพียงเธอและแม่
ก่อนเด็กสาวจะเกิด แม่ของเธอเป็นเพียงแม่วัยใสที่พลาดพลั้ง แบกรับความกดดันจากครอบครัวที่ล่มสลาย บาดแผลของแม่ไม่เคยได้รับการเยียวยา และส่งต่อความเจ็บปวดและโศกเศร้าจากตัวเธอสู่ลูกสาว

หนังเล่าถึงบาดแผลในใจที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่กลับกำลังทำงานเงียบ ๆ อยู่ภายในบ้าน และภายในใจของทุกคนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง กลายเป็นมรดกความเศร้าที่เจ็บปวด และเงียบงันที่สุด
“เราพูดถึงบาดแผลทางใจในหลายรูปแบบ แต่สิ่งหนึ่งที่เราไม่ค่อยพูดถึงกันนัก คือ emotional neglect หรือ การละเลยทางอารมณ์”
อาจารย์เอ๋ – กุลวดี ทองไพบูลย์ นักจิตวิทยาคลินิก ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ Quiet Legacy (มรดกเงียบ, 2025) เล่าให้เราฟังว่า หนังเรื่องนี้ต้องการพาคนให้รู้จักกับ Intergenerational trauma หรือ ผลกระทบจากความบอบช้ำทางจิตใจ ที่ส่งต่อจากคนรุ่นหนึ่ง ไปยังคนรุ่นต่อ ๆ ไป แม้อาจไม่ได้ประสบเหตุการณ์นั้นด้วยตนเองเลยก็ตาม
“ในหนังจะเห็นว่าคนเป็นแม่ยังติดอยู่กับบาดแผลทางใจ ที่โดนแม่ของตัวเองปฏิเสธ และอยู่ในสภาวะที่ยังจัดการตัวเองไม่ได้ เธอจึงไม่เคยพร้อม หรือ fully available สำหรับลูกเลย เด็กจึงเติบโตมาด้วยการถูกละเลยและปฏิเสธ การต้องดูแลตัวเอง มีปัญหาก็เก็บไว้ในใจ เหมือนเสียงเงียบที่ดังภายในใจตลอดมา”
กุลวดี ทองไพบูลย์
ภาพในหนัง เราจะเห็นแม่หันหลังให้ลูกสาวเสมอในแทบทุกบทสนทนา บาดแผลที่ไม่เคยได้รับการเยียวยาของผู้เป็นแม่สร้างระยะห่างระหว่างสายสัมพันธ์ต่อเนื่องยาวนาน จนส่งต่อความเจ็บปวดให้กับผู้เป็นลูกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่า Intergenerational trauma เกิดจากสาเหตุหลายรูปแบบ ทั้งในภาพใหญ่อย่างสงครามหรือภัยพิบัติ ไปจนถึงหน่วยเล็กที่สุดอย่างครอบครัว ที่ส่งต่อบาดแผลผ่านพฤติกรรมและอารมณ์ของพ่อแม่ ทั้งความกลัว ความเงียบ หรือแม้แต่โครงสร้างทางสังคมที่กดทับ จนส่งผลต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของรุ่นลูกหลาน
ด้วยความที่อีกบทบาทเป็นนักจิตวิทยาคลินิก ตลอดช่วงชีวิตการทำงานของ อ.เอ๋ จึงเป็นเหมือนสนามที่ทำให้เธอมองเห็นมิติทางสุขภาพจิตที่แทบยังไม่มีใครพูดถึง
“เวลาเราพูดถึงบาดแผลทางใจ เรามักนึกถึงการทำร้ายร่างกาย (Physical abuse) หรือการละเมิดทางเพศ (Sexual abuse) แต่สิ่งหนึ่งที่เรามักมองข้ามไป คือ emotional neglect”
กุลวดี ทองไพบูลย์

อ.เอ๋ ยังอธิบายว่า emotional neglect คือ บาดแผลทางใจที่ยังอยู่ภายในและยังไม่ได้รับการเยียวยา คอยส่งเสียงอยู่อย่างเงียบ ๆ ภายในใจ เพราะร่องรอยในอดีตไม่เคยหายไป แต่ปัจจุบันนี้ การถูกละเลยทางอารมณ์ (emotional neglect) แทบไม่เคยถูกฉายให้สังคมเห็นในภาพใหญ่ หนังเรื่องนี้จึงอยากทำให้คนเป็นพ่อแม่ลองหันกลับมาทบทวนตัวเอง ว่าเรากำลังละเลยความรู้สึกของลูกหลานเราไปหรือเปล่า
“เวลาเด็กคนหนึ่งมาปรึกษาปัญหากับแม่ มันแปลว่าเรื่องนั้นมันกระทบใจเขามาก แต่แม่กลับตอบผ่าน ๆ และทำเหมือนมันเป็นเรื่องเล็กน้อย ทั้งที่สำหรับเขามันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก พฤติกรรมเล็ก ๆ แบบนี้ คือจุดเริ่มต้นของการละเลยความรู้สึกของลูก”
กุลวดี ทองไพบูลย์
หากถามถึงมุมมองของ อ.เอ๋ เมื่อสวมหมวกของนักจิตวิทยาคลินิกแล้ว เธอบอกว่า เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าไทยเรากำลังขาดแคลนบุคลากรทางสุขภาพจิตอยากมาก หากรอตั้งรับอย่างเดียว แปลว่าเรากำลังปล่อยให้เยาวชนของเราร่วงหล่น เสียหายทางใจมากขึ้นไปทุกวัน การทำงานเชิงรุก หรือส่งเสริมป้องกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นในเวลานี้
“แม่เคยมีความสุขไหม ?”
นี่คือประโยคสุดท้ายในหนังสั้นเกือบ 7 นาที ที่ลูกสาวถามแม่ เพราะหากแม่ไม่เคยมีความสุขเลย นั่นแปลว่าแม่กำลังส่งต่อ บาดแผลทางใจมาให้ลูกหลาน และยิ่งทำให้พวกเขาพลาดโอกาสในการเติบโตมาอย่างเป็นคนที่มีความสุขด้วย
เพราะครอบครัวคือสังคมที่เล็กที่สุด การเริ่มต้นจากการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในบ้านให้เด็ก ๆ ร่วมกับพ่อแม่ที่ได้รับการเยียวยาบาดแผลทางใจของตนเอง ก็จะลดโอกาสการส่งต่อบาดแผลทางใจให้กับคนรุ่นถัดไปด้วย
แม้ We Are Abdullah (2025) และ มรดกเงียบ (Quiet Legacy, 2025) จะฉายภาพของบาดแผลทางจิตใจที่ต่างสมรภูมิกัน ตั้งแต่ภาพใหญ่ระดับสังคมที่เป็นผลพวงมาจากข้อกำหนดกฎหมาย ไปจนถึงหน่วยเล็กที่สุดของสังคมอย่างครอบครัว

Inspiring Asia Micro Film Festival 2025 – Inspiring Thailand
แต่ภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่อง มีจุดร่วมเดียวกัน คือ การส่งต่อบาดแผลร้าวลึกจากรุ่นสู่รุ่นโดยไม่รู้ตัว บาดแผลนี้กำลังขยายตัวออกไปอย่างไม่สิ้นสุด เกิด เหยื่อมือสอง มากมายนับไม่ถ้วน และพวกมันกำลังทำร้ายพวกเราทุกคนมากกว่าที่คิด
เพราะนี่คือความเจ็บปวดทางใจที่ส่งเสียงอย่างเงียบ ๆ ในสังคมมาโดยตลอด แต่กลับยังไม่เคยมีใครได้ยิน…