ไม่กี่วันที่ผ่านมา เรื่องราวของ กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” อินฟลูเอนเซอร์ที่รู้จักกันในฐานะนักช่วยเหลือสังคม กลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์
หลังเกิดข้อขัดแย้งทางความเห็นกับ “อังคณา นีละไพจิตร” สมาชิกวุฒิสภาและนักสิทธิมนุษยชน ที่ออกมาเตือนรัฐบาลเรื่องการปล่อยให้อินฟลูเอนเซอร์เข้ามามีบทบาทในการกดดันฝ่ายกัมพูชาด้วยวิธีการต่าง ๆ จนอาจส่งผลกระทบถึงเวทีระดับนานาชาติ จากกรณีการนำเครื่องเสียงมาเปิดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาของกัน จอมพลัง
ลามไปถึงรายการโหนกระแส ที่พิธีกรอย่าง กรรชัย กำเนิดพลอย หรือ หนุ่ม กรรชัย เชิญ กัน จอมพลัง, มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง มาเป็นแขกรับเชิญ จนทำให้กระแสดังกล่าวถูกพูดถึงในวงกว้างมากขึ้น
หากย้อนเหตุการณ์ไปถึงบทบาทของ กัน จอมพลัง ในเหตุการณ์ปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 จะเห็นว่าท่าทีของกันจอมพลังเริ่มเป็นที่สนใจเมื่อมีการเปิดรับบริจาคช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งมีประชาชนและคนดังจำนวนมากให้การสนับสนุนและตอบรับเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวถูกตั้งคำถามถึงหน้าที่ความเหมาะสมในการเข้าไปอยู่ในจุดที่รบ และจัดหาสิ่งของจำเป็นให้ทหาร รวมถึงมีการตั้งคำถามว่า เนื่องจากมีหน่วยงานเปิดรับบริจาคมากมาย เช่น โรงพยาบาล ศูนย์พักพิง ซึ่งสามารถบริจาคได้โดยตรง แต่ทำไมคนดังถึงเลือกที่จะบริจาคให้กัน จอมพลัง
นอกจากนี้ บางส่วนยังตั้งคำถามถึงงบบริจาคที่ได้รับว่ามีเท่าไหร่ ซึ่งสะท้อนถึงความโปร่งใสต่อการจัดการเงินดังกล่าว
เหตุการณ์ถัดมาในเดือนสิงหาคม 2568 กัน จอมพลัง ได้ระบุว่าจะขนรถสูบส้วมไปประจำการบริเวณบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และประชาชนบางส่วนสนับสนุนให้พ่นสิ่งปฏิกูลใส่ประชาชนฝั่งกัมพูชาอีกด้วย
เหตุการณ์ดำเนินเรื่อยมาถึงเดือนตุลาคมในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นกระแสบนโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก จากกรณีที่กัน จอมพลัง เปิดเสียงผี บริเวณพื้นที่ชายแดนบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เพื่อให้คนกัมพูชาหวาดกลัว แม้ได้รับความสะใจ แต่มีผู้ท้วงติงเป็นจำนวนมาก ว่าไม่เหมาะสม อาจทำไทยเสียเปรียบระยะยาว และตั้งคำถามว่ามีรัฐบาลหรือทหารรู้เห็นเป็นใจอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เนื่องจากกองทัพไม่ได้มีการห้ามปรามแถมพูดเป็นนััยเชิงสนับสนุนว่าเข้าใจได้ต่อสิ่งที่กัน จอมพลัง ทำ

กรณีดังกล่าว โดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุด ทำให้สังคมไทยแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน โดยจากความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ผ่านเครื่องมือ Zocial Eye ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. (วันแรกที่มีการปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา) ถึงวันที่ 16 ต.ค. 2568 พบว่า มีการพูดถึงกรณี “กัน จอมพลัง” ในเหตุการณ์ “ชายแดนไทย-กัมพูชา” กว่า 74,517 ข้อความ และกว่า 58.02 ล้านเอ็นเกจเมนต์
ความเห็นด้านหนึ่งมองว่าปฏิบัติการของกันจอมพลังทำไปเพื่อผลักดันให้ชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ หลังมีชาวกัมพูชาบางส่วนลี้ภัยมายังประเทศไทยจากเหตุการณ์ความขัดแย้งและการใช้กำลังของกลุ่มเขมรแดงซึ่งการกระทำของกัน จอมพลัง นี้เปรียบเสมือนการปกป้องประเทศชาติและเรียกร้องอธิปไตยให้คนไทยมีที่ดินทำกิน
ผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อยยังเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับความล่าช้าของกลไกรัฐที่ติดอยู่กับระเบียบราชการจึงมองว่าการมี “พลเมืองอย่างกัน จอมพลัง ออกมาแสดงพลัง” เป็นเรื่องดีและสะท้อนให้เห็นถึงความเข้มแข็งของประชาชนไทย เช่นเดียวกับความเห็นของนายกฯ อนุทิน ที่มองว่าการกระทำนี้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
เสียงสนับสนุนดังกล่าวยังได้รับแรงหนุนจากผู้ทรงอิทธิพลในสังคมไทย เช่น
ชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย
วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร
โรจน์ งามแม้น นักวิเคราะห์การเมือง–สังคม
กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรรายการโหนกระแส
เหล่านี้ต่างเห็นตรงกันว่า การเปิดเครื่องเสียงของกัน จอมพลัง ไม่ถือว่าละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและไม่ได้สร้างความเสียหายใด ๆ หากแต่เป็น “สงครามจิตวิทยา” ที่ใช้ต่อสู้กับการยั่วยุจากฝั่งกัมพูชา พร้อมตั้งคำถามถึงนักสิทธิมนุษยชนว่าได้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้คนไทยที่เสียชีวิตแล้วหรือยัง
ขณะเดียวกัน พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีนี้ว่าการเปิดเครื่องเสียงเป็นการแสดงออกเพื่อกดดันชาวกัมพูชาและเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดมาตั้งแต่ต้น
ทั้งนี้ กัน จอมพลัง ถูกยกย่องจากผู้สนับสนุนให้เป็นตั้งแต่ “คนรักชาติ” “แม่ทัพฝ่ายพลเรือน” “ฮีโร่” ไปจนถึง “นายกรัฐมนตรีในฝัน” ของใครบางคน และหวังให้สังคมมีคนออกมากระทำการเช่นเดียวกับกัน จอมพลัง อีกด้วย
อีกด้านหนึ่ง เสียงวิพากษ์กลับมองต่างออกไป เช่น
- อังคณา นีละไพจิตร นักสิทธิมนุษยชน
- สุณัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์
- กัณวีร์ สืบแสง ผู้เชี่ยวชาญด้านสันติภาพและสิทธิมนุษยชน
- ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
รวมถึงประชาชนบางส่วน
เหล่านี้ได้ตั้งคำถามว่า “การกระทำที่สร้างความสะใจเพียงไม่กี่วันนี้ จะคุ้มค่าหรือไม่ หากต้องแลกด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจเสียหายระยะยาว”
- นอกจากนี้ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ไปถึงรัฐบาลที่ปล่อยให้สถานการณ์บานปลาย
- โดยไม่แสดงความชัดเจนในการจัดการปัญหาหรือแสดงจุดยืนในระดับนานาชาติ
- พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การปล่อยให้ความรู้สึกชาตินิยมถูกปลุกขึ้นในลักษณะนี้
- อาจนำไปสู่ “ความเกลียดชังระหว่างประเทศ” มากกว่าการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ
เพราะท้ายที่สุด ความเกลียดชังไม่ได้ทำลายเพียงภาพลักษณ์รัฐบาล แต่ยังย้อนกลับมาทำร้ายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนบริสุทธิ์ทั้งสองฝั่ง ซึ่งไม่ใช่ผู้ที่ควรต้องแบกรับผลของความขัดแย้งระหว่างรัฐ
มากไปกว่านั้น รักชนก ศรีนอก สส.พรรคประชาชน ได้ออกมาตั้งคำถามว่าอินฟลูรายนี้อีกด้วยว่า มีความเชื่อมโยงกับธรรมนัสอย่างไร ซึ่ง ธรรมนัส ก็ยังมีข้อกังขาว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มสแกมเมอร์หรือไม่ รวมถึงการกระทำทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา แท้จริงแล้วมีรัฐบาลหรือทหารคอยรู้เห็นเป็นใจหนุนหลังด้วยหรือไม่
การออกมาแสดงความเห็นสวนทางกับผู้ที่สนับสนุนกัน จอมพลัง กลับสร้างความไม่พอใจกับคนบางกลุ่มจนเกิดการโจมตีทางวาทกรรม เช่น “คนชังชาติ” “คนไทยหัวใจเขมร” หรือ “โลกสวย”
โดยเฉพาะ อังคณา นีละไพรจิตร ที่ถูกโจมตีด้วยข้อความรุนแรง เช่น การถามว่าได้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนให้กรณีอื่น ๆ แล้วหรือยัง หรือด่าทอ เช่น เป็น สว. ไทยใจเขมร ไปจนถึงเรื่องราวการอุ้มหายของสมชาย นีละไพจิตร ผู้เป็นทนายความสิทธิมนุษยชน อดีตรองประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ อดีตประธานชมรมนักฎหมายมุสลิม และสามีของอังคณา นีละไพรจิตร ด้วยถ้อยคำหยาบคายจำนวนมาก
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าความขัดแย้งครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงชายแดนระหว่างประเทศอีกต่อไป แต่ได้ลุกลามจนกลายเป็น “ความแตกแยกภายในสังคมไทยเอง” ทั้งเรื่องกระแสชาตินิยม ความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงบทบาทของสื่อในการนำเสนอประเด็นมี่ละเอียดอ่อน
ชาตินิยม: อาวุธสังหารความเป็นมนุษย์?
เราจะเห็นว่าหลายครั้ง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมมาจากวาทกรรม “รักชาติ-คลั่งชาติ-ชังชาติ” อย่างกรณีของกัน จอมพลัง ก็เช่นกัน ซึ่งสำหรับ ชเนตตี ทินนาม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่าการรักชาติไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีตัวตน รู้ที่มาที่ไปของตัวเอง มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในแบบของเรา จนก่อสร้างมาเป็นอัตลักษณ์ของความเป็นชาติ
เพียงแต่สิ่งที่แฝงมาในคำว่ารักชาติและต้องระมัดระวังให้มาก คือการทำให้ชาติเป็นความขลังจนนำความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ไปสู่ภาวะความสุดโต่งที่เรียกว่าเป็น “ความขลังในชาตินิยม” ซึ่งอาจจะกระทบความแตกต่างอื่น ๆ ในโลกใบนี้ จนเกิดเป็นความรุนแรงอย่างที่เราเห็นตั้งแต่สังคมของเรา ไปจนถึงความขัดแย้งในระหว่างชาติได้เช่นกัน
“เพราะฉะนั้นความรักในชาติต้องอยู่ในความสมดุล แล้วจะต้องมีเลนส์ที่จะต้องไม่ทำให้ความรักชาตินำไปสู่การสร้างความขัดแย้ง จนกระทั่งทำให้อีกฝ่ายอาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด” ชเนตตี ทินนาม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจข้อมูลบนโลกออนไลน์ เราก็จะเห็นว่ายังมีคนบางส่วนอยากแสดงความรักชาติในแบบสันติวิธีหรือพยายามหาความสมดุลขณะที่เกิดความขัดแย้ง อย่างการมองเรื่องสิทธิมนุษยชนนำหน้ากระแสสังคม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการสวนกระแสสังคมที่ท่ามกลางคำว่า “รักชาติ” จะถูกแปะป้ายด้วยวาทกรรม “คนโลกสวย” ในทันทีที่เห็นต่าง
ในอีกด้าน คำว่า โลกสวย สำหรับ ชเนตตี คือวาทกรรมที่พยายามกีดกันความเห็นหรือข้อเสนอที่แตกต่างจากกรอบเดิม ๆ ของสังคม
หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งตั้งแต่การทำร้ายแรงงานชาวกัมพูชา, เรียกร้องให้โรงพยาบาลงดรับผู้ป่วยชาวกัมพูชา, เรียกร้องให้มีการตัดงบฯ การศึกษาเด็กข้ามชาติ ไปจนถึงการเคลื่อนไหวของกัน จอมพลัง บริเวณชายแดน มีความเห็นบนโลกออนไลน์ไม่น้อยที่สนับสนุนเหตุการณ์ดังกล่าว และมองผู้เห็นต่างที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนว่า “โลกสวย” เพราะไม่ตั้งตัวอยู่ในฝ่ายไทยเพียงอย่างเดียว
แต่สำหรับ ชเนตตี กลับมองเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” เป็นแนวคิดที่พยายามทลายข้อจำกัดความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติ พร้อมพยายามทำความเข้าใจผู้ที่ไม่เห็นความสำคัญของสิทธิมนุษยชนว่า ความรู้สึกทั้งหลายเกิดจากความกลัวที่เข้าครอบงำในยามสงคราม
เราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มนุษย์โดยส่วนใหญ่ มักเลือกปกป้องตนเองมากกว่าจะเห็นใจผู้อื่น จนทำให้ความเกลียดชังถูกทำให้ชอบธรรมภายใต้แนวคิดชาตินิยมและความเป็นพวกพ้อง ซึ่งนำไปสู่การยอมรับความสูญเสียของ “อีกฝ่าย” โดยลืมไปว่าทุกชีวิตล้วนมีคุณค่า และคำว่า “สิทธิมนุษยชน” ก็กลายเป็นคำที่ต้องถูกโจมตีทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้งและสงคราม
“เราไม่ควรปล่อยให้ใครถูกสังหารอย่างไม่ยุติธรรมจากความขัดแย้งในการแย่งชิงทรัพยากรอะไรก็ตาม เพราะสิทธิมนุษยชนคือฐานของความเมตตาที่เราควรมีให้กับในความเป็นมนุษย์ แต่ในสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสัญชาตญาณความกลัวถูกปลุกขึ้นมาทำงาน จนทำให้เราหลงลืมความดีงามที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน” ชเนตตี ทินนาม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ทั้งนี้ เราคงไม่อาจตัดสินหรือชี้หน้าใครได้ว่าความคิดเห็นนั้นถูกหรือผิด เช่นเดียวกับ ชเนตตี ที่มองว่า ทุกความคิดหรือความเชื่อของใครก็ตาม มาจากฐานความเชื่อบางอย่างซึ่งอาจเป็นความรู้ ความศรัทธา หรือความจริงที่แต่ละคนยึดถือ ซึ่งหมายความว่าสังคมของเราไม่ได้แตกต่างกันไปทั้งหมด เพียงแต่เรามีความแข็งกร้าวและจุดร่วมบางอย่างในความเป็นมนุษย์ที่ดีงามร่วมกันด้วย
สิ่งสำคัญที่อาจเป็นทางออกจนทำให้ข้อถกเถียงหลายมุมมองจากกรณีกัน จอมพลัง หรือกรณีอื่น ๆ ที่จะทำให้สังคมไม่ไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงกว่านี้ได้คือ “จุดร่วมบนความแตกต่าง” และปล่อยให้ความคิดที่หลากหลายดำรงอยู่ในสังคมอย่างที่ไม่ถูกตัดสินว่าความคิดของใครมีคุณค่ามากน้อยหรือแตกต่างกันอย่างไร
“ความสวยงามของการอยู่ร่วมกันในสังคมคือเราไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกัน และเราทุกคนมีหน้าที่ที่จะเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย” ชเนตตี ทินนาม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ขณะเดียวกัน ศ.เกียรติคุณ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองว่าเราไม่สามารถปล่อยให้สังคมมีกระแสเดียว และเป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องมีเสียงทัดทานจากสังคมในบรรยากาศที่กระแสแรงเช่นนี้
สำหรับสังคมไทย ต้องตระหนักด้วยว่าทุกสังคมบนโลกนี้มีจุดอ่อนเสมอ แม้จุดอ่อนจะทำให้เกิดการระดมความรู้สึก เปลี่ยนความรู้สึกให้นำไปสู่ความเกลียดชังได้ง่ายขึ้น แต่ในทุกสังคมที่มีกระแสตรงนี้ มักมีเสียงอื่นคอยทัดทานเสมอ
ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่สังคมไทยจะต้องเข้าใจให้ได้ คือสังคมจะไม่มีปัญหาที่จะรักชาติหรือคลั่งชาติ แต่อีกด้านก็ต้องเปิดพื้นที่ให้กับเสียงอื่น ๆ เสมอ และเสียงเหล่านั้น ก็จะทำให้การรักชาติหรือมองชาติได้อย่างมีสติปัญญา ไม่ถูกชักนำด้วยอารมณ์ของความเกลียดชังเพียงอย่างเดียว
“ไม่มีสังคมไหนที่จะเจริญทางวุฒิภาวะได้โดยที่มีรากฐานของการระดมความเกลียดชังมาสรรสร้าง” ศ.เกียรติคุณ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ท้ายที่สุด กรณีของ “กัน จอมพลัง” จึงไม่ใช่เพียงความขัดแย้งระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน หากแต่สะท้อนถึงการที่เราใช้ความรักชาติมาเป็นอาวุธในการตัดสิน การใช้ความเกลียดชังมาเป็นเครื่องมือ การเลือกปฏิบัติเพียงเพราะเชื้อชาติที่แตกต่าง จนเราอาจลืมไปว่า แก่นแท้ของความรักชาติไม่ใช่การยืนอยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แต่คือการมองชาติโดยไม่ได้ผลักใครเป็นอื่น
และในวันที่เราไม่ได้เป็นเพียงพลเมืองไทยเท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองโลก เราก็ควรให้ความสำคัญกับ “ความเป็นมนุษย์” และเข้าใจใน “สิทธิมนุษยชน” นำไปสู่การเคารพในความแตกต่างหลากหลายที่มีอยู่บนโลกใบนี้ เพราะทั้งหมดนี้ต่างหากคือรากของความเข้มแข็งที่แท้จริงของความเป็นชาติที่เรารัก