ฝ่ารอยร้าว ก้าวต่อด้วยความหวัง : อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต 1 ทศวรรษ TEDxBangkok

เมื่อ 10 ปีก่อน ในโลกที่ยังไม่เต็มไปด้วยอินฟลูเอนเซอร์เหมือนเช่นทุกวันนี้ TEDxBangkok เกิดขึ้นมาเป็นพื้นที่สำหรับ Hidden gems กลุ่มคนลับ ๆ ซ่อนอยู่ในกรุงเทพฯ ที่ยังไม่มีชื่อเสียง กลุ่มคนที่ลงมือทำจริงแต่ไม่ค่อยได้พูด นี่คือหน้าที่ของ TEDxBangkok เวทีที่เปิดโอกาสให้คนเหล่านี้ ได้มาเล่าเรื่องราวของตัวพวกเขาเอง

เวลาผ่านมาแล้วหนึ่งทศวรรษตั้งแต่งาน TEDxBangkok ครั้งแรกในปี 2015 เวทีพูดคุยประเด็นต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และขยายไปถึงปัญหาต่าง ๆ ในสังคมเกิดขึ้นตามมามากมาย ในวันนี้ รูปแบบของเวที TED อาจจะไม่ได้ดูเท่หรือสดใหม่เหมือนที่เคยจัดเมื่อ 10 ปีที่แล้วอีกต่อไป แล้วบทบาทของ TEDxBangkok จะไปในทิศทางไหนต่อ

The Active ชวนหาคำตอบกับ พิ – พิริยะ กุลกาญจนาชีวิน License Holder ของ TEDxBangkok เพื่อค้นหาความสำคัญของการมีอยู่ของ TEDxBangkok จากผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง กลไกของคนทำงานอาสา และที่ความตั้งใจที่ยังคงอยู่มาตลอด 10 ปี

อดีตเวทีเปลี่ยนคน คนเปลี่ยนเมือง

TEDx เป็นงานทอล์กที่เริ่มต้นจากสหรัฐฯ มุ่งเน้นสื่อสารประเด็นตามตัวอักษร 3 ตัว ซึ่งคือ T E และ D ได้แก่ เทคโนโลยี (T : Technology) ความบันเทิง (E : Entertainment) และการออกแบบ (D : Design) ผ่านเรื่องราวหลากหลาย

ผู้ร่วมก่อตั้งเอเจนซี่เล่าเรื่องแบบสร้างสรรค์ Glow Story ผู้ถือลิขสิทธิ์ TEDxBangkok และ TEDxBangkokYouth อย่าง พิริยะ ก็ยังไม่กล้าอ้างว่า TEDxBangkok เป็นเวทีที่เปลี่ยนโลกหรือเปลี่ยนสังคมไทย เพราะระยะเวลาที่ผ่านมา ปัญหาเดิม ๆ ที่เคยพูดถึงกันมาหลายปีบนเวที ก็ยังคงวนเวียนอยู่ 

“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอร์รัปชันที่ดูเหมือนจะหนักขึ้นทุกที เรื่องโครงสร้างใหญ่ ๆ ที่กระทบคนเล็ก ๆ”

พิริยะ ยกตัวอย่าง

สิ่งที่ TEDxBangkok ทำได้จริง ๆ พิริยะ มองถึงการสร้างผลกระทบในระดับที่ใกล้ตัว ไม่ว่าจะในระดับของผู้ฟัง อาสาสมัคร หรือสปีกเกอร์ก็ตาม อย่างที่พิริยะ บอกว่า “ยิ่งใกล้ TED ยิ่งเห็นผลชัดเจน”

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเรื่องราวของ องค์กร Mayday ที่ตั้งเป้าหมายเปลี่ยนระบบป้ายรถเมล์ในกรุงเทพฯ เมื่อ แวน – วริทธิ์ธร สุขสบาย จากเพจ Mayday ถูก พิริยะ ชวนให้ขึ้นเวที TEDxBangkok ในปี 2017 พิริยะ เล่าว่า “เขาไม่ใช่นักพูดโดยธรรมชาติ” แต่ก็ได้ทีมคิวเรเตอร์ (Curator) ค่อย ๆ สร้างความมั่นใจให้เขา ช่วยให้เขาเชื่อในตัวเองและในสิ่งที่ทำ

วริทธิ์ธร สุขสบาย
(ที่มา : TEDxBangkok)

ทอล์กผ่านไปได้ด้วยดี แต่ผลลัพธ์ไม่ได้จบบนเวที TEDx กลางห้องประชุม คนที่มาฟังไม่ได้แค่รับความรู้แล้วกลับบ้านเท่านั้น แต่สัปดาห์ต่อมาทีมงาน TEDx แห่งนี้ ก็มีการชวนคนลุกขึ้นมาช่วยเก็บข้อมูลป้ายรถเมล์ในกรุงเทพฯ ท่ามกลางความร้อนระอุของอากาศเมืองไทย ช่วยสนับสนุน ผลักดัน และลดภาระของทีม Mayday ที่ต้องเก็บข้อมูลจำนวนมาก

จนกระทั่งวันนี้ แวนเห็นสิ่งที่เขาอยากเห็น ป้ายรถเมล์เปลี่ยนแปลงไปด้วยผลงานของ Mayday การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้กลับเกิดขึ้นจริง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวทีแห่งนี้

สนามเด็ก TED เล่น ให้ทุกคนโตไปด้วยกัน

TEDxBangkok ไม่ใช่แค่เวทีสำหรับสปีกเกอร์ แต่ยังเป็น สนามเด็กเล่น ให้สำหรับทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง สปีกเกอร์หลายคนที่เติบโตผ่านเวทีนี้ ภายหลังกลายเป็นผู้นำในวงการต่าง ๆ พวกเขาไม่ได้แค่พูดและจากไป แต่ชวนกันทำโปรเจกต์ที่มีความหมาย โปรเจกต์ที่พยายามแก้ปัญหาในระดับโครงสร้าง หรืออย่างน้อยก็ช่วยแก้ปัญหาบางเรื่องได้จริง

สำหรับอาสาสมัครหลายคน TEDxBangkok เป็นจุดเปลี่ยนชีวิต บางคนทำ TEDx แล้วลาออกจากงานเดิม หางานใหม่ เจอความหมายของตัวเองว่าอยากทำงานอะไรจริง ๆ อย่าง ฝน อาสาสมัคร TEDxBangkok ที่เพิ่งกลับจากสิงคโปร์ เคยถามตัวเองว่าจะใช้ชีวิตหาเงินไปเรื่อย ๆ แบบนี้เหรอ หลังจากทำ TEDx เธอได้แรงบันดาลใจ และตัดสินใจลาออกมาเปิดบริษัท MoreLoop เพื่อต่อกรปัญหา fast fashion

หรือบางคนได้คู่ชีวิตจากการทำงานร่วมกัน เหมือนที่ พิ และ บี๋ – นภัส มุทุตานนท์ Co-organizer ที่เริ่มทำความรู้จักกันจากการเป็นทีมงาน TEDxBangkok แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนสถานะเป็นสามีภรรยาหลังผ่านมากว่าสิบปี

ศิลปินที่เคยช่วยทำงานต่าง ๆ ให้งาน ภายหลังก็ก้าวไปเป็นศิลปินที่เจ๋งขึ้น คนที่เคยเดินไปมาในงานเมื่อสิบปีที่แล้ว วันนี้กลายเป็นคนที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น

พิริยะ ยังยกตัวอย่างอาสาสมัคร TEDxBangkok หลายคนตลอดช่วงทศวรรษ ที่ตอนนี้หลายคนก็ได้เติบโตไปขับเคลื่อนสังคมในบทบาทต่าง ๆ เช่น

  • ศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ กทม.

  • เฌอปราง อารีย์กุล อดีตผู้จัดการวง BNK48

  • ต้อง – กวีวุธ เต็มภูวภัทร Head of Venture Builder, SCB 10X และเจ้าของเพจ แปดบรรทัดครึ่ง

  • พัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารงานลูกค้า และความยั่งยืน ประจำประเทศไทย Alliance Ayuthaya

ทุกปีที่กลับมาจัดงาน ทีมงานจะเจอแฟน ๆ ที่มาตั้งแต่ปีแรก ๆ พูดว่า “ขอบคุณที่ยังจัดอยู่” อาสาสมัครและสปีกเกอร์ที่ก็ยังกลับมาสะท้อน สานต่อความสัมพันธ์ ซึ่งกลายเป็นเชื้อเพลิงให้ทีมงานทำงานปีต่อ ๆ ไป แม้การทำงานที่นี่จะไม่ได้มีทุนเรื่องเวลาหรือเงินให้ก็ตาม

กระบวนการช่วยให้คนเก่ง กล้าเล่าเรื่อง

พิริยะ พูดถึงวลีที่ได้ยินมุกตลกบ่อย ๆ ที่ชอบแซวว่า “ประเทศไทยดีไปหมด แต่อาจจะยังขาดคนเก่ง”

ไทยไม่ได้ขาดคนเก่ง แต่อาจจะขาดคนกล้า ที่กล้าลุกมาพูดในเรื่องที่ตัวเองเชื่อ และ TEDxBangkok มีกระบวนการที่ช่วยให้สปีกเกอร์ได้มาเล่าเรื่องของตัวเอง”

ก่อนที่สปีกเกอร์จะได้ขึ้นมาพูดบนเวที TEDxBangkok จะต้องผ่านกระบวนการคิวเรท ค้นหา สะท้อนเส้นเรื่องตัวเอง แล้วถึงจะได้ขึ้นไปเล่าเรื่องราวในมุมของตัวเองอย่างมั่นใจกับคนนับร้อยนับพันคน เป็นกระบวนการที่ทีมงานจะค่อย ๆ ทำความรู้จักคนคนหนึ่ง และตามหาแก่นของไอเดียไปพร้อม ๆ กัน

พิริยะยกตัวอย่างกรณีของ ตูน – ชยานันท์ อนันตวัชกร ช่างซ่อมถ้วยชาด้วย Kintsugi (คินสึงิ) หนึ่งในสปีกเกอร์ของปี 2025 นี้ พิริยะ ระบุว่า ในความเป็นจริงแล้วกระบวนการคินสึงิดังกล่าวใช้เวลานาน การบีบกระบวนการต่าง ๆ ให้เล่าได้ในระยะเวลา 18 นาทีจึงเป็นเรื่องยากและท้าทาย แต่สิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกในสายตาของคิวเรเตอร์คนนี้ว่า “เรื่องนี้จะเล่ายังไง ?”

ชยานันท์ อนันตวัชกร
(ที่มา : TEDxBangkok)

ปรัชญา TEDxBangkok คือ ความเพียว

สิ่งที่ทำให้ TEDxBangkok แตกต่าง คือความ on brand ด้วยกฎของ TED ที่ทำให้เวทีถูกสร้างขึ้นด้วย ความเพียว (บริสุทธิ์) จากการมีกฎ TEDx เพื่อช่วยตีกรอบความเป็น TED เช่น

  • สปีกเกอร์ห้ามเป็นสปอนเซอร์โดยตรงให้กับกิจกรรม

  • ผู้ช่วยเหลืองานเป็นระบบอาสาสมัคร

  • สปีกเกอร์ทุกคนที่ขึ้นพูดไม่ได้รับค่าตัว

หลายเวทีอื่น ๆ มีคนจ่ายเงินเพื่อเป็นสปีกเกอร์ หรือแบรนด์ดึงคนดังมา แต่ TEDxBangkok ไม่ได้จ่ายค่าตัวสปีกเกอร์เลยตลอดสิบปี ถึงแม้เป็นอย่างนั้น แต่สปีกเกอร์ก็เตรียมตัว และทุ่มเทเวลามาซ้อม ทุกคนเต็มที่มาก ๆ ซึ่งมันมีเหตุผลของความตั้งใจเหล่านี้อยู่

อีกหนึ่งเหตุผลหลักคือ TED เป็นแบรนด์ที่สามารถส่งไอเดียท้องถิ่นไปสู่ระดับโลก คลิปวิดีโอการทอล์กจะถูกรวบรวมและอัปโหลดไปรวมกับเวที TED รอบโลกอยู่ในแพลตฟอร์มใหญ่ เพิ่มการเข้าถึง มองเห็น และโอกาสที่คนรอบโลกจะได้รับฟังและได้ส่งแรงบันดาลใจต่อ

คนมาพูด คนมาฟัง รู้สึกได้ เวลาที่ควรจะได้เงิน แต่เอาเวลามาทำสิ่งนี้ทำไม ? เรายังได้สายตาแบบนั้นจากสปีกเกอร์ทุกปี ยิ่งปีนี้ครบสิบปี ทุกคนที่ส่งใบสมัครเข้ามายังชื่นชมกับพื้นที่นี้อยู่

พิริยะ ถือบทบาทคิวเรเตอร์และผู้ถือลิขสิทธิ์ TEDxBangkok ผู้มีแนวทางการทำงานที่เน้นการคุยหาประเด็นที่คนอยากจะส่งต่อ แค่เปิดเลนส์ดู 

“ทุกคนสามารถเป็น TED สปีกเกอร์ ได้ ทุกคนมีเรื่องราว มีไอเดียในการใช้ชีวิตที่ต่างกัน แค่มีพื้นที่ มีคน build เขาก็พร้อมแชร์”

พิริยะ ระบุ

ความยากของกระบวนการการจัดทอล์กอยู่ที่ตอนเลือก ด้วยระยะเวลาที่จำกัด พิริยะ รับบทบาทที่ต้องดูว่าสปีกเกอร์พร้อมแค่ไหน เข้ากับธีมปีนั้นหรือไม่ และมีความหลากหลายหรือเปล่า 

“เมื่อเจอของดี อยากให้คนอื่นรู้ แล้วจะเล่ายังไง? นี่คือความสนุกของการคิวเรท”

พิริยะ ระบุถึงความท้าทาย

กระจายตัว เยาวชนส่งเสียง

นอกจากเวทีของผู้ใหญ่แล้ว TEDxBangkok ยังก้าวเข้าไปในพื้นที่ที่ พิริยะ มองว่าควรจะมีเวทีมากที่สุด แต่กลับขาดแคลน นั่นคือพื้นที่เยาวชนในระบบการศึกษา ที่ยังขาดพื้นที่การสื่อสารอยู่

“เด็ก ๆ ในโรงเรียนยังไม่มีพื้นที่ให้ออกไอเดีย จึงได้เกิด TEDxBangkokYouth ที่เปลี่ยน student tป็น speaker และ teacher เป็น curator”

พิริยะ ย้ำที่มา

ทีมงาน TEDxBangkok จึงทำกระบวนการจัดเวิร์คช็อป ช่วยเด็ก ๆ ในกรุงเทพฯ สร้างพื้นที่ปลอดภัย และช่วยขยายผลลัพท์จากเวทีใหญ่ ให้กระจายตัวคนจัด คนฟัง ให้กว้างขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ

“ช่วงนั้นเป็นยุคที่ทีมตื่นเต้นกับ scale impact และ TED ecosystem มาก ๆ เมื่อก่อนใช้แรงทั้งปีแต่ขยายไอเดียได้สิบกว่าที่ แต่พอลองโมเดล TEDxYouth ก็ได้รู้ว่า เราไม่ต้องวิ่งไปทุกเวที โรงเรียนสามารถไปจัดเอง ไปแทรก TED เป็นชมรม เป็นวิชาในโรงเรียน เริ่ม disrupt ในโรงเรียน แทรก TED ไปในวันภาษาไทย วันวิทยาศาสตร์ ไปปรับให้เหมาะกับบริบทของโรงเรียนแต่ละแห่งได้เอง”

พิริยะ ขยายความ

หลายปีผ่านมา มีทอล์กกับเด็ก ๆ เป็นพัน ๆ ทอล์ก ให้ได้แทรกสร้างพื้นที่ในโรงเรียน ไม่ใช่แค่เด็กเก่ง แต่มีทั้งคนที่ชอบอยู่หลังห้อง พื้นที่กว้างขึ้น ฐานยังเป็นร้อยโรงเรียนอยู่ คนเคยจัดมาสอนน้อง ๆ ต่อ การขยายผลแบบนี้สร้างแรงทำที่มากกว่าการจัดงานเพียงปีละครั้ง

ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา ได้มีการจัด TEDx ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในรูปแบบของ TEDxYouth ฟังเสียงเยาวชนไม่น้อยกว่า 60 ครั้ง และ TEDxUniversity ที่เด็กมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดเวทีไม่น้อยกว่า 18 ครั้ง

3 ยุคเปลี่ยนผ่าน จากห้องประชุมสู่ผู้คน

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พิริยะ ได้นำพา TEDxBangkok ผ่าน 3 เฟสที่สะท้อนการเติบโตและการปรับตัวของเวทีใหญ่สู่ผู้คนกรุงเทพฯ ให้ได้เข้าถึงทอล์กในรูปแบบต่าง ๆ

เฟสที่ 1 : ห้องประชุม

ใน 3 ปีแรกของการก่อตั้ง เป็นรูปแบบดั้งเดิมของเวที TEDx ที่เราพบเห็นได้บ่อย ๆ มีสปีกเกอร์พูดบนเวทีในห้องประชุม ธีมเปลี่ยนตามที่อาสาสมัครสนใจในปีนั้น ๆ

  • ปี 2015 Catching the Ripples: ปีแรกของการจัดใหม่ อยากรู้ว่าชีวิตจะเคลื่อนไปถึงไหน คลื่นขยับไปทางไหน จ้องมองรอยกระเพื่อมเล็ก ๆ เหล่านั้น

  • ปี 2016 Learn Unlearn Relearn: ปีที่สองเริ่มมั่นใจขึ้น เรื่องที่ติดในหัว ติดกรอบ จะ unlearn สิ่งนั้นยังไง ? ธีมดันให้สปีกเกอร์ดันหาคำตอบไปด้วยกัน

  • ปี 2017 Little Things Mingle: หันมาตั้งคำถามว่า พวกเขาที่เป็นอาสาคนเล็ก ๆ รวมตัวแล้วจะเปลี่ยนอะไรได้จริงเหรอ ?

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทอล์กมีคนเข้าถึงและรู้จักเยอะ เป็นรูปแบบ TED Talk ที่คุ้นเคย

เฟสที่ 2 : การทดลอง

หลังจาก 3 ปี ทีมงานเริ่มเบื่อ TED จะไปยังไงต่อ ? จัดแบบนี้ 10 ปีเลยหรือ ? ยุคที่ 2 จึงเป็นเรื่องการทดลองให้ TED เป็นอะไรที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมได้มากขึ้น มากกว่าการมาถ่ายรูปในห้องแอร์ แล้วกลับบ้าน

จึงเกิดธีม Ideas to Action ในปี 2018 เป็นงานรูปแบบ Adventure Day ที่สปีกเกอร์ได้มาพูดในพื้นที่จริง ๆ อย่างเช่น ปากคลองตลาด หรือผู้ฟังได้ไปคุยกับนักข่าวที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสว่า สื่อเป็นยังไง บทบาทของการทอล์กจึงเริ่มเคลื่อนออกจากห้องประชุมไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ

ในช่วงนี้ยังเกิด TEDxBangkok Youth เป็นช่วงที่พิริยะเล่าถึงความตื่นเต้นกับ scale impact สาดแสงไฟไปยังเด็กและเยาวชน และการขยายระบบนิเวศของ TED ให้กระจายทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ

เฟสที่ 3 : กลับสู่ผู้คน

ช่วงที่กลับมาจากเหตุการณ์โควิด กลุ่มเยาวชนยังจัดงานเวทีกันต่อ แต่ TEDxBangkok ไม่ได้จัดถี่เช่นทุกปีที่ผ่านมา เหตุผลการกลับมาเป็นเพราะคำถามของอาสาสมัครจากสถานการณ์โควิด ทำให้เกิดงานธีม Awake : Into the new Destination ในปี 2020

“ช่วงโควิดมีคำถามว่า โควิดเป็นสิ่งใหม่ เราทนอยู่ในห้องมานานแล้ว แล้ว TED จะทำอะไรได้ไหม ?”

เป็นช่วงที่เราต้องปรับตัว การประชุมในช่องทางออนไลน์เป็นเรื่องใหม่ หรือแม้แต่จัดงานรูปแบบ Hybrid แม้แต่ TEDxBangkok เอง ก็เริ่มปรับตัวและทดลองจัดงานรูปแบบใหม่ ๆ เช่น ลองส่งกล่องไปถึงบ้าน ให้ผู้ชมมีส่วนร่วมผ่านเครื่องมือต่าง ๆ หรือแทนที่จะจัดเลี้ยงหลังงานในร้านอาหาร ก็ทำ potluck ร่วมสร้างมื้ออาหารไปด้วยกันเลย จึงได้กลายเป็น TED ในรูปแบบที่ซุกซนขึ้น และปรับตัวกับสถานการณ์มากขึ้น

ถ้ามันไม่ใช่โรงละคร สถานที่ไหนในกรุงเทพฯ ที่นับเป็นไอคอนิก ? ก็คงนึกถึงหัวลำโพง

ในปี 2023 TEDxBangkok กลับมาอีกครั้งในธีม see sound seen ณ สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เปิดประตูให้คนใหม่ ๆ ได้เข้ามาดู คนที่เดินทางด้วยรถไฟ หรือคนที่ผ่านไปผ่านมา ก็แวะเดินเข้ามายืนดูทอล์ก ทำให้เวที TEDx อยู่ใกล้พื้นที่กับคนในเมืองมากขึ้น

ปัจจุบัน

TEDxBangkok 2025 : สำรวจรอยร้าว ผ่านธีม Through the Cracks

หรืออย่างธีมในปีนี้ ที่มีต้นตอมาจากความกังวลและคำถามของ พิริยะ และคนในกรุงเทพฯ เอง หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่เมื่อเดือนมีนาคม รอยร้าวได้เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ แล้ว เวที TEDx ในปีนี้ด้วยธีม Through the Cracks ก็จะทำหน้าที่ตอบความกังวล คลายข้อสงสัย และเปิดเผยรอยร้าวให้ได้เห็นมากขึ้น

ตอนแรกทีมยังไม่แน่ใจว่าจะกลับมาจัดหรือไม่ แต่ในโมเมนต์ที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว ทุกอย่างเปลี่ยนไป

พิริยะ จำได้ว่าตอนนั้นกำลังขายงานแถวถนนเพชรบุรี กำลังจะขึ้นลิฟต์ แต่แผ่นดินไหวเสียก่อนเลยรีบออกจากตึก เขาเห็นคนตื่นตระหนก วิ่งกันลงมาบนถนนเหมือนหนังภัยพิบัติ เขานึกถึงคนที่บ้าน กลับบ้านมาสะท้อนกันว่าการสั่นไหวครั้งนี้ตั้งคำถามกับชีวิตว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์สะเทือนเมืองดังกล่าว

“เราเลือกคว้าอะไรเป็นอย่างแรก ?”

หลังจากวันนั้น พิริยะ พบว่า ตัวเขาเองมองขวดน้ำและโคมไฟบ่อยขึ้น

หลังแผ่นดินไหว พิริยะ จึงถามไปยัง ศ.สันติ ภัยหลบลี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา ให้ช่วยเล่าเบื้องหลังแผ่นดินไหว ได้คำตอบว่า กรุงเทพฯ ยังปลอดภัย

ศ.สันติ ภัยหลบลี้
(ที่มา : TEDxBangkok)

ยกเว้นแต่ตึก สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่เป็นเพียงตึกเดียวที่ถล่มจากเหตุการณ์ดังกล่าว นำไปสู่การพูดคุยกับ อ.มิก – ผศ.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้ก่อตั้ง iTAX เรื่องการตรวจสอบองค์กร ที่มีหน้าที่ตรวจสอบคนอื่น 

ผศ.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์
(ที่มา : TEDxBangkok)

ประเด็นดังกล่าวยังพาให้ พิริยะ ได้ไปพูดคุยกับ ออม – ณัชนาถ กระแสร์ชล นักศิลปะบำบัด ที่พบเจอเด็กฝันร้ายเพราะเหตุการณ์แผ่นดินไหว ปิดไฟไม่ได้ พ่อแม่พาเด็กมาเจอนักจิตวิทยา ค่อย ๆ ชวนเขามองมุมใหม่ เบื้องหลังความกลัวมีเหตุผลไหม ? ชวนใช้เครื่องมือการบำบัด ช่วยให้เด็กและเราอยู่ร่วมกับความกลัวได้

ณัชนาถ กระแสร์ชล
(ที่มา : TEDxBangkok)

แผ่นดินไหวเป็นแค่รอยร้าวครั้งแรก แต่หลังจากนั้น มีอีกหลายเรื่องที่เห็นชัดขึ้นในสังคมไทย

ยกตัวอย่างเช่น ข่าวฉาวเรื่องพระ พิริยะ นึกถึง พัฒน์ชัย ภักดีสู่สุข หรือ ปั๊ป Potato ศิลปินและนักแสดงที่รับบทบาท หลวงพี่ ในซีรีส์ สาธุ ซึ่ง พิริยะ ระบุว่า ปีนี้เป็นปีของเขา ซึ่งสุกงอมในฐานะนักดนตรี มิหนำซ้ำกระบวนการคิวเรทยังเหมือนได้ฟังพระเทศน์

พัฒน์ชัย ภักดีสู่สุข (ปั๊ป Potato)
(ที่มา : TEDxBangkok)

หรืออย่างเรื่องสงคราม ความขัดแย้งต่าง ๆ พิริยะนึกถึง สิงห์ – วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ซึ่งก็ได้อธิบายว่า มันเป็นเรื่องปกติของธรรมชาติที่ก็มีรอยร้าว แค่วางใจ รู้ว่ามองด้วยเลนส์ไหน ก็ทำให้อยู่กับสิ่งนี้ได้ง่ายขึ้น 

วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
(ที่มา : TEDxBangkok)

“เมื่อเกิดรอยร้าว เจอปัญหา ลองทำความเข้าใจ ก็จะวางใจได้มากขึ้น”

พิริยะ ระบุ

ธีม รอยร้าว ในปีนี้ จึงเป็นการชวนมองบาดแผลของสังคมไทยในมิติต่าง ๆ ไม่ใช่แค่มิติแผ่นดินไหว แต่รวมไปถึงเชิงศิลปะ ดนตรี ระบบราชการ ไปจนถึงความรักและสันติภาพ 

สำหรับ พิริยะ รูปแบบ TEDx ปีนี้ตั้งธงชัดเจนมาก อยากให้ทุกคนในกรุงเทพฯ ที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ลองเอาเวลาบ่าย ๆ วันเสาร์สักวันมารวมตัวกันเหมือนล้อมรอบกองไฟ คุยกันว่าชีวิตเราเป็นยังไง เรามีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์มาแชร์รอบกองไฟ จึงเป็นที่มาของการกลับไปสู่รูปแบบเวทีในห้องประชุมใหญ่ ๆ กลับสู่ทอล์กที่เรียบง่าย

ล้อมกองไฟ : ทำไม ? เรายังต้องออกมาฟัง TEDx

ในยุคที่มีคอนเทนต์อย่างอินฟลูเอนเซอร์ให้ได้ฟังเกลื่อน YouTube TikTok หรือการอยู่ในยุค AI ทำไมคนต้องออกจากบ้านเพื่อไปนั่งฟัง TEDx งานที่ผ่านไปก็จะมีการอัพโหลดให้ได้ฟังฟรี ๆ อยู่ดี ?

เหมือนการล้อมกองไฟ”

พิริยะ เล่าเปรียบวงทอล์ก TED ไปถึงตั้งแต่ยุคล่าสัตว์ คนตั้งหน้าตั้งตาทำงาน พอตกเย็น บ่าย ๆ วันเสาร์อาทิตย์สักวัน เรามารวมตัวล้อมกองไฟ คุยว่าชีวิตของเราเป็นยังไง เรามีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์มาแชร์รอบกองไฟ

TED ก็ปรับตัวมาจากตรงนั้น จากวัฒนธรรมล้อมกองไฟ คอนเซ็ปต์การพูด 18 นาที หรือสปีกเกอร์ขึ้นไปเล่าเรื่องแบบตัวเปล่า เป็นรูปแบบที่อยู่ในพื้นฐานของคน

การจ้องตา ฟังเสียง แลกเปลี่ยน และคนรอบ ๆ ตัวเราไม่ได้อยู่ในฟีด ไม่ได้อยู่ในอัลกอริทึม ไม่ใช่แค่คนที่เราติดตามต่าง ๆ 

ความน่ากลัวของสื่อในทุกวันนี้ ผ่านมุมมองของพิริยะคือ กลุ่มสื่อที่เรารับชมนั้นมักจะมีมีมือที่มองไม่เห็นที่เรียกว่าอัลกอริทึม สื่อเหล่านี้ไม่ใช่อาหารที่เราเลือกเอง ไม่เหมือนกับกลุ่มเพื่อนที่เราได้เลือกเอง วันนี้มันมีอัลกอริทึมที่เลือกให้เรา และเป็นการสื่อสารแค่ทางเดียว

ออนไลน์เป็นการสื่อสารแบบ one-way แต่ที่เวที TEDxBangkok มันมากกว่า two-way ไปอีก มันสามารถพาคนใหม่ ๆ มาเจอกันได้

ในยุคที่ AI เข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์ได้ การรับฟังสิ่งที่ต่างออกไปจากหน้าจอ ได้คิด วิเคราะห์ และเชื่อมประเด็นด้วยตัวเอง พิริยะมองว่าเป็นประโยชน์กับมนุษย์ในยุคนี้ แม้ว่าสิ่งที่ได้รับรู้จะต่างออกไปจากสื่อที่เรารับชมอยู่ทุกวันไปบ้าง

การนั่งตรงนั้นอาจฝืนธรรมชาติเรานิดนึง เพราะเราปัดทิ้งคอนเทนต์เหมือนบนหน้าจอไม่ได้ แต่ความคุ้นชินนี้มันประหลาดไป เราตัดสินอย่างรวดเร็วเกินไปมากขึ้น

การเปิดพื้นที่ให้ผู้คนที่แตกต่าง โดยเฉพาะด้านความคิดและไอเดีย ได้มาเจอกัน นี่คือสิ่งที่ TEDxBangkok ยังคงมอบให้ด้วยความเชื่อที่ว่า ไอเดียเหล่านี้ควรค่าแก่การเผยแพร่ (Ideas Worth Spreading)

อนาคต

TED และ TEDxBangkok ในวันที่เวที TED ไม่เหมือนเดิม

หลังจาก Chris Anderson ผู้ดูแล TED นักลงทุนด้านสภาพภูมิอากาศ เจ้าของโครงการ All Aboard และผู้เขียนหนังสือ Infectious Generosity ได้ประกาศออกมาว่าจะวางมือ และส่งไม้ต่อให้ Sal Khan ขึ้นมานำองค์กร TED ระดับโลกแทน พิริยะ รู้สึกตื่นเต้น มองในแง่บวก ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของ TED ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปจากแต่เดิม

Sal Khan (ซ้าย) และ Chris Anderson (ขวา)
(ที่มา : TED Blog)

รูปแบบ TED ตอนนี้อาจไม่ใช่ช่วงขาขึ้นกันทั่วทั้งโลก ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไม่ดีก็หาสปอนเซอร์ยาก ขายบัตรก็ไม่ง่าย ต่างจากช่วงแรก ๆ

เขามองว่า Sal Khan ผู้ก่อตั้งและ CEO ขององค์กรแพลตฟอร์มการศึกษาไม่แสวงหาผลกำไร Khan Academy จะเป็นการดีที่เข้ามาปลุก TED ในรูปแบบที่ใหม่ขึ้น

“TED ทำหน้าที่เหมือนคลังความรู้ของคนตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉะนั้นในวันที่อนาคตเคลื่อนไป การเชื่อมคนให้เข้าถึงความรู้เหล่านี้มีประโยชน์”

พิริยะ เล่าถึงความหวังของเขาต่อ Sal Khan

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะถูกส่งต่อและไม่หายไประหว่างการเปลี่ยนผ่านนี้ คือ วิสัยทัศน์ของ TED ในการส่งต่อไอเดียที่ควรค่าแก่การเผยแพร่ (ตามคติ ideas worth spreading) การดูแลคอมมูนิตี้ของผู้จัดงานและสปีกเกอร์รอบโลก และยังคงความเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรหรือ non-profit

“TED มีวัตถุดิบเยอะ แต่ยังไม่ได้ถูกเอามา match ยังกอง ๆ อยู่ในลิ้นชักที่รอคนมาดู แต่เชื่อว่า ณ วันนี้ ถ้าสามารถเอาความรู้มาจับคู่กับเทคโนโลยีได้ มีโอกาสสร้างสรรค์ได้มาก”

พิริยะ เปรียบ TED ในปัจจุบัน

เมื่อถามถึงศตวรรษต่อไปของ TEDxBangkok พิริยะ ตอบตรง ๆ ว่า “ยังไม่รู้” พร้อมหัวเราะ “เอาปีนี้ให้รอดก่อน แล้วค่อยว่ากันปีหน้า”

แต่สิ่งหนึ่งที่ พิริยะ ชัดเจนคือ “คงจะดีถ้าขับเคลื่อนไปได้ต่อ โดยมีเราน้อยลงเรื่อย ๆ”

พิริยะ ยังพูดถึงจังหวะของชีวิต การดูแลคนที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ปีนี้เขาจึงปรับให้ทีมเล็กลงมาก ๆ ไม่ได้เปิดรับคนข้างนอกเยอะมาก หัวใจของการทำงานอาสาสมัครในมุมเขาคือ ต้องคิดว่าเราให้อะไรเขาได้ นอกเหนือจากเงินที่ไม่สามารถให้ได้ แต่ License Holder คนนี้ตอนนี้ระบุ ไม่ได้มีเวลาพอจะทำสิ่งนั้นเท่าเมื่อก่อนแล้ว

อีกหนึ่งสิ่งที่ พิริยะ อยากเห็น คือ TEDx ที่เล็กลง กระจายตัวมากขึ้น ไม่ต้องมารรอดู TEDxBangkok ใหญ่ที่มีคนฟังเป็นพันคน อนาคตอาจเป็นรูปแบบ TEDxBangkok ในห้องนั่งเล่นบ้านใครสักคน มีกีตาร์ตัวหนึ่ง นั่งฟังง่าย ๆ แต่เกิดขึ้นบ่อย ๆ

หรือแม้แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบของ TED ก็ได้ ไม่ต้องรอให้โลโก้สีแดง ๆ ของ TED มาอนุญาตให้มีบทสนทนาที่ดีพอ

ในปัจจุบัน มีการจัดกิจกรรมภายใต้ชื่อ TEDx ในพื้นที่กรุงเทพมหานครมากกว่า 100 ครั้ง และภายในปีหน้า ก็มีแผนการจัด TED Talks กว่า 6 แห่ง แสดงให้เห็นว่า หลังจากเวลาผ่านมากว่าสิบปี พลังของการทอล์กก็ได้กระจายสู่คนกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พิริยะ กุลกาญจนาชีวิน License Holder ของ TEDxBangkok
(ที่มา : TEDxBangkok)

บทส่งท้าย : เปิดรับความคิดใหม่ ออกจากฟองสบู่ของตัวเอง

พิริยะ ทิ้งท้ายว่า “อยากให้ทุกคนลองให้คลื่นไฟฟ้าในได้ทำงานผ่านการมาลองฟัง TEDx ได้ลองเชื่อมต่อประเด็นด้วยตัวเอง น่าจะเป็นประโยชน์ในยุคนี้”

ในยุคที่เรากลายเป็นทาสของอัลกอริทึม ที่เรารับเฉพาะข้อมูลที่เรากำลังเชื่ออยู่แล้ว ที่เราอยู่ในฟองสบู่ของความคิดตัวเอง การออกมานั่งฟังคนจริง ๆ ในพื้นที่จริง ๆ กลายเป็นการ “ฝืนธรรมชาติ” ที่ควรจะลองสักครั้ง

และนั่น อาจจะเป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุด

พิริยะไม่ได้อ้างว่าเวที TEDxBangkok จะเปลี่ยนโลก ไม่ได้อ้างว่าจะแก้ปัญหาทุกอย่าง แต่มันสร้างพื้นที่ สร้างความเป็นไปได้ สร้างการเชื่อมต่อ และสำคัญที่สุด นั่นคือการสร้างความกล้าให้กับคนที่ใกล้ชิดมัน

ความกล้าที่จะพูด ความกล้าที่จะฟัง ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

10 ปีผ่านไป ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงรบกวน การคัดสรรเนื้อหาที่ TEDxBangkok สร้างขึ้น โดยเฉพาะความจำเป็นของการได้ฟังไอเดียที่หลากหลาย จากความกล้าของคนลงมือทำเหล่านี้ อาจจะเป็นสิ่งที่หายากและมีมูลค่าสูงในยุคนี้ ที่ยังคงต้องรักษาหัวใจนี้ให้ยังทำงานต่อ

Author

Alternative Text
AUTHOR

อนวัช มีเพียร

รักโลก แต่รักคนบนโลกมากกว่า

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่