สันติภาพ ไม่ได้เกิดจากการยอมจำนน หรือ สงคราม…แต่ยังมีเส้นทางตรงกลางให้เลือกเดิน
ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ไม่ใช่ครั้งแรก และก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ทหารชั้นผู้น้อยและพลเรือนทั้งสองฝ่ายล้มตาย สร้างความสูญเสียที่กลายเป็นบาดแผลร้าวลึกที่มิอาจเยียวยา
การเลือกวิธียุติข้อพิพาทด้วยการ ยุทธวิธีทางสงคราม อย่างที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่เหมาะสมจริงหรือ ?
และการใช้ความรุนแรงในครั้งนี้จะเป็นหนทางไปสู่การสร้างสันติภาพ และ ความปรองดอง ของ 2 ประเทศได้อย่างไร ?
The Active พูดคุยกับ ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ นักวิชาการด้านสันติวิธี และอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับการเดินสู่สันติภาพด้วยหนทางแห่งสันติวิธี ผ่านบทเรียนข้อพิพาทดินแดนละตินอเมริกา เปรู-เอกวาดอร์ มหากาพย์สงครามแย่งชิงเขตแดนแถบป่าแอมะซอน ที่สู้รบยาวนาน 169 ปี สู่ข้อตกลงสันติภาพแห่งการใช้ผืนแผ่นดินร่วมกัน ที่แปรเปลี่ยนจาก ศัตรูสู่พันธมิตร มีอะไรให้ย้อนมองมายังสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่บ้าง…

พร้อมชวนสำรวจมายาคติแห่งความรุนแรง ความเกลียดชัง และมนุษยธรรม ท่ามกลางหมอกควันแห่งสงคราม กับคำถามสำคัญ ว่าเหตุใดกันเชื้อไฟแห่งความเกลียดชังไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ ถึงจุดติดง่ายนัก ?
ไม่ควรมีการสูญเสียใดในข้อพิพาทดินแดน : เมื่อ(ผี)เขาพระวิหาร อาจเป็นกับดักไทย ไม่ยอมไปศาลโลก ?
เกือบ 1 เดือน กับเหตุการณ์ปะทะบนพรมแดนไทย-กัมพูชา ที่ดูเหมือนจะเริ่มคลี่คลาย แม้สถานการณ์จะสงบเบาบางลงชั่วขณะ แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับพลทหารและพลเรือนทั้ง 2 ฝั่งกลับประเมินค่ามิได้
หลักการของสันติภาพ ความรุนแรง และความขัดแย้ง เริ่มถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง กับคำถามสำคัญว่า เหตุใดสงครามและความรุนแรงเช่นนี้จึงเป็นวิธีที่ถูกเลือกใช้ เพราะบนเส้นทางแห่งสันติภาพ แม้จะเป็นการต่อสู้กันบนเส้นพรมแดนที่ว่ากันว่าสำคัญมากเพียงใด แต่ไม่อาจเทียบเท่าชีวิตของมนุษย์แม้แต่คนเดียว
“ดินแดนเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันสำคัญไปกว่าชีวิตของผู้คนงั้นหรือ ?”
เป็นสิ่งที่ ชญานิษฐ์ ชวนตั้งคำถามถึงสถานการณ์ความรุนแรงของสังคมในห้วงเวลานี้ โดยมองว่า แม้เป้าหมายของการปะทะมีชนวนเหตุจากการปกป้องดินแดน ที่ไม่ว่าอธิปไตยนี้จะเป็นสิ่งสำคัญเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเทียบกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับชีวิตผู้คนได้เลย
ทั้งที่มีทางเลือกอีกมากมายในการหาข้อยุติเรื่องข้อพิพาทชายแดนนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง หนึ่งในนั้นคือ เวทีระดับพหุภาคี แต่เหตุใด ที่เราเลือกใช้การปะทะและความรุนแรง ?
หนึ่งในคำตอบนี้ เชื่อว่าอาจเป็นเพราะแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง “ชาติและดินแดน” ที่ในคติของคนไทย ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แต่หากถามว่าสิ่งเหล่านั้นจะสำคัญไปกว่าชีวิตของผู้คนหรือ นักวิชาการด้านสันติวิธี ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า ไม่ใช่
“ทั้งฝ่ายเราและเขา มีทหารชั้นผู้น้อย และพลเรือนที่บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก เราเชื่อว่า ชีวิตเพื่อนร่วมชาติสำคัญไม่น้อยไปกว่าความศักดิ์สิทธิ์ของดินแดน”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
เวทีระดับพหุภาคี จึงอาจเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าในการพยายามหาข้อยุตินี้ เช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice, ICJ หรือที่เรียกว่า ศาลโลก รวมทั้ง ศาลอนุญาโตตุลาการถาวร (Permanent Court of Arbitration, PCA) เป็นต้น
“เสียงจากสังคมไทยตอนนี้ ไม่ว่าจะจากภาครัฐ กองทัพ หรือประชาชนด้วยกันเอง เรามักจะได้ยินว่าเราควรยึดมั่นกับการเจรจาแบบทวิภาคีเท่านั้น แต่ฝ่ายกัมพูชาอยากผลักดันให้เป็นการเจรจาระดับพหุภาคี เช่น การชึ้นศาลโลก”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
แต่สิ่งที่น่าตั้งคำถาม คือ ทำไม ? ไทยกลัวการขึ้นศาลโลกนัก
“ไทยยังติดกับดักที่โดนผีเขาพระวิหารหลอกหลอน หากเราตั้งสติให้ดี นี่คือกรณีใหม่ไม่ใช่เรื่องเดิม ไม่มีใครการันตีว่าเราจะแพ้ตั้งแต่ต้น และเราคงเข้าใจผิดมหันต์หากคิดว่าประเทศเล็ก ๆ อย่างกัมพูชาจะสามารถล็อบบี้ศาลโลกได้”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
สันติวิธี : อีกร้อยพันวิธี ที่ไม่ต้องใช้ความรุนแรง
สันติวิธี (nonviolent action) คือ การต่อสู้หรือจัดการความขัดแย้งโดยไม่ใช้ความรุนแรงทางกายภาพ ซึ่งจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงและแก้ปัญหา ไม่ใช่การยอมแพ้หรือยอมจำนน (submission) แต่สังคมไทยยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับสันติวิธีอยู่มาก โดยเฉพาะวิธีที่จะได้มาซึ่ง สันติภาพ
“ใคร ๆ ก็อยากได้สันติภาพ คนจำนวนมากจึงเชื่อว่าใช้วิธีอะไรก็ได้ ขอให้ได้มาซึ่งสันติภาพ นั่นรวมไปถึงความรุนแรงและสงคราม บนความคิดความเชื่อว่า The end justifies the means”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
วลี “The end justifies the means” หมายถึง เป้าหมายสำคัญกว่าวิธีการ มีนัยยะว่า ตราบใดที่เราบรรลุและได้มาซึ่งสันติภาพแล้ว จะใช้วิธีไหนก็ใช้ได้รวมไปถึงการใช้ความรุนแรง
แนวคิดนี้ยังเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาด้านสันติวิธียังคงตั้งคำถามว่าความเชื่อนี้ว่าเป็นไปได้จริงหรือ หากต้องใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้มาซึ่ง สันติภาพ
ชญานิษฐ์ จึงยกตัวอย่างแนวคิดเรื่อง “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” (an eye for an eye) ที่เคยเป็นบทบัญญัติในกฏหมายโบราณ ที่ว่าด้วยการลงโทษผู้ที่กระทำความรุนแรงด้วยความรุนแรงกลับไป หรือ หากใครทำให้ตาบอด ก็ต้องโดนลงโทษด้วยการตาบอดบอดเหมือนกัน
ต่อมา มีแนวคิดโต้แย้งวลีนี้ คือ “An eye for an eye makes the whole world blind” หรือ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน จะทำให้โลกมืดบอด
วลีนี้มาจาก มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi) ที่ตีความได้ว่า หากทุกคนแก้แค้นกันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนก็จะตาบอดเหมือนกันหมด และความรุนแรงนี้มีแต่จะทำลายทุกฝ่ายโดยไม่เหลือซึ่งสันติภาพ
“An eye for an eye คือ แรงมาแรงกลับ เหมือนมีคนเอานิ้วมาจิ้มตาเรา เราก็จิ้มตาเขากลับ และถ้าเขามีเพื่อนพี่น้อง เขาก็จะพามาจิ้มตาเราด้วย จิ้มกันไป จิ้มกันมา จนทุกคนตาบอดไปหมด ท้ายที่สุดเราจะไม่เห็นทางออก หลุดจากวงจรนี้ไม่ได้ เพราะหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ ความรู้สึกโกรธแค้นที่ต้องตอบโต้กลับ ทำให้ทุกคนวนเวียนอยู่กับความรุนแรงขยายตัวออกไปไม่จบสิ้น”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
ทั้งแนวคิด “The end justifies the means” หรือ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ล้่วนยืนตรงข้ามกับหลักการของสันติวิธี เพราะ สันติวิธีเชื่อว่า วิธีการไม่สามารถแยกออกจากจุดหมายปลายทางได้อย่างสิ้นเชิง หรือกล่าวอีกอย่างว่า เป้าหมายคือผลลัพธ์ระหว่างทางต่างหาก
“ความรุนแรงอาจนำมาซึ่งสันติภาพก็ได้ แต่มักจะเกิดขึ้นชั่วคราวและผิวเผิน เมื่อใดที่เผลอ ความรู้สึก ความขัดแย้ง และความไม่เข้าใจกันของทั้งสองฝ่าย ก็พร้อมจะปะทุและตอบโต้ทันที แต่หากใช้สันติวิธี จะสามารถสร้างความรู้สึกที่เป็นพื้นฐานของความเข้าใจ และจะอยู่ด้วยกันได้อย่างยั่งยืน”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์

ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา กับเครื่องมือระหว่างทาง…ก่อนไปสู่ความรุนแรง
นักวิชาการด้านสันติวิธี ยังอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่า คนในสังคมไทยส่วนมากยังคงมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเมื่อต้องเจอกับความขัดแย้งว่ามีแค่ 2 ทางเลือกเท่านั้น คือ หากไม่ยอมจำนน ก็ต้องใช้ความรุนแรง แต่ในทางหลักการแล้ว มีวิธีการและเครื่องมือที่ อยู่ระหว่างทาง (โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง) อีกมากมายที่ควรกหยิบยกมาใช้
ในกรณีของไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ เราเห็นการจัดการของประเทศไทยที่มีการหยิบยกหลายเครื่องมือมาใช้อยู่บ้าง เช่น ก่อนการเจรจาหยุดยิง เราจะเห็นว่ารัฐบาลไทยพยายามใช้มาหลายวิธี เช่น การเปิด-ปิดด่านชายแดน การตัดน้ำ-ไฟ-อินเทอร์เน็ต การจัดการกับแก็งค์คอลเซนเตอร์
เสียงของคนจำนวนหนึ่งบอกว่าวิธีพวกนี้ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะแทบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากกัมพูชาเลย บางคนบอกว่าทำแบบนี้เข้าทางกัมพูชา เพราะหากเราทนไม่ไหวแล้วใช้ความรุนแรงก่อน จะกลายเป็นวาทกรรม (narrative) ด้านการเมืองระหว่างประเทศว่า รัฐไทยที่มีขนาดใหญ่กว่า มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารที่มากกว่ารังแกรัฐเล็กอย่างกัมพูชา และอาจยกไปสู่ข้อพิพาทในศาลโลกได้
“เราอาจเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า การใช้ความรุนแรงเท่านั้นที่มีประสิทธิภาพ แต่ในความเป็นจริง ทางเลือกที่ไม่ใช้ความรุนแรงอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าหากเราเข้าใจว่าคู่กรณีต้องการอะไรจากเรา เรามีเครื่องมือมากมาย และทางเลือกอื่นอีกเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจ ทางการทูต ฯลฯ เพื่อเรียกร้อง และโน้มน้าวให้ฝ่ายตรงข้ามมีพฤติกรรมที่เป็นไปตามแนวทางของเราที่ไม่ได้จบลงด้วยการต่อสู้ที่ใช้ความรุนแรงหรือเพิกเฉยจำนนเท่านั้น”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
อย่างไรก็ตาม มีคำอธิบายว่า ไม่เพียงแต่ในสังคมไทย แต่ทั้งโลกของเรายังคงมีมายาคติว่า ความรุนแรงมีประสิทธิภาพมากกว่าในการจัดการปัญหา
เอ ริชาร์ด คอนราด (A. Richard Konrad) นักวิชาการคนสำคัญที่ตั้งคำถามว่า เวลาเราบอกว่า จะใช้ความรุนแรงหรือสงครามเป็นทางเลือกสุดท้าย แท้จริงแล้วแปลว่าอะไร ?
พร้อมอธิบายว่าทฤษฎีเรื่องความรุนแรงด้วยสมมติฐาน 3 ข้อ ได้แก่
- เรารู้จักทางเลือกแบบไร้ความรุนแรงทั้งหมด – แต่เรามักรู้จักเพียงไม่กี่ทางเลือก
- เราได้มีความพยายามที่จะเลือกใช้วิถีแห่งสันติวิธีแล้ว (ทดลองทำทั้งหมด)
- ความพยายามทั้งหมดไม่ประสบผลสำเร็จ
เมื่อทำครบทั้ง 3 เงื่อนไขนี้แล้วเท่านั้น จึงใช้ความรุนแรงเป็นทางเลือกสุดท้ายได้ แต่ คอนราด บอกว่าสมมติฐานนี้ไม่เป็นความจริงเลย เพราะ เรามีทางเลือกในการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรงมากมายไม่มีที่สิ้นสุด แต่เรากลับไม่เคยเลือก
“วิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรงมีมากมาย แต่เรากลับไม่เคยให้โอกาสได้ลองมากพอ เราลองแค่ไม่กี่วิธี แล้วพอพบว่าไม่เวิร์ค ก็หันกลับไปใช้สงครามกันใหม่ หากดูกรณี เปรู-เอกวาดอร์ เขาให้โอกาสในการใช้ความรุนแรงมาเกือบ 170 ปี แต่พอมาใช้สันติวิธี กลับใช้เวลาเพียง 3 ปีและนำไปสู่สันติภาพ”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
เปรู-เอกวาดอร์ : 169 ปี มหากาพย์แห่งสงคราม สู่ข้อตกลงสันติภาพแห่งละตินอเมริกา
หากจะทำความเข้าใจว่าเหตุใดแต่ละประเทศจจึงต้องแย่งชิงดินแดนกัน คงต้องย้อนไปถึง สนธิสัญญาสันติภาพเว็สท์ฟาเลิน (Peace of Westphalia) ในปี ค.ศ. 1648 ที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้ถือกำเนิด รัฐอธิปไตย

เพราะก่อนหน้านี้ แต่ละประเทศต่างรบพุ่งแย่งชิงดินแดนกัน สนธิสัญญาฉบับนี้จึงเกิดขึ้นในยุโรปเพื่อเจรจาตกลงเรื่องอาณาเขตที่แน่นอนในแต่ละประเทศ
ในตอนนั้น สิ่งนี้กลายเป็นนวัตกรรมที่แปลกใหม่และสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของโลก เพราะทำให้ผู้คนในยุโรปยุติการสู้รบฆ่าฟันกันมาจนถึงทุกวันนี้ และแน่นอนว่า ไทยก็รับมรดกแนวคิดเรื่องความศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนนี้มาจากยุโรปอย่างเข้มข้นจนถึงปัจจุบัน ในเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง
“เราเคยอ่านงานที่ อ.ธงชัย (ศาสตราจารย์กิตติคุณ ธงชัย วินิจจะกูล) เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า ในสมัย ร.4 เคยมีข้อพิพาทเรื่องดินแดนระหว่างไทยสยามและพม่า อังกฤษเข้ามาถามว่าดินแดนของไทยฝั่งพม่าสิ้นสุดที่ตรงไหน ? ราชสำนักของไทยตอบว่า ให้ไปถามลุงชาวบ้านที่อยู่ตรงชายแดนเอา ถ้าแกบอกว่าตรงไหน ก็อยู่ตรงนั้นแหละ สิ่งนี้สะท้อนว่า ย้อนไปแค่สมัย ร.4 ซึ่งผ่านมาไม่นานนี้เอง จะเห็นว่าดินแดนสำหรับสยาม ก็ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้น แต่ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์มากเหลือเกิน”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
กรณีข้อพิพาทดินแดนไทย-กัมพูชาในช่วงเวลานี้ จึงชวนให้นึกย้อนไปถึงเหตุข้อพิพาทดินแดนกรณี เปรู-เอกวาดอร์ ที่เทือกเขา คอร์ดิยยาราเดลคอนดอร์ (Cordillera del Cóndor) บริเวณพื้นที่ป่าแอมะซอนตอนบน
ข้อพิพาทดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ ค.ศ.1829 พื้นที่ภูเขาและป่าดิบชื้นกลายเป็นสนามรบที่เกิดความตึงเครียดเรื้อรัง และความขัดแย้งนี้นำไปสู่การเกิดสงครามใหญ่ถึง 2 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตนับหมื่นราย
ค.ศ. 1998 ด้วยการกดดันจากนานาประเทศ มีการนำกระบวนการสันติภาพเข้ามาใช้ผ่านการไกล่เกลี่ยจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง อาร์เจนตินา บราซิล ชิลี และสหรัฐฯ จนกระทั่งปิดฉากการสู้รบที่กินเวลายาวนานหลายชั่วอายุคน นำไปสู่การยุติข้อพิพาทอย่างถาวร รวมระยะเวลาการสู้รบ 169 ปี
นอกจากจะมีการกำหนดเส้นเขตแดนชัดเจนแล้ว ส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพคือ การจัดตั้ง Peace Park ในเขต Cordillera del Cóndor ด้วยแนวคิด เปลี่ยนพื้นที่สนามรบให้กลายเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติข้ามพรมแดน มีข้อตกลงสร้างอุทยานแห่งชาติฝั่งละแห่ง และประสานความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ในพื้นที่ร่วมกัน
ปัจจุบันพื้นที่สนามรบในอดีตแห่งนี้ กลายเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและยังเป็นต้นกำเนิดของแม่นำ้หลายสายด้วยกระบวนการแห่งสันติวิธี
“กรณีนี้มีบทเรียนสำคัญให้เห็นว่า เขายกระดับจากการเจรจาแบบทวิภาคี เป็นพหุภาคี มีประเทศอื่นเข้ามาเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ย ชี้ชวนให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน การเจรจากินเวลาประมาณ 3 ปี ก็มีการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพทั้งสองประเทศตกลงเปลี่ยนพื้นที่พิพาทให้กลายเป็นอุทยานแห่งสันติภาพ (Peace Park) แล้วมีการบริหารจัดการร่วมกัน”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
จากที่เคยแย่งกันว่าที่ตรงนี้เป็นของใคร แต่วันนี้กลายเป็นของเรา โดยสิ่งที่สำคัญ คือ เปลี่ยนความสัมพันธ์ที่จากที่เคยเป็นคู่ขัดแย้งก็กลายมาเป็นพาร์ทเนอร์ที่ทำงานร่วมกันได้
จึงชวนให้นึกย้อนไปถึงคำพูดของ อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ที่ว่า
“วิธีที่ดีที่สุดในการทำลายศัตรู คือการทำให้เขากลายเป็นเพื่อน”
เช่นเดียวกับกรณีไทย-กัมพูชา ที่มีข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ คือ ไทยและกัมพูชาต้องเป็นเพื่อนบ้านไปอีกชั่วกาลนาน เราสามารถยกระดับความขัดแย้งนี้ขึ้นมาได้ และทั้งหมดนี้เป็นทางเลือกของเรา
“เราเคยมีเพื่อนบ้านมาอาเจียนหน้าประตูห้อง ตอนนั้นเราคิดสารพัดวิธี ว่าจะจัดการยังไง จะกดกริ่งด่าดีไหม หรือจะแปะป้ายเตือน เราเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาอาจารย์ (เกษียร เตชะพีระ และชัยวัฒน์ สถาอานันท์) ว่าจะทำอย่างไรดี ทั้งสองพูดออกมาไม่กี่คำ แต่ทำให้เราเลือกจัดการในวิธีที่ต่างออกไป โดยทั้งสองท่านบอกว่า การทะเลากับเพื่อนบ้าน ต่อให้คุณชนะ คุณก็ไม่มีความสุขหรอก เพราะคุณต้องอยู่กับเขาไปอีกนาน ครั้งนี้คุณชนะก็จริง แต่คุณต้องใช้ชีวิตที่เหลือไปกับการหวาดระแวงเขาไปอีกนาน”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า เราสามารถเลือกวิธีการจัดการความขัดแย้งได้หลายแบบ เราอาจเลือกวิธีการที่เปลี่ยนศัตรูเป็นเพื่อน หรืออาจทำให้ศัตรูกลายเป็นคู่อาฆาตไปชั่วชีวิต
และแน่นอนว่าทางเลือกนี้…เป็นของเรา
ไฟแห่งความเกลียดชัง : เหตุใดจุดติดง่ายนัก ?
ปรากฏการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา รอบนี้ ทำให้เราเห็นอคติและความเกลียดชังต่ออีกฝ่ายชัดเจนมาก ไม่ว่าจะเป็นการด่าทอ ดูแคลน เหยียบธงชาติ วาทกรรมของสื่อ หรือแม้แต่การขุดคุ้นเรื่องราวส่วนตัวของอีกฝ่ายมายั่วล้อแขวนประจาน

แต่เหตุใด กระแสคความเกลียดชังที่ทั้งไทย-กัมพูชามีต่อกันนั้น ถึงจุดติดได้ง่ายนัก ชญานิษฐ์ ให้ความเห็นว่า นี่แสดงให้เห็นถึงการประสบความสำเร็จของแบบเรียนทางประวัติศาสตร์ที่นำมาสู่อคติของคนในชาติ
“หลายคนบอกว่ากัมพูชาสอนให้เด็กเกลียดคนไทย แต่มองมาที่ไทย เราเองก็สอนเด็กให้เกลียดเพื่อนบ้านเหมือนกันไม่ใช่หรือ เมียนมาเราก็ไม่ชอบเขา ลาวเราก็คิดว่าเขาเป็นน้อง (เราเป็นพี่) มาเลเซียเราก็ไม่ไว้ใจเขาเพราะใกล้สามจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งหมดนี้มันฝังอยู่ใต้ผืนดินที่เรามองไม่เห็น ดินที่เราปลูกหน่อเนื้อแห่งความไม่ไว้วางใจเอาไว้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดความขัดแย้ง ความรุนแรงก็จะปะทุขึ้นได้ง่ายดาย”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
ทั้งยังอธิบายต่อไปอีก ถึงสายตาที่เรามองฝ่ายตรงข้ามด้วยอคติและการเหมารวม
“เรากำลังมองทั้ง 2 ฝั่งเป็นก้อนกลมคนละก้อน ไทยเป็นก้อนกลมก้อนหนึ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกันหมด และเหมารวมไปว่า คนกัมพูชาก็เป็นอีกก้อนกลมหนึ่งซึ่งทุกคนคงคิดเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลย ขนาดบางครั้งเราเองยังไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเลย แล้วจะเหมารวมว่าคนกัมพูชาทุกคนจะคิดเหมือนฮุน เซนได้อย่างไร”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
อีกหนึ่งชนวนเหตุ คือ อิทธิพลสื่อและอินฟลูเอนเซอร์ ที่มีแนวโน้มจะนำเสนอคอนเทนต์ที่ยิ่งนำไปสู่อคติ ความเกลียดชัง และความรุนแรง
“เราเห็นอินฟลูเอนเซอร์บางคนออกมาเปิดเผยรายได้ด้วยความภาคภูมิใจจากความขัดแย้ง เราเห็นสื่อบางราย เลือกจะนำเสนอข่าวด้วยข้อความยุยงปลุกปั่นนำไปสู่ความเกลียดชัง แต่จะดีกว่าไหมหากสื่อนำเสนอข้อมูลที่รอบด้าน ครบถ้วน และปูทางไปสู่ความเข้าใจกันมากขึ้น”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
แต่ถึงอย่างไรการจะก้าวผ่านความขัดแย้งนี้ไปได้นั้น สังคมไทยต้องช่วยกันสร้างสันติภาพด้วย
มนุษยธรรม ท่ามกลางหมอกแห่งสงคราม
ท่ามกลางสมรภูมิแห่งการสู้รบ จะมีสิ่งที่เรียกว่า Fox of War หรือ เมฆหมอกแห่งสงคราม ท่ามกลางเปลวไฟและเขม่าปืน เราย่อมมองไม่เห็นภาพที่ชัดเจนนัก และเผลอรีบตัดสินโดยหลงลืมความเป็นมนุษย์
“บ่อยครั้งที่เราอยู่ในความขัดแย้ง เรามักคิดแบบเหมารวม ทึกทักแบบเหมารวม บ้างก็ว่าเขาเป็นปีศาจ บ้างก็ว่าเขาเป็นคนโกหก ไว้ใจไม่ได้ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาคือมนุษย์ไม่ต่างจากเรา มีรัก โลภ โกรธ มีคนเจ็บ มีคนตาย มีความต้องการการเคารพ การเห็นอกเห็นใจ และมีความเป็นมนุษย์ไม่ต่างจากเรา”
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
ถึงตรงนี้ นักสันติวิธี ก็ยังเชื่อมั่นใจว่า การคุยกันเป็นเรื่องยาก ตราบใดที่เรายังมองว่าเขาคือปีศาจ แต่หากเริ่มต้นด้วยการมองเห็นความเป็นเพื่อนมนุษย์ เข้าอกเข้าใจ เห็นถึงสิ่งสำคัญของอีกฝ่าย
นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาที่ดี ที่ทำให้เราก้าวข้ามผ่านความขัดแย้งครั้งนี้ไปได้ เพราะหากเรายังทะเลาะกับเพื่อนบ้านตลอดเวลาเช่นนี้ แล้วจะมีชีวิตที่มีความสุขได้อย่างไร