“ถ้าให้ป้าเช่าที่เขาขายครั้งละหลาย ๆ หมื่น มันจะบีบคั้นตัวเองเกินไปไหม สำหรับคนจนในเมืองอย่างเรา สู้เราเอาเงินกลับไปเปิดร้านที่บ้านนอกดีกว่า”

คำพูดของ ป้านุ้ย วัย 53 ปี แม่ค้าข้าวแกง ปากซอยปลูกจิต ย่านชุมชนบ่อนไก่ ตัวละครหลักในสารคดี คน จน เมือง ซีซัน 5 ตอน ข้าวแกงคนยาก ขณะที่ยืนมองตึกสูงมูลค่าหลายแสนล้าน ภายใต้โครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมแบบผสมใจกลางกรุงเทพมหานคร บนที่ดินขนาดใหญ่จำนวน 108 ไร่ ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งกินพื้นที่มาถึงร้านของป้านุ้ยที่เปิดมานานกว่า 22 ปี
ป้านุ้ยไม่ปฏิเสธ ว่าหากินอยู่บนพื้นที่ที่ตัวเองจับจองแบบไม่มีสัญญาตามกฎหมาย จึงคิดอยู่ตลอดว่าอาจถูกไล่ได้ทุกเมื่อ แต่ก็ไม่คิดว่าจะยาวนานถึง 22 ปี ซึ่งที่นี่เป็นทั้งพื้นที่ของโอกาส หล่อเลี้ยงชีวิตของป้านุ้ย และครอบครัว มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง ช่วยให้ลูกสาวเข้าถึงโอกาสการศึกษา รวมถึงช่วยเหลือแรงงานที่อยู่ในเมืองให้ได้กินอาหารราคาถูก
“เมื่อก่อนเป็นสนามมวยลุมพินี สวนลุมไนท์บาซาร์ ดังมากนะ เป็นเหมือนโอกาสให้คนในเมือง คนต่างจังหวัดเข้ามาเป็นก่อสร้าง เราก็ได้โอกาสจากการเป็นแม่ค้าขายให้เขาอีกทีหนึ่ง ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เขาจับต้องได้เราอยู่ได้”
ป้านุ้ย แม่ค้าข้าวแกง ย้อนที่มาที่ไป
ช่วงเวลาตี 3 ของทุกวัน ป้านุ้ยจะและสามี จะตื่นขึ้นมาทำกับข้าวหลายอย่าง บรรจุถุงอย่างง่าย ๆ เพื่อตอบสนองความเร่งรีบให้กับแรงงานก่อนไปเข้างาน ที่ไม่ใช่แค่ถูกปาก แต่ราคายังจับต้องได้

น้ำพริก ผักต้ม ปลาแดดเดียว ซุปหน่อไม้ ลาบ อ่อมเนื้อ กระเพรา เมนูยาใจผู้ใช้แรงงานให้มีแรงกลับไปสู้งานที่รออยู่ ร้านของป้านุ้ยจึงตั้งราคาแต่ละเมนูอาหาร เริ่มที่ 10 – 40 บาท เพื่อให้ในหนึ่งมื้อ สามารถอิ่มได้ด้วยเงินไม่ถึง 1 ใบแดง
10 ปี ที่ผ่านมา โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ในย่านนี้ก่อร่างสร้างขึ้นด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของผู้ที่เข้ามาแสวงหาโอกาสในเมืองใหญ่ ทั้งคนภาคกลาง ภาคอีสาน ไทใหญ่ เมียนมา กัมพูชา ล้วนแล้วแต่อยู่รอดได้ในเมืองใหญ่ และมีเงินเหลือพอส่งไปให้ที่บ้าน ด้วยฝีมือข้าวแกงของร้านป้านุ้ยมาแล้วทั้งสิ้น
และถ้ามองให้ลึกกว่านั้น ร้านข้าวแกงของป้านุ้ย ก็เป็นฟันเฟืองชิ้นหนึ่งของโครงการมูลค่าหลายแสนล้าน เป้าหมายการพัฒนาเมืองแห่งนี้
…แต่เมื่อความเจริญเข้ามา ร้านของป้านุ้ยอาจถูกลบออกจากเมืองที่เธอ และผู้ใช้แรงงานอีกจำนวนไม่น้อย มีส่วนร่วมสร้างกันขึ้นมา
“ป้าเข้าใจนะว่าเราอยู่บนพื้นที่ทำเลทอง คนจนไม่มีสิทธิอยู่แล้ว และตัวป้าเองก็ไม่ได้ปฎิเสธความเจริญ ก็ต้องรอดูว่าเขาจะบีบเราออกไปอยู่ในลักษณะไหน วิถีชีวิตเราจะเปลี่ยนยังไงต้องรอดู แต่ถ้าเป็นไปได้ ป้าก็อยากให้ตกลงอยู่ร่วมกันได้นะ”
ป้านุ้ย มองหาโอกาส
คนรวยย้ายเข้า คนจนย้ายออก ส่วนหนึ่งของการพัฒนาเมืองเป็น ‘ย่านผู้ดี’

ตัวอย่างเป้าหมายในการการพัฒนาเมืองหรือย่าน มักมีคำว่า พัฒนาคุณภาพชีวิต ฟื้นฟูเมืองตามวิถีอัตลักษณ์ กระตุ้นการท่องเที่ยว โดยเฉพาะคำว่า เจนตริฟิเคชั่น (Gentrification) ที่ รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านคนจนเมืองและคนไร้บ้าน ย้ำว่า แนวคิดดังกล่าวทำให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ได้ประโยชน์ และละเลยผู้ที่ถูกบังคับให้ย้ายถิ่น
“gentrification ผมแปลเป็นภาษาไทย ว่า การทำให้เป็นย่านผู้ดี คือ การดึงดูดให้คนที่มีรายได้สูงเข้ามาพัฒนา ทำให้ที่ดินย่านนั้นมีราคาแพง จนผู้อยู่อาศัยเดิมต้องย้ายออกไป ซึ่งไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยของคนจนในเมือง แต่รวมถึงร้านข้าวแกงราคาถูก ดังนั้นเราควรตั้งคำถามกับคำๆ นี้ ว่ามันมีอิทธิพลก่อนจะนำไปสู่การรื้อย้ายผู้คนออกไป”
รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา
ผลกระทบล่าสุดที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาให้เป็นย่านผู้ดี คือ ถนนบรรทัดทอง พื้นที่สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) โดยหวังว่าจะเป็นอีกย่านหนึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้สยามสแควร์ ที่สำคัญคือผู้คนที่จะเข้ามาใช้พื้นที่นั้น ๆ ทั้งผู้ค้าและผู้ขาย
แต่ต้นปี 2568 การเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นกับร้านค้าขนาดเล็ก ที่ประกาศขอเซ้งพื้นที่ และผู้ประกอบการบางส่วนที่เปิดมานานหลายสิบปีในทำเลแห่งนี้ ต้องประกาศปิดร้านค้าออกไปจากพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือ ร้านข้าวมันไก่เจ๊โบว์ ที่ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักกิจกรรม – นักเคลื่อนไหว โพสต์ผ่าน Netiwit Chotiphatphaisal ระบุว่า
“เปิดมานานกว่า 25 ปีในย่านนี้ ไม่อาจสู้ค่าที่จุฬาฯ ได้อีกแล้ว และกำลังจะย้ายออกเร็ว ๆ นี้แล้ว เจ๊โบว์ บอกว่า บรรทัดทองกลายเป็นพื้นที่ทุนใหญ่มากกว่าร้านเล็ก ๆ เป็นที่นักท่องเที่ยว ตามอินฟลูดัง มากกว่าร้านที่เข้าถึงได้ คนในชุมชนเก่า ๆ แทบจะไม่เหลือแล้ว”
เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล
ทั้งนี้ยังได้ชวนให้ร่วมกันมาให้กำลังใจร้านข้าวมันไก่เจ๊โบว์ และร่วมคิดทบทวนถึงทิศทางของการบริหารมหาลัยที่กำลังมุ่งหน้าอย่างไร้จุดหมายไม่ใช่เพื่อประชาคม แต่เป็นการแสวงหาผลกำไรที่ไม่มีเป้าหมายและทำลายเศรษฐกิจท้องถิ่น
รวยแบบไร้รสนิยม บริโภคโดยขาดจิตสำนึก…
พฤติกรรมกระทำซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งร้านข้าวแกงของป้านุ้ยในสารคดีคนจนเมือง และผู้ค้าถนนบรรทัดทอง ทำให้ รศ.บุญเลิศ สะท้อนว่า เมื่อเป็นพื้นที่ของรัฐควรจะดำเนินการโดยคิดถึงประโยชน์สาธารณะ เช่น ที่ดินของสถาบันการศึกษา ควรแบ่งสัดส่วนหรือรักษาผู้อยู่อาศัยเดิม ร้านค้าดั้งเดิมที่ไม่ได้คิดแต่กำไรสูงสุด
“ถ้าพูดถึงที่ดินของเอกชนเราคงแทรกแซงยาก สิ่งที่ผมคิดคือผมชอบพลังของผู้บริโภค เราควรจะเป็นผู้บริโภคที่มีจิตสำนึก ปฏิเสธการบริโภคในพื้นที่เหล่านั้นสักหน่อย ทำให้ทุนต้องรู้สึกตระหนักว่าเขาจะไม่สามารถจะกีดกันคนโดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมของสังคมได้ ส่วนนายทุนคุณไม่ควรจะเป็นเศรษฐีแต่ไร้รสนิยม คิดแต่สร้างตึกสวย ตึกใหญ่โดยที่ไม่ได้รักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมโดย ไม่คำนึงถึงรากเหง้า และหัวอกหัวใจคนบนพื้นที่ที่คุณหากินอยู่”
รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา
เพราะท้ายที่สุด ปัญหาการพัฒนาเมืองแบบทำให้เป็นย่านผู้ดี ไม่ได้ส่งผลกับผู้คนที่มีบ้าน มีพื้นที่ประกอบอาชีพในชุมชนที่ถูกบีบขับออกไปเท่านั้น แต่ศูนย์อาหาร ร้านอาหาร ที่ใช้วิธีคิดแบบทุนนิยมยิ่งทำให้ค่าครองชีพของคนในเมืองแพงไปอีก
ทิศทางพัฒนาเมืองจึงควรรับฟังเสียงของชุมชนดั้งเดิม หากที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าขายช่วยพยุงชีพให้คนจนในเมืองอยู่ได้ คนชนชั้นกลางก็ได้ประโยชน์กับการมีอยู่ของพวกเขาในฐานะฟันเฟืองขับเคลื่อนเมืองเศรษฐกิจนี้