ส่ง ‘อุยกูร์’ กลับจีน… ไทยอยู่ตรงไหน ? บนแผนที่สิทธิมนุษยชนโลก

“เรื่องนี้ 2 รัฐบาลได้คุยกันมาสักพักแล้ว และการพบปะของผู้นำในหลาย ๆ ระดับ ก็ได้มีการยืนยันว่าทุกคนที่กลับไปจะปลอดภัย พยายามทำทุกอย่างให้ราบรื่นที่สุด และการที่พวกเขากลับไปสู่ครอบครัวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี”

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 28 ก.พ. 68

ส่วนหนึ่งในถ้อยแถลงของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน โดยนายกรัฐมนตรีบอกว่า รัฐบาลไทยได้ตรวจสอบแล้วว่าทำอะไรได้บ้าง เพราะเรื่องอุยกูร์ เป็นการเข้าประเทศมาอย่างผิดกฎหมาย และติดคุกในประเทศไทยมากว่า 10 ปีแล้ว และยืนยันว่า ไม่ได้ทำผิดกฎหลักสหประชาชาติหรือสิทธิมนุษยชน ชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คน จะไม่ถูกสอบสวนหรือดำเนินคดีแต่อย่างใด พร้อมเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก

ไทยยืนยันไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ทำไม ? โลกยังกังขา

ย้อนกลับไปในช่วงที่ นายกฯ แถลงเรื่องนี้ อีกด้านก็มีแถลงการณ์จากนานาชาติ ที่ประณามการตัดสินใจของรัฐบาลไทยว่า ผิดหลักสิทธิมนุษยชน


มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ย้ำว่า “ขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการที่ไทยบังคับส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับจีน ซึ่งพวกเขาขาดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม และชาวอุยกูร์ต้องเผชิญกับการข่มเหง บังคับใช้แรงงาน และทรมาน”


แม้ท่าทีของรัฐบาลไทย และแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีจะยืนยันเรื่องข้อตกลงของไทยกับจีนที่มีการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน แต่กลับยิ่งสร้างแรงกระเพื่อมให้สังคม ตั้งคำถามกับบทบาทและคำมั่นสัญญาของไทย ที่ให้ไว้กับนานาชาติในเรื่องสิทธิมนุษยชน


ท่ามกลางข้อถกเถียงจ่อกรณีที่เกิดขึ้น สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ก็เผยแพร่ภาพชาวอุยกูร์ ที่ถูกส่งกลับจีน ย้ำว่าได้กลับบ้านของตนแล้ว พร้อมระบุว่า ทั้งรัฐบาลจีน และไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติตามกฎหมายและการปกป้องสิทธิมนุษยชน ชาวจีนเหล่านี้ได้รับการปล่อยตัว และส่งตัวกลับบ้านหลังจากปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ถือเป็นการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของบุคคลเหล่านี้อย่างดีที่สุด จีนยังจะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้คนเหล่านี้สามารถกลับสู่สังคมและดำเนินชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง

ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. และคณะ ระหว่างเยี่ยมสังเกตการณ์ชาวอุยกูร์ซึ่งได้พบกับครอบครัวหลังถูกส่งกลับจีน
(ภาพ :สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย)

“รัฐบาลไทยได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปสังเกตการณ์ ในอนาคตจีนจะยังคงยินดีต้อนรับรัฐบาลไทยในการส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของบุคคลที่ถูกส่งตัวกลับเหล่านี้ในภายหลัง สำหรับชาวไทยที่ใส่ใจและติดตามสถานการณ์ในซินเจียงของจีน เรายินดีต้อนรับท่านเหล่านี้ให้เดินทางไปเยี่ยมชมซินเจียงเพื่อสัมผัสประสบการณ์การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงในซินเจียงและชีวิตที่มีความสุขของประชาชนด้วยตนเอง”

สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย

แม้มีคำยืนยันถึงหลักกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนต่อกรณีที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และเสียงประณามจากนานาชาติ ว่า ไทยอาจไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ลี้ภัย และยังมีข้อค้นพบที่สื่อต่างประเทศอย่างสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ทั้งแคนาดาและสหรัฐอเมริกา ได้เสนอรับชาวอุยกูร์ 48 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในประเทศไทย ให้ไปตั้งรกรากใหม่ แต่ทางฝ่ายไทยไม่ได้ดำเนินการ เนื่องจากรัฐบาลไทยเกรงว่าจะขัดแย้งกับทางการจีน


ซึ่งขัดกับที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ระบุว่า กว่า 11 ปี ที่ไทยพยายามหาประเทศที่สามให้กับชาวอุยกูร์ อีกทั้งไทยเคยส่งชาวอุยกูร์ไปแล้วกว่า 100 คน แต่หลังจากนั้นไม่ได้รับการติดต่อจากประเทศที่สามอีกเลย 


เมื่อทางการจีนยืนยันว่าชาวอุยกูร์เป็นพลเมืองของจีน ทางไทยจึงดำเนินการตามขั้นตอน และมองว่าการส่งกลับจีนเป็นทางออกของเรื่องนี้


รัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 ว่า ที่ไทยตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์ให้จีน แม้มีบางประเทศเสนอรับชาวอุยกูร์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด และจะมีมาตรการติดตามหลังจากนี้

“หากประเทศที่สามจะรับไป ก็ควรต้องไปหารือเจรจากับจีนให้ประสานตัวส่งไปประเทศที่สาม อีกทั้งระบุว่าทางการจีนพร้อมให้รัฐบาลไทยติดตามความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ 40 คน และกระทรวงต่างประเทศจะรับไปหารือเรื่องการเชิญผู้แทนจากสำนักจุฬาราชมนตรี ไปติดตามชาวอุยกูร์ภายหลังการส่งตัว”

รัศม์ ชาลีจันทร์

ไทยอยู่ตรงไหน ? บนแผนที่ ‘สิทธิมนุษยชนโลก’

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ตลอดช่วงที่ผ่านมานั้น ถือเป็นการสั่นสะเทือนจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในเวทีโลก สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษา Human rights watch ประเทศไทย ให้ความเห็นประเด็นนี้กับ The Activeโดยตั้งข้อสังเกตว่า ตอนนี้ในทัศนะขององค์กรสิทธิมนุษยชน ไทยถูกมองว่าเป็นพื้นที่อันตรายสำหรับผู้ลี้ภัยจากประเทศต้นทาง เนื่องจากมีความคิดเห็นที่แตกต่าง รวมถึงการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ แต่เมื่อในอดีตไทยเป็นเหมือนพื้นที่ที่สามารถหนีร้อนมาพึ่งเย็นได้ เป็นพื้นที่สามารถเป็นทางผ่านไปประเทศที่ 3 ได้ ยุคสมัยดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปแล้ว


แม้ก่อนหน้านี้จะมีความหวังว่าเปลี่ยนจากรัฐบาลทหารมาเป็นรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งแล้วสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนจะดีขึ้น แต่กลายเป็นว่าการกดปราบผู้ลี้ภัยยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการร่วมมือกับรัฐบาลประเทศต้นทางในการส่งตัวกลับไปให้ หรือกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือมีการเข้ามาลอบสังหารในประเทศไทย อย่างกรณีอดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา

สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำประเทศไทย (Human Rights Watch)

ไทยละเมิดทั้งหลักสากล และกฎหมายในประเทศ ?

และเมื่อถามถึงการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนสากล การห้ามส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับไปประเทศต้นทาง ก็อาจเชื่อมโยงกับ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ซึ่งไทยมีการบังคับใช้มา 2 ปีแล้ว กรณีส่งตัวชาวอุยกูร์กลับนี้รัฐบาลละเมิด พ.ร.บ ที่มีอยู่หรือไม่ ? สุณัย บอกว่า เป็นที่น่าเสียใจอย่างมาก ถึงแม้ปัจจุบัน พ.ร.บ.ต่อต้านการบังคับสูญหาย จะมีผลบังคับใช้มาแล้วถึง 2 ปี แต่ท่าทีของรัฐไทย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ที่มีต่อการเคารพกฎหมายฉบับใหม่นี้ ซึ่ง ห้ามไม่ให้ส่งบุคคลไปเผชิญอันตราย คือ การห้ามเนรเทศคนไปเผชิญอันตราย 


เรายังไม่เห็นการผูกมัดหลักปฏิบัติกับหลักกฎหมายให้เป็นเนื้อเดียวกัน ในสมัยรัฐบาล คสช. ยังไม่มีกฎหมายนี้ แม้มีเสียงประณามจากนานาชาติ รัฐบาล คสช.ในตอนนั้น ก็ไม่ฟังเสียงคัดค้านใด และมีการส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คนกลับจีน

“ส่วนตอนนี้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง บอกตัวเองว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย และอยู่ในยุคที่ประเทศไทยมีกฎหมายต่อต้านการทรมานและการบังคับสูญหาย แต่รัฐบาลกลับไม่นําพาต่อบทบัญญัติของกฎหมายฉบับสําคัญดังกล่าว” 

สุณัย ผาสุข

เหตุการณ์ล่าสุดกรณีส่งตัวชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คน กลับประเทศจีน เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงโต้แย้ง มีการทัดทานมาก่อนหน้านี้แล้วว่า อย่าส่งชาวอุยกูร์กลับไปให้จีน เพราะจะละเมิดกฎหมายภายในของไทย เสียงวิจารณ์เสียงทัดทานจากนานาชาติก็มีมาโดยตลอดแต่ไทยไม่ฟัง

รัฐบาลไทยกับการรับมือจากสายตานานาชาติ

แน่นอนว่าผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนของไทย อาจถูกมองในเชิงลบ จากการออกมาประณามของนานาชาติ แต่จะทำอย่างไรให้ผลกระทบนั้นน้อยที่สุดหลังจากนี้


สุณัย ชี้ว่าในมิติของการคุ้มครองผู้ลี้ภัย น่าเสียใจที่ตอนนี้ภาพลักษณ์ของไทยในสายตานานาชาติ กลายเป็นพื้นที่อันตราย เพราะพฤติกรรมของรัฐไทยที่ไม่เคารพกฎกติกาสากล ไม่เคารพแม้กระทั่งกฎหมายของไทยเอง ซึ่งคุ้มครองดูแลไม่ให้ส่งตัวบุคคลกลับไปเผชิญอันตราย

“หลักการพื้นฐานสําคัญมาก ๆ ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถูกละเมิด เราไม่ใช่ละเมิดครั้งเดียวแต่ละเมิดซ้ำแล้วซ้ำอีก”

สุณัย ผาสุข

โดยยอมรับด้วยว่า ถือเป็นการละเมิดต่อเนื่องจากยุครัฐบาลทหารต่อเนื่องมาถึงยุครัฐบาลเพื่อไทย ยิ่งไปกว่านั้นไทยได้รับเลือกไปเป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษชนสหประชาชาติ แต่กลับเกิดกรณีแบบนี้ขึ้น ยิ่งทําให้ไทยเป็นเป้าของการวิจารณ์ การประณาม การมองด้วยความไม่เชื่อถือในสายตาของนานาชาติ จึงต้องรับสภาพนี้ไปในระยะยาว


ส่วนในระยะสั้น ในประเด็นที่เป็นเรื่องเฉพาะหน้า ก็คือชะตากรรมของชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คน ที่ไทยส่งกลับไปให้จีน ไทยก็ต้องมีภาระในการติดตามดูแลคนเหล่านี้ตลอดไปว่าในช่วงอายุของพวกเขานั้น เขาจะไม่ถูกข่มเหงรังแก ไม่ถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย โดยทางการจีน

“เหมือนเป็นภาระที่ผูกมัดเราตลอดไปหลังจากนี้ ตอนนี้พูดได้ว่ากรณีส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คน ไปให้จีน ไทยอยู่ในสภาพที่เรียกว่า เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ พูดอย่างนี้ได้เลย”

สุณัย ผาสุข

กฎหมาย ขอบเขต ‘สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ’

นอกเหนือจากการถกเถียงว่าไทยละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว ในแง่ฎหมายสิทธิมนุษยชนที่มีความขัดแย้งกันเรื่องการส่งตัวผู้ลี้ภัยก็อาจเป็นกรณีศึกษา เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยเดินไปสู่จุดนั้น


สัณหวรรณ ศรีสด คณะกรรมการนิติศาสตร์สากล (ICJ) ยกตัวอย่างกรณีของเมียนมา ในกรณีของชาวโรฮิงญา เนื่องจากประเทศคู่กรณีเป็นสมาชิกของกฎหมายต่อต้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งเมียนมาก็เป็นสมาชิกเช่นกัน กรณีนี้เมียนมาถูกฟ้องว่าอาจจะละเมิดสนธิสัญญา แล้วคดีก็ขึ้นสู่ศาลโลก ศาลโลกก็มีคําสั่งชั่วคราวว่าให้ยุติการดําเนินการ ระหว่างที่จะรอฟังคําพิพากษาว่าละเมิดตัวอนุสัญญากฎหมายระหว่างประเทศตัวนี้จริงหรือไม่

สัณหวรรณ ศรีสด คณะกรรมการนิติศาสตร์สากล (ICJ)

จากกรณีดังกล่าวการยื่นต่อศาลโลกต้องเป็นประเทศที่ยื่นฟ้องอีกประเทศหนึ่งที่อยู่ในสนธิสัญญาเดียวกัน เช่น หากประเทศไทยถูกมองว่า กระทำละเมิดอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน กรณีส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับ ก็ต้องเป็นอีกหนึ่งเป็นประเทศที่ร่วมสนธิสัญญาเดียวกัน ที่จะสามารถยื่นฟ้องต่อศาลโลกได้ แต่ต้องตรวจสอบว่าทั้ง 2 ประเทศนี้ ไม่ได้ยกเลิกการใช้อำนาจการนำคดีไปสู่ศาลโลก ถึงจะสามารถยื่นฟ้องได้


ในส่วนของการผิดหลักอนุสัญญา และหลักการไม่ส่งกลับ (principle of non-refoulement) ตามกฎหมายระหว่างประเทศจะมี 3 ชั้น 

  • ชั้นแรก อนุสัญญาทรมาน และอนุสัญญาอุ้มหายฯ 
  • ชั้นที่สอง อนุสัญญากติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิประมวลสังคมทางการเมือง
  • ชั้นที่สาม กฎหมายของทางด้านฝั่งผู้ลี้ภัย

ส่วนร่มที่ใหญ่ที่สุด คือ สิ่งที่เรียกว่าเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ก็คือต่อให้ไม่เป็นสมาชิกก็ต้องปฏิบัติตามอัตโนมัติ ซึ่งหลักการนี้ก็ไปอยู่ในจารีตประเพณีระหว่างประเทศ


ถ้ามีความกังวลในเรื่องของการปฏิบัติ ก็คืออาจจะมีการละเมิดอนุสัญญาอย่างน้อย 3 อนุสัญญา ที่ไทยเป็นสมาชิก และประเพณีระหว่างประเทศที่ไทยผูกอยู่


หลักการระหว่างประเทศเหล่านี้มีคำอธิบายอยู่ อย่างกรณีกฎหมายอุ้มหายฯ ที่เชื่อมโยงกับไทยที่สุด ก็มีหลักการอธิบายของสหประชาชาติ ว่า วิธีการป้องปราบไม่ให้เกิด คือ ถ้าจะส่งตัวใครกลับต้องแจ้งบุคคลนั้นว่า “มีสิทธิ์ในการโต้แย้ง” ว่า ถ้าถูกส่งกลับไปอาจถูกทรมาน หรือถูกปฏิบัติอย่างโหดร้าย ไม่มีศักดิ์ศรี แล้วผู้ที่จะพิจารณาก็ต้องเป็นตุลาการ ถ้าศาลพิจารณาแล้ว และยังจะส่งบุคคลนั้นกลับไป เขาก็ต้องมีสิทธิ์ในการอุทรณ์ ว่า เขามีความเสี่ยงจริง ๆ

โดยในกรณีแบบนี้ศาลจะดู 2 อย่าง คือ

  1. ความเสี่ยงในระดับบุคคล ว่า บุคคลนั้นเป็น เชื้อชาติ ชนชาติ เชื้อสาย ศาสนา อะไร มีพื้นเพอะไรที่เขามีความเสี่ยง
  2. ความเสี่ยงในเชิงบริบท เช่น ในพื้นที่ประเทศนั้นมีปัญหาการกดขี่ คุกคาม คนประเภทไหนเป็นพิเศษหรือไม่

“ทำอย่างไร ถึงจะรู้ว่าเขาสมัครใจจริง ๆ แล้วเขารับทราบไหมว่าเขามีสิทธิ์ที่จะโต้แย้ง ในลักษณะว่าเขาไม่จำเป็นต้องถูกส่งกลับไป”

สัณหวรรณ ศรีสด

ย้อนเวลากลับไปยาก… ไทยจะลดผลกระทบอย่างไร ?

สัณหวรรณ ชี้ว่า อาจจะต้องกลับมาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร เป็นความสมัครใจอย่างแท้จริง หรือเป็นการไม่ปฏิบัติตามแผน พ.ร.บ เป็นการข้ามขั้นตอนกลไกคุ้มครองที่มันอยู่ในกฎหมายของเราหรือไม่ ต้องกลับมาทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายมิติ ในก้าวต่อไปต้องเกิดการแก้ไขเพื่อไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก


ปัญหา คือ มาตรา 13 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า บุคคลนั้นจะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย ใน พ.ร.บ. ที่เขียนไว้ ไม่มีกระบวนการข้างล่างที่จะถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้มั่นใจว่าถูกใช้จริง ดังนั้น ในอนาคตก็ต้องมีกระบวนการที่เอามาตรา 13 ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ

“ที่ทําไปแล้ว ยังไงก็ต้องกลับไปดูว่า คําว่าสมัครใจนี่คือ กระบวนการแบบไหน เข้าใจขนาดไหน แล้วระหว่างนั้น เขาเองก็มีสิทธิ์ในการปรึกษาหารือกับใครไหม ได้มีใครให้ข้อมูลเขาเรื่องหลักกฎหมายไหม ก่อนที่เขาจะถูกส่งกลับไป เขาได้โต้แย้งหรือไม่”

สัณหวรรณ ศรีสด

นั่นเป็นเสียงสะท้องของคนที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน และด้านกฎหมายที่วิเคราะห์เหตุการณ์ส่งชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนกลับจีน ซึ่งในเวลานี้สังคมยังคงต้องติดตามต่อไปว่า ชีวิตของพวกเขาที่บ้านเกิดอย่างเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ จะเป็นอย่างไร และภารกิจที่พ่วงมาของรัฐบาลไทย ในการติดตามความปลอดภัยของชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ในจีน


อีกทั้งการถูกนานาชาติตั้งคำถามอยู่ในเวลานี้ จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ไทยกลับมายืนอยู่อย่างมั่นคงบนแผนที่สิทธิมนุษยชนโลก ภายใต้ข้อตกลงที่รัฐบาลไทย และจีนทำร่วมกัน เมื่อรัฐบาลไทย ยืนยันว่า เป็นทางเลือกที่จะรักษาประโยชน์ให้กับไทยอย่างดีที่สุดแล้ว

Author

Alternative Text
AUTHOR

เมธาวี ทวีผล

เรียนมานุษยวิทยา สนใจเรื่องราวทางสังคม อยากปล่อยใจสู่เสรี