งาน Good Society Day 2025 ซึ่งจัดขึ้นโดย มูลนิธิเพื่อคนไทย เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ณ ลิโด้ คอนเนก ไม่เพียงเป็นเวทีเฉลิมฉลอง “สังคมดี” เท่านั้น แต่เป็นพื้นที่ส่องสะท้อน “โครงสร้างของสังคมดี” ที่เกิดขึ้นได้จริงในโลกที่เต็มไปด้วยอำนาจทับซ้อน ผลประโยชน์ และความเหลื่อมล้ำ
แม้จะมีการจัดงานมาหลายปี หัวข้อการสนทนาปีนี้ได้ทำให้เข้าใจง่ายมากขึ้นตามบริบทของสถานที่จัดใจกลางเมือง ยกตัวอย่างงานนำเสนอข้อมูลจาก ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่เปรียบเปรยภาพความเป็นจริงล้อไปมังงะเรื่องดาบพิฆาตอสูร (Demon Slayer) เทียบสังคมไทยปัจจุบันกับการสู้รบระหว่างเสาหลักและอสูร
การสนทนาภายในงาน Good Society จึงเป็นการถกกันในกรอบแนวคิดของสังคมที่ ชาริกา นำเสนอความ ‘เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย’ และสุดท้าย วิธีจัดการความร้ายในสังคมผ่านความร่วมมือ ชวนนึกถึงภาพยนตร์อีกหลายเรื่องที่แบ่งแยกตัวละครเอกจากตัวละครร้ายอย่างชัดเจน หรือพยายามให้คำตอบเรื่องความดีความร้าย อย่าง Wicked: For Good ที่กำลังจะเข้าฉายในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
The Active ชวนสำรวจ สังคมไทยผ่านนิยามของ ‘ความดี’ (เสาหลัก) ‘ความร้าย’ (Wicked) และโอกาสในการใช้ ‘ความร่วมมือ’ เป็นวิธีจัดการความร้ายนี้ จากเรื่องราวที่กลุ่มคนดีได้มาบอกเล่าผ่านเวที Good Talk และ Mini Talkshow ในงาน Good Society Day 2025 – Siam สนามลองดี

สิ่งร้ายในสังคมที่ชื่อ ‘อสูร’
บทส่วนหนึ่งจากภาพยนตร์เรื่อง Wicked (ชื่อแปลภาษาไทยแบบตรงตัวว่าความชั่วร้าย) กลินดาได้พูดตั้งคำถามไว้ว่า:
“คนเราชั่วร้ายแต่เกิดเหรอ? หรือถูกยัดเยียดความชั่วร้ายให้ทีหลัง?” ใจความสำคัญนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่งาน Good Society Day พยายามหาคำตอบ
ชาริกา เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของมังงะดาบพิฆาตอสูร เพื่ออธิบายความเหมือนเทียบเคียงระหว่างมังงะกับสังคมในปัจุบัน ที่ “ปีศาจไม่ได้เกิดมาเป็นปีศาจตั้งแต่แรก พวกเขาเป็นคนธรรมดา กลายเป็นอสูรด้วยระบบสังคม ด้วยข้อมูล หรือด้วยความลืมตัว”
เธอนำเสนอสิ่งร้ายในสังคมที่ต่างส่งผลกระทบ ทำให้คนไทยอาจกลายเป็นอสูรนั้นมีหลายมิติ อย่างเศรษฐกิจที่หยุดนิ่ง สมดุลที่แตกหัก และภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกษตรกรรายได้ลดลง แกร็บในเชียงใหม่ล้มลงจากความร้อน อุณหภูมิความร้อนที่เพิ่มขึ้นทุกปี ความเหลื่อมล้ำที่กว้างขึ้น ปัญหาธรรมาภิบาล และการขาดคุณภาพชีวิตของคนทำงาน ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องสุดโต่ง แต่เป็นความจริงที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องพบเจอและแก้ปัญหา
ชาริกา เล่าถึงนวัตกรรมที่ช่วยให้ความเป็นอยู่ของเราดีขึ้น มีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่กลับกัน ปัญหาสังคมก็ยังเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก
“เรามีอินเตอร์เน็ตเข้าถึงทั่วทุกพื้นที่ แต่ก็ยังมีเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา แรงงานที่เป็นรากฐานของสังคมก็ยังไม่ได้รับการคุ้มครอง แถมยังถูกซ้ำเติมด้วยภัยทางธรรมชาติ”
มีการกล่าวถึงกรณีข่าวคนขับรถแพลตฟอร์มไรเดอร์ที่จังหวัดเชียงใหม่ที่ล้มลงเพราะความร้อน ที่พอไปถึงโรงพยาบาลก็มีอาการปัสสาวะสีเป็นโค้ก สะท้อนผลกระทบจากปัญหาต่อคุณภาพชีวิตคนทุกคน
“เราคิดว่าเราอยู่ในเมืองร้อน ทนร้อนเก่ง คิดว่าไม่เป็นไร แต่จริง ๆ ความร้อนที่เพิ่มขึ้นทุกปีกระทบคนทำงานที่ไม่มีทางเลือก เหตุการณ์ต่าง ๆ ทำให้เห็นความเลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ”
สังคมไทยมีทั้ง เสาหลัก ที่ค้ำจุน และ อสูร ในคราบของปัญหาสังคมขนาดใหญ่ที่กัดกินคนอยู่ เราไม่อาจสร้างสังคมดีได้ หากไม่กล้า ยอมรับว่าอสูรนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร และจะจัดการมันได้อย่างไรบ้าง
“เสาหลัก” ในที่นี้หมายถึงกลุ่มคนและสถาบันที่ตั้งใจสร้างความดี เช่น ครอบครัว โรงเรียน ศาสนา สื่อ หรือรัฐ แต่ในขณะเดียวกัน เสาหลักเหล่านั้นก็อาจเป็น “อสูร” ได้ หากขาดความรับผิดชอบ ตรวจสอบไม่ได้ หรือปิดกั้นเสียงของผู้อื่น
งานนำเสนอของชาริกา ได้เปิดประตูให้ผู้ร่วมนำเสนอ Good Talk คนอื่น ๆ ร่วมเชื่อมต่อประเด็น จนเกิดภาพที่ชัดว่าความร้ายไม่สามารถถูกแยกออกจากปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมได้

กนกวรรณ โชว์ศรี ผู้อำนวยการโครงการ Good Society กล่าวว่าจากการประเมินภูมิทัศน์ของสังคมปัจจุบัน “ความท้าทายอันดับต้นคือ ในวันนี้เวลาพูดถึงปัญหาสังคมในมิติต่าง ๆ จะเห็นขนาดของปัญหาในประเทศไทยที่ดูยิ่งใหญ่จังเลย เมื่อเทียบกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่”
ข้อมูลสถิติของประเทศ ชี้ให้เห็นเด็กที่หลุดจากระบบศึกษาเป็นตัวเลขที่สูงทุกปี ความโปร่งใสและการต่อต้านทุจริตร่วงลง คะแนนสุขภาพคนไทยเสื่อมลง และโรค ภัย สถานการณ์ต่าง ๆ ที่มาโดยไม่ได้คาดการณ์นั้นกำลังกระทบระดับความกังวลต่ออนาคต และการใช้ชีวิต
“แอบแซวว่าเพจข่าว สื่อต่าง ๆ สามารถ copy-paste ข่าวจากปีที่แล้วใช้ต่อเนื่องได้เลย ใช้คำว่า ไทยร่วง ไทยรั้งท้าย ต่อไป”
กนกวรรณ กล่าวว่า “เป็นตัวเลขที่ภาคีหันไปมองเมื่อไหร่ ก็จะรู้สึกว่า เราต้องทำให้ได้มากกว่านี้”
อีกหนึ่งตัวเลขแทนปัญหาที่สังคมไทยกำลังเผชิญ กนกวรรณ เล่าถึงตัวเลขปี 2568 “ปีนี้เป็นปีแรกในรอบเจ็ดสิบปีที่มีเด็กเกิดไม่ถึง 500,000 คน” ปัญหาสาธารณสุขจากใจความสำคัญหน้าปกรายงานสุขภาพคนไทยประจำปีที่เขียนว่า ‘เกิดน้อย กู่ไม่กลับ’
“สังคมสูงวัยมาแน่ ๆ ก็ต้องมองย้อนว่า ระบบสาธารณสุขเราพร้อมรับมือกับเรื่องนี้หรือยัง หรืออย่างประเด็นสุขภาพจิต ที่แม้จะไม่ได้ขึ้นหน้าปก แต่ปีนี้ก็ยังมี 13 ล้านคนที่ต้องการการปรึกษาแพทย์”
ความชั่วร้าย หรือ ‘อสูร’ ที่ถูกพูดถึงในงานนี้ จึงไม่ได้เป็นการกล่าวหา ต่อว่า หรือเสียดสีคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นการมองปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ทำให้เกิด ‘อสูร’ ขึ้นมา ฉะนั้น ภารกิจการต่อกรกับอสูรที่ว่านี้ จึงเป็นการทำงานเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อหยุดวงจรที่เป็นผู้ก่อกำเนิดความชั่วร้ายเหล่านี้

เสาหลัก: ผู้ที่เลือกทำความดี
เพื่ออธิบายวันดี ๆ อย่าง Good Society Day วิเชียร พงศธร ประธานกรรมการและผู้ร่วมก่อตั้ง มูลนิธิเพื่อคนไทย เผยความตั้งใจตลอดระยะเวลาสิบปีที่ดำเนินงานจัดกิจกรรมต่าง ๆ มา “เรามีเป้าหมายเดียว คือการเชิญชวนคนไทยมาร่วมสร้างสังคมที่ดี”
วิเชียร เล่าถึงการทำงานว่า “เราไปขับเคลื่อนการทำงานต่าง ๆ ทำให้ในปัจจุบัน มีทั้งองค์กร บุคคลวัยต่าง ๆ ตั้งแต่เด็กไปจนถึงวัยเกษียณที่มามีส่วนร่วมขับเคลื่อน ร่วมสร้างสังคมที่ดี เป็นเรื่องน่าดีใจเป็นอย่างยิ่ง”
เขาเล่าถึงปรากฎการณ์ social movement ที่สำคัญมาตลอดเวลาหลายปี ยกตัวอย่างเพียงแค่สามเดือนที่ผ่านมา กิจกรรมประเภทนี้มีอีกมากมาย “อย่างงานวันต่อต้านคอร์รัปชันของ TIJ จัดงานหลักนิติธรรม เชื่อมโยงกับความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ หรืออินฟลูเอนเซอร์เข้ามามีส่วนร่วม”
“หรืองาน Bangkok Climate Action Week หนึ่งสัปดาห์ ที่ให้ภาคประชาชนที่เห็นภัยจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมาลงมือทำ ผมเห็นมีของภาคเอกชนจากงาน Sustainability Expo ได้เห็นผู้เล่นที่เห็นความสำคัญของการเชื้อเชิญคนมาร่วมสร้างสังคมดี” วิเชียร ยกเป็นปรากฎการณ์ที่ดีมาก เป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญในสังคม
และที่สำคัญอย่างยิ่ง ผลคือ มีผู้เล่นอย่าง active citizen, changemakers หรือ impact leaders มีตัวกลางผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง อย่างแพลตฟอร์ม องค์กร และสุดท้ายคือมีการขยายผล มีความร่วมมือขับเคลื่อนงานสังคมมากมาย
วิเชียร ปิดท้ายว่า “ตอนนี้เกิดความเคลื่อนไหว ขยับไปข้างหน้าอย่างเป็นที่ประจักษ์แล้ว”
“ไม่ใช่แค่แลกเปลี่ยนความรู้ แต่มีความคืบหน้า มีความคิดริเริ่ม ได้ลงมือทำ และต้องทำแบบที่มีทุนสนับสนุน”
เทใจดอทคอม พื้นที่กลางเพื่อการบริจาคหรือสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเพื่อสังคม ก็ได้เห็นโครงการมากมายอย่างหลากหลายในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา ทั้งนวัตกรรมจากรากหญ้า เช่น เด็กที่ดัดแปลงถังน้ำใช้แยกขยะ หรือบ้านที่ทำอาหารในงานดินเนอร์การกุศลเพื่อระดมทุน ไปจนถึงแนวโน้มการทำงานเชิงโครงสร้างที่เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หมอจากภาคตะวันออกที่ใช้โครงการต้นแบบเพื่อเปลี่ยนนโยบาย สปสช. ในเรื่องการรักษาลิ่มเลือดสมอง โดยไม่ต้องรอบริจาค แต่ลงมือทำความเข้าใจระบบ
“พอมันมีหัวใจที่อยากทำอะไรดี ๆ ให้กับสังคม และมีโอกาสให้เข้าถึงและได้ลองเริ่มลงมือ มันทำให้หลายคนได้เป็น Active Citizen”

เอด้า จิรไพศาลกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง เทใจ เล่าถึงความสนใจเรื่องสังคมของเธอ หลังจากได้เห็นตัวอย่างจากประเทศสิงคโปร์ เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนทำงานอาสาที่สนใจทุกปี เอด้าจึงมองว่าการเข้าถึงโอกาสการให้คืนสู่สังคมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ในเวลา 13 ปีที่ผ่านมา เทใจดอทคอม ได้รวบรวมเงินบริจาคกว่า 540 ล้านบาท ให้กำเนิด 1,569 โครงการจากประชาชนและองค์กรจำนวน 517 แห่ง ครบ 77 จังหวัดและเผยแพร่ไปถึง 4 ประเทศ นั่นทำให้เทใจและ เอด้า ได้เห็นเทรนด์การเริ่มลงมือทำในมิติใหม่ ๆ
“เราเริ่มเห็นว่า ถึงแม้จะไม่มีเงินก็มามีส่วนร่วมได้ เพราะเห็นคนใช้ความสามารถของตัวเองมามีส่วนร่วม”
เอด้า ชี้ให้เห็นเทรนด์คนรุ่นใหม่ ที่มีความสนใจในหลากหลายประเด็นมาก ๆ อย่างบางคนที่ไปโรงเรียนต่างจังหวัดแล้วเห็นว่าไม่มีห้องดนตรี หรือเห็นผลกระทบจากน้ำท่วม ก็ไม่นิ่งดูดาย บางคนก็เริ่มจากการขอไปตั้งชมรมในโรงเรียน พอตัวเองได้โอกาสทำความดีก็อยากที่จะเผยแพร่ให้คนอื่นได้รู้ด้วย
แม้จะได้เห็นความเคลื่อนไหวมากมายจากภาคประชาชน แต่หากสังคมไม่มีกลไกสนับสนุนจากผู้เล่นตัวใหญ่ ก็อาจจะไม่ได้เห็นการลงมือทำของคนดีเหล่านี้ต่อไป
อีกหนึ่งเสาหลักสำคัญคือภาคธุรกิจ ที่สามารถตัดสินใจดำเนินการเกินไปกว่าแค่ผลกำไร อาจนับรวมได้เป็นหนึ่งใน “Global Good Citizen” ชาริกา ยกตัวอย่างเช่น Patagonia ที่ปล่อยกำไรให้โลก No Bureau ที่เปิดประตูเงินที่เป็นธรรมให้แรงงาน หรือ Moreloop ที่เปลี่ยนผ้าเหลือใช้เป็นเศรษฐกิจหมุนเวียน
แต่เสาหลักนี้มีความซับซ้อน เพราะบ่อยครั้งที่กิจการที่เรามองเป็น “ตัวร้าย” อาจจะไม่ได้มาจากเจตนาหรือความตั้งใจ แต่เป็นเพราะระบบบังคับให้ความอยู่รอดต้องมาก่อน
ยกตัวอย่างรายงานบริษัทที่ทำการฟอกเขียวหรือ Greenwashing ชาริกาชวนคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ใช่การฟอกเขียวอย่างเจตนาทั้งหมด แต่คือความไม่ตรงกันระหว่างข้อมูล ระบบ และความรู้
“ไม่ใช่ว่าธุรกิจเจตนาเป็นคนไม่ดี แต่ด้วยข้อมูล ระบบ ความรู้ อาจจะไม่ได้เดินไปด้วยกัน” ชาริกา กล่าว
คนดี นิยามใหม่
บนเวทีเดียวกัน อาร์ม-ธนวัฒน์ ไตรพัชร์ ผู้เข้าร่วม Impact Leaders Program ของ School of Leadership ท้าทายความเข้าใจแบบเดิมของ “คนดี”
“ก่อนหน้านี้ ไม่เคยเห็นภาพตัวเองในคำว่าคนดีเลย ตั้งแต่ประถม เราถูกสอนว่าคนดีคือคนที่บริจาค ปลูกป่า หรืออุทิศชีวิตทั้งหมดให้สังคม” เขาเล่า “ครูประถมที่สอนเรื่องคนดีส่วนใหญ่ยกตัวอย่างพระ ทำให้รู้สึกว่าความเป็นคนดีมันสูงส่งมาก”
จนโครงการ Impact Leaders Program ได้บอกกับอาร์มว่า ความดีไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนตัวเองให้ตรงกับแนวคิด ‘ความดี’ ของใครอื่น แต่เป็นการหยิบยกความสนใจและความถนัดของตัวเอง แล้วเอามันไปสร้างผลลัพธ์
“ถ้าโลกในฝันของฉันคือโลกที่ทุกคนได้มีโอกาสเป็นคนดีในแบบของตัวเอง” อาร์มกล่าว “เมื่อถึงวันนั้น ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็จะมีคนดีอยู่ใกล้เต็มไปหมด”
ความร่วมมือ ช่างท้าทาย
แต่เมื่อเสาหลักพยายามร่วมมือ สิ่งเหล่านั้นก็พบว่าบ่อยครั้ง เสาหลักเหล่านั้นพูดไม่เข้าใจกัน
“ความร่วมมือเกิดขึ้นและจบลงในเวลาอันสั้นมาก บางโครงการสั้นมากหรือเดินมาครึ่งทาง จนต้องหยุด” กนกวรรณ อธิบาย
ความท้าทายหลัก มีหลายประการ: ไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับวัฒนธรรม ข้อจำกัด และบริบทของแต่ละภาคส่วน อย่างภาคธุรกิจ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ก่อนที่จะลงมือทำ การวัดผลและการกำหนดเป้าหมายร่วม ที่มักเป็นการนำเสนอเลขแต่ไม่ได้สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของชุมชน และส่วนที่ยากมากอีกส่วนนั่นคือ ความเต็มใจที่ต้องรับการตั้งคำถาม ตรวจสอบ และสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจกัน
อย่างที่กล่าวผ่าน David Foster Wallace ในการพูดเรื่อง ‘This is Water’ เปรียบคนเหมือนปลาที่ว่ายน้ำมาหลายปีแล้วมักลืมว่าตัวเองว่ายอยู่ในน้ำ ผู้คนในแต่ละภาคส่วนก็มองไม่เห็นบริบทรอบตัวที่อาจจะอยู่ใกล้จนลืมไปบ้าง
“เราคิดว่าเราเข้าใจ แต่บ่อยครั้งเราไม่ได้เข้าใจกัน” กนกวรรณ กล่าว

นภสินธุ์ ปิยะสินธ์ชาติ ผู้ร่วมก่อตั้ง มาหาลัยทำ ได้ร่วมกับชาวบ้านในภาคเหนือ เพื่อแก้ปัญหาน้ำสะอาดนาน 5 ปี เพราะเขามั่นใจว่า “ความดีต้องทำร่วม”
การศึกษากับชุมชนเพื่อทำความเข้าใจ การมอบสิทธิให้ชาวบ้านเลือก การสร้างระบบน้ำที่ชาวบ้านหลายสิบคนมารุมช่วย จนกระทั่งเด็กต่างหลายคนกลายเป็นคนดูแล ก็เป็นช่วงการแสดงออก ปลดปล่อยพลังชุมชน
“คิดว่าถ้าเราอายุ 60 เราอาจจะทำได้ 6 หมู่บ้าน” นภสินธุ์ ยิ้ม “แต่นี่ไม่ใช่การเดินทางที่จบด้วยตัวเราเอง” ความร่วมมือเหล่านี้ จะช่วยกระจายและเร่งขยายผลการทำความดีได้กว้างขวางและรวดเร็วขึ้น

ความร่วมมือในเมืองหลวงก็เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นอีกมิติหนึ่ง ที่มี ภาณุพงศ์ ชีพจิตรจรง และ ณัฐจักร สุขศุภชัย หรือ ตี้ และโฟล์คใช้ความชำนาญจากเอเจนซี่โฆษณา เข้าร่วมโครงการ Bootcamp กับกรุงเทพมหานคร เพื่อจัดการปัญหาการแยกขยะ พวกเขาได้เข้าไปหากลุ่มคนในกรุงเทพหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่แยกขยะ ค้นพบว่า 40% ของคนไทยแยกขยะเมื่ออยู่นอกบ้าน เพราะมีถังแบ่ง มีสี มีคนมาบอกวิธี
เขาทั้งสองจึงออกแบบใหม่ ภายใต้ BadxGood Bootcamp เปลี่ยนถังแยกขยะให้ใช้ได้กับถังใบเดียวในบ้าน เปลี่ยนการออกแบบสัญลักษณ์แห้งกับเปียก เพื่อให้การแยกขยะเป็นเรื่องที่ง่าย ผ่านการออกแบบผลิตภัณฑ์และงานสื่อสารด้วยความคิดสร้างสรรค์
เพราะเป็นความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน แก้ปัญหาเรื่องขยะในกรุงเทพฯ ที่กินงบประมาณการบริหารเมืองไปมาก จึงได้ทุนสนับสนุนให้ได้ผลิตเครื่องมือแยกนี้จริง ๆ และจะสามารถลงทะเบียนให้คนกรุงเทพรับฟรีได้ในแอปพลิเคชัน BKK Waste Pay ฟรี เร็ว ๆ นี้อีกด้วย
ในสังคมที่มีปัญหารอบด้าน ความร่วมมือที่ซับซ้อน คำถามสุดท้ายก็กลับมาที่การเลือกลงมือทำของเราทุกคน
ชาริกา ปิดการนำเสนอด้วยการเฉลยที่มาของอสูร “ความแตกต่างระหว่างคนเป็นอสูรหรือเสาหลักเป็นเรื่องของโอกาสและความเข้าใจ ความร่วมมือจึงเป็นส่วนสำคัญเพื่อให้คนเกิดความเข้าใจ ไม่ใช่การปิดปาก ตรงนี้คือทางเลือกของเรา: จะเสริมให้เกิดความดีหรือความร้ายมากกว่ากัน”
ในปี 2025 ที่เราตื่นมาเห็นนวัตกรรมพร้อมความหวัง แต่ก็เห็นภัยและความท้าทายพร้อม ๆ กัน ศาสตร์ของการเป็นเสาหลัก จึงไม่ใช่แค่การพึ่งพิงเสาหลักขนาดยักษ์ แต่เป็นเสาหลักที่เล็ก เล็กพอที่ทุกคนสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งได้ คือการเริ่มต้นด้วยความเข้าใจและความเต็มใจจะร่วมมือกันสร้างสังคมที่ดี
Good Society Day 2025 จึงไม่ใช่เพียงวันของความดีวันหนึ่ง แต่คือวันที่ช่วยสะท้อนภาพสังคมไทย พร้อมคำถามที่ยังไม่จบว่า “เราจะสร้างสังคมดี หรือสังคมที่ทำให้คนเป็นคนดีได้อย่างไร”

