ชีวิต(ไม่)ปกติ ‘ความเงียบ’ ที่ยังรู้สึกได้…ริมชายแดน

แม้เสียงปืนจะเงียบลงไปนานแล้ว แต่บาดแผลของผู้คนริมชายแดนไทย–กัมพูชา ยังไม่เคยจางหาย

ไม่ใช่แค่การสูญเสียชีวิต แต่คือวิถีที่ไม่อาจกลับมาเหมือนเดิม ท่ามกลางความตึงเครียด ความไม่แน่นอน การโหมไฟรักชาติ และคำสัญญาที่ไร้ความชัดเจนจากรัฐ

The Active กลับไปที่ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ อีกครั้ง เพื่อไปฟังเสียงผู้คนที่ยังคง "ใช้ชีวิต" อยู่ใต้ร่มเงาความไม่แน่นอน เมื่อคำว่า “ปกติ” อาจยังมาไม่ถึง
ช่วงบ่าย ๆ ของถนนเส้นผ่านหมู่บ้านกาบเชิง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ มุ่งหน้าไปยังจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม จากเดิมที่คราคร่ำไปด้วยรถขนส่งสินค้าระหว่างไทย-กัมพูชา แต่หลังเกิดเหตุปะทะ ตลอดระยะเวลานานกว่า 2 เดือน บรรยากาศที่นี่เงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด
พื้นที่บ้านกาบเชิง หมู่ 17 อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ มีบริบทกึ่งชนบท กึ่งเมือง ชาวบ้านราว 10% ยึดอาชีพเกษตรกร ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย ส่งผลให้เมื่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน นักท่องเที่ยวลดลง จึงกระทบผู้คนจำนวนมาก
พื้นที่บ้านกาบเชิง หมู่ 17 อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ มีบริบทกึ่งชนบท กึ่งเมือง ชาวบ้านราว 10% ยึดอาชีพเกษตรกร ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย ส่งผลให้เมื่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน นักท่องเที่ยวลดลง จึงกระทบผู้คนจำนวนมาก
“วิโรจน์ ร่วมทวี” พนักงานร้านอุปกรณ์ไฟฟ้า ยังคงต้องเฝ้าร้านที่ไร้เงาลูกค้า จากเดิมที่เคยขายได้วันละ 20,000-30,000 บาท แต่หลังเหตุปะทะริมชายแดนไทย-กัมพูชา บางวันขายได้ไม่ถึง 1,000 บาท... เขายอมรับว่า ผู้คนยังไม่กล้าใช้เงินไปกับการต่อเติม ซ่อมแซมบ้าน ต้องกอดเงินไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะยังมีคำสั่งให้เตรียมพร้อมอพยพ ผลที่ตามมาตอนนี้ทางร้านจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานบางส่วนจนกว่าสถานการณ์จะเป็นปกติ...“ปกติของรัฐ กับปกติของชาวบ้านไม่เหมือนกัน คนอยู่ติดชายแดน เขาระแวงเพราะทหารสองฝั่งยังประจันหน้ากันอยู่ แต่ถามว่ากังวลไหม เราอยากให้มันจบ ๆ ชีวิตจะได้กลับมาปกติจริง ๆ เสียที”
ในช่วงวันออกพรรษาที่ผ่านมา “นิติพัฒน์ เกตสุขสรรค์“ เจ้าของร้านขายเครื่องสังฆทาน เล่าว่า ปกติชาวบ้านที่นี่นิยมไปวัดทำบุญ แต่หลังเหตุปะทะ ธูปเทียน เครื่องสังฆทาน ขายแทบไม่ได้ เช่นเดียวกับร้านแว่นตาที่บรรยากาศเงียบเหงา รายได้ทั้ง 2 ร้านรวมกันยังไม่ถึง 1,000 บาท หรือหายไปเกือบ 80% นิติพัฒน์ จึงขอลดเงินเดือนลูกจ้างรวม 5 คน เพราะยังไม่เห็นความหวังที่สถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติในเร็ววันนี้... “เปิดร้านมา 18 ปี นี่คือช่วงที่แย่ที่สุด สมัยปะทะกันปี 2554 ตอนนั้นจบเร็ว ชาวบ้านกลับมาทำมาหากิน แต่รอบนี้ชาวบ้านไม่เชื่อว่ามันจะจบง่าย เพราะรัฐบาลยังไม่ชัดเจน ทหารก็ตรึงกำลังอย่างเดียว”
”ปาณิศา ทองทัพ” แม่ค้าร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ ภายในตลาดชุมชนบ้านกาบเชิง เป็นอีกคนที่สะท้อนถึงความไม่ปกติในพื้นที่ ทุกวันนี้เธอไม่กล้าตุนวัตถุดิบเนื่องจากการอพยพครั้งที่ผ่านมาร้านค้าของเธอได้รับความเสียหาย ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคไม่เหมือนช่วงก่อนที่จะมีการปะทะกัน รวมถึงความรู้สึกหวาดระแวงว่าจะเกิดเหตุซ้ำ...“ตอนนี้เราขายไปก็พร้อมจะวิ่งทุกครั้ง บางทีขายอยู่มีเสียงฟ้าร้องก็เหมือนเสียงระเบิดเราก็กลัว ยิ่งวันไหนมีข่าวว่าทหารบาดเจ็บ ช่วงนั้นคนจะเงียบทั้งตลาดเลย”
“บุญชาติ กระแสเทพ” พ่อค้ารถน้ำชง เป็นหนึ่งในชาวบ้านที่ตัดสินใจไม่อพยพช่วงที่มีการปะทะชายแดนรอบที่ 2 เพราะเป็นห่วงทรัพย์สิน และวัวควายที่เลี้ยงไว้ แม้สถานการณ์จะไม่รุนแรงเหมือนช่วงที่มีการปะทะกันใหม่ ๆ แต่รายได้หลักจากการตระเวณขายน้ำชงก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด จึงอยากให้ภาครัฐมีความชัดเจน ไม่ว่าทางการทหาร หรือเจรจาทางการฑูต
“ถ้าเจรจาแล้วจบมันก็ดี แต่ถ้าไม่จบเราจะทำยังไงให้คนมีความเชื่อมั่น อย่างการล้อมรั้วไม่ให้ฝั่งกัมพูชาเข้ามาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสร็จ ชาวบ้านก็กลัว คนค้าขายก็กลัว จะทำยังให้มันจบ ๆ”
“เชาวนะ มะลิมาตย์” ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 17 ต.กาบเชิง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ พา The Active สำรวจรอบหมู่บ้าน พร้อมอธิบายว่า บรรยากาศของเมืองต่างจากเดิมที่ผู้คนพลุกพล่าน มีการสัญจรเข้าไปในตัวเมือง พี่น้องชาวกัมพูชาที่เข้ามาถูกต้องตามกฎหมายจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้า หรือรักษาพยาบาลในพื้นที่ตัวอำเภอ หรือรถขนสินค้าจากไทยออกไปค้าขายที่กัมพูชา...สภาพวันนี้จึงถือว่าไม่ปกติ หากเป็นแบบนี้ต่อไปกังวลว่า รายได้ ปัญหาปากท้อง สภาพจิตใจของคนในพื้นที่ลดลงอย่างแน่นอน...“ผมเป็นห่วงเรื่องของสภาพจิตใจด้วย เราอยู่ด้วยความหวาดระแวงว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นซ้ำสองไหม สืบเนื่องจากการรับรู้ข่าวสารจากโลกโซเชียล หรือสื่อภาครัฐ เอกชนทำให้ชาวบ้านค่อนข้างระมัดระวังตัว โดยเฉพาะเมื่อมีรายได้เงินส่วนมากก็จะกันไว้เผื่อเหตุการณ์ถ้ามีการอพยพ จะได้ใช้เงินส่วนนี้ในการอยู่ในศูนย์พักพิง บ้านญาติ หรือเช่าโรงแรมอยู่”
ในวันที่ชุมชน ผู้คนตามแนวชายแดนพยายามเยียวยาแผลใจ และสร้าง “ความปกติใหม่” ด้วยตัวเอง คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่เมื่อไหร่ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิมอย่างแท้จริง แต่คือ หน่วยงานรัฐพร้อมแค่ไหนในการให้ข้อมูลที่ชัดเจน แผนรับมือที่โปร่งใส และแนวทางเยียวยาที่ตอบโจทย์ชีวิตคนริมชายแดน เพราะหากความไม่แน่นอนยังเป็นสิ่งเดียวที่ประชาชนได้รับ พวกเขาจะปกป้องชีวิต ครอบครัว และอนาคตของตัวเองได้อย่างไร

Author

Alternative Text
AUTHOR

รุ่งโรจน์ สมบุญเก่า

หนุ่มหน้ามนต์คนบางเลน สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ ชื่นชอบอนิเมะ ทั้งสัตว์บกสัตว์ทะเลล้วนเป็นเพื่อน