ภายหลัง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยุบสภาฯ ในวันที่ 12 ธ.ค. 2568 ถือเป็นสัญญาณเตรียมตัวสู่การเลือกตั้งใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 8 ก.พ. 2569 เท่ากับว่าแต่ละพรรคมีเวลาเตรียมตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้งนี้ภายในระยะเวลาไม่ถึงสามเดือน
รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ระบุว่า กรณียุบสภาฯ ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครเลือกตั้งจะต้องสังกัดพรรคเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 30 วันก่อนวันเลือกตั้ง หรือต้องสังกัดพรรคภายในวันที่ 9 ม.ค. 2569 ภายใต้กรอบระยะเวลานี้ ส่งผลให้แต่ละพรรคเริ่มกระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครเลือกตั้ง ทั้งรูปแบบเขตและรูปแบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) บางส่วนเริ่มทยอยเปิดตัวผู้ลงสมัครในเขตต่าง ๆ ด้วยความหวังที่จะชิงชัยและส่งคนของตนเข้าสู่สภาฯ และตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี
ไม่ใช่แค่พรรคที่ต้องการคน แต่คนก็ต้องการพรรคเช่นกัน หนึ่งในช่องทางที่ทำให้ผู้ลงสมัครมีแนวโน้มจะได้ตำแหน่ง สส. ตามที่ต้องการ คือ “การย้ายพรรค” โดยอาจเป็นการย้ายเข้าสู่ “พรรคใหญ่” ที่ดูจะทำให้ตัวเองมีโอกาสได้ไปต่อในบทบาทของผู้แทนราษฎร แม้แต่อดีต สส. หลายคน ที่ผ่านสนามเลือกตั้งในปี 2566 มาแล้วในพรรคหนึ่ง ก็อาจย้ายไปอีกพรรคหนึ่งในการเลือกตั้งปี 2569 เพื่อให้ตัวเองมีโอกาสมากขึ้นเช่นกัน
The Active ชวนสำรวจปรากฏการณ์ย้ายพรรค – ดูดคน ผ่านการสำรวจข้อมูลของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ที่ผ่านมา (หรืออดีต สส.) ว่าแต่ละพรรคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร พรรคไหนคนย้ายเข้า-ย้ายออกมากที่สุด และสมรภูมิระดับจังหวัดเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
- ดูข้อมูลดิบได้ที่ [Public – Active Data Lab] รายชื่ออดีต สส. ย้ายพรรคในการเลือกตั้ง 69

ไทม์ไลน์เหตุการณ์: จุดเปลี่ยนการเมืองตั้งแต่เลือกตั้ง 66 ถึงเลือกตั้ง 69
หลังการยุบสภาผู้แทนราษฎรของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันที่ 20 มี.ค. 2566 นำมาสู่การเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. 2566 ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่สอง ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 โดยในการเลือกตั้งปี 2566 นี้ มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์กว่า 75.71%
หนึ่งวันหลังการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการชี้ชัดว่า พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด รองลงมาคือพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยตามลำดับ
8 วันหลังการเลือกตั้ง วันที่ 22 พ.ค. 2566 เกิดการเพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) 23 ข้อ รวม 8 พรรคการเมือง (ได้แก่ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคเพื่อไทรวมพลัง) เพื่อจัดตั้งรัฐบาล “พิธา” 313 เสียง
หลังการเลือกตั้งเดือนเศษ กกต.ก็ได้รับรองผลการเลือกตั้งในวันที่ 19 มิ.ย. 2566 นำสู่การเปิดประชุมสภาฯ นัดแรก ในวันที่ 4 ก.ค. 2566 เพื่อปฏิญาณตน รวมถึงเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ 2 คน ตามมาด้วยการโหวตนายกฯ รัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค. 2566
ตัวแปรสำคัญในการโหวตนายกฯ คนที่ 30 ครั้งนี้ นอกจาก สส. จากการเลือกตั้งทั้ง 500 คนแล้ว ยังมีเสียงของ สว. อีก 250 คนซึ่งมาจากการคัดเลือกโดย คสช. (หรือเรียกว่า สว.เฉพาะกาล) ซึ่งรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ระบุว่า มีอำนาจในการโหวตนายกฯ
วันที่ 13 ก.ค. 2566 การโหวตเลือกนายกฯ คนที่ 30 รอบแรก มีผู้ถูกเสนอชื่อ 1 คน คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล การโหวตเสร็จสิ้นโดยพิธาได้คะแนนเห็นชอบ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 เสียง และงดออกเสียง 199 เสียง ซึ่งไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ 376 เสียง ทำให้ไม่ได้รับการเลือกเป็นนายกฯ คนใหม่ โดยใน 324 เสียง มี สว. โหวตเห็นชอบเพียง 13 คนเท่านั้น
การโหวตนายกฯ รอบที่ 2 ในวันที่ 18 ก.ค. 2566 มีการเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมร่วม 2 สภามีมติ 395 ต่อ 312 ชื่อของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ไม่สามารถนำกลับมาโหวตรอบ 2 ได้ นำไปสู่การเปิดทางให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคอันดับที่ 2 เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
พรรคเพื่อไทยแถลงจับมือร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย ในวันที่ 7 ส.ค. 2566 และแถลงจับมือเพิ่มเติมอีก 6 พรรค (ได้แก่ พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคท้องที่ไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง) ในวันที่ 9 ส.ค. 2566 ตามมา ท้ายที่สุด ในวันที่ 21 ส.ค. 2566 ก่อนการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 3 เพียงหนึ่งวัน พรรคเพื่อไทยรวมเสียงพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ได้ทั้งหมด 11 พรรค (ได้แก่ พรรคเพื่อไทย, พรรคภูมิใจไทย, พรรคพลังประชารัฐ, พรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคชาติไทยพัฒนา, พรรคประชาชาติ, พรรคชาติไทยพัฒนา, พรรคชาติพัฒนากล้า, พรรคเสรีรวมไทย, พรรคท้องที่ไทย และพรรคพลังสังคมใหม่) โดยมั่นใจว่าการโหวตเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ จะผ่านไปได้ด้วยดี
การโหวตเลือกนายกฯ ดำเนินมาถึงครั้งที่ 3 และสภาฯ มีมติให้เศรษฐา ทวีสิน ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศ ในวันที่ 22 ส.ค. 2566 ด้วยคะแนนเห็นชอบ 482 เสียง ไม่เห็นชอบ 165 เสียง และงดออกเสียง 81 เสียง ตามมาด้วยการแถลงนโยบายในวันที่ 11 ก.ย. 2566
หลังได้นายกฯ คนที่ 30 ไม่ถึงหนึ่งปี ศาลรัฐธรรมนูญก็เข้ามามีบทบาทในการชี้ชะตาการเมืองไทย จากการตัดสินยุบพรรคก้าวไกลและเพิกถอนสิทธิการเมืองกรรมการบริหารของพรรค 10 ปี ในวันที่ 7 ส.ค. 2567 และตัดสินเศรษฐา พ้นตำแหน่งนายกฯ และ ครม. พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ในวันที่ 14 ส.ค. 2567 กรณีแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี ห่างจากการตัดสินยุบพรรคก้าวไกลแค่ 1 สัปดาห์
นำมาสู่การเปิดทางให้แคนดิเดตนายกฯ อีกหนึ่งคนจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งคือ แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 31 และนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของประเทศ โดยสภาฯ โหวตเห็นชอบในวันที่ 16 ส.ค. 2567 ด้วยคะแนนเห็นชอบ 319 เสียง ไม่เห็นชอบ 145 เสียง และงดออกเสียง 27 เสียง โดยไม่มีเสียงของ 250 สว. เข้ามาโหวตนายกฯ เนื่องจากหมดวาระเป็นที่เรียบร้อย ตามมาด้วยการแถลงนโยบายของ ครม. ต่อรัฐสภาในวันที่ 12 ก.ย. 2567
เช่นเดียวกับกรณีของเศรษฐา ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามามีบทบาทในการชี้ชะตาตำแหน่งนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ภายในระยะเวลาบริหารไม่ถึง 1 ปี ก็มีคำวินิจฉัยให้แพทองธาร พ้นนายกฯ ในวันที่ 29 ส.ค. 2568 จากกรณีคลิปเสียงสนทนาสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ส่งผลให้ประเทสไทยต้องเดินหน้าหานายกฯ คนที่สามจากการเลือกตั้งปี 2566
การเลือกนายกฯ ใหม่นี้ มีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มอย่างชัดเจน ได้แก่ กลุ่มเพื่อไทย ที่เสนอชื่อชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคคนสุดท้าย และกลุ่มภูมิใจไทย ที่เสนอชื่ออนุทิน ชาญวีรกูล เป็นแคนดิเดตนายกฯ โดยพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่มีเสียงมากที่สุดในสภาฯ จำนวน 143 เสียง เป็นตัวแปรสำคัญในการลงมติครั้งนี้ ประกาศเป็นพรรคฝ่ายค้าน ไม่ร่วมดำรงตำแหน่งใน ครม. ชุดใหม่ เสนอจะลงมติให้กลุ่มที่ยอมรับเงื่อนไขยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน และระหว่างนี้ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดย สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว โดยต้องไม่เร็วไปกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไป
วันที่ 5 ก.ย. 2568 สภาฯ โหวตนายกฯ คนที่ 32 โดยมีผู้ถูกเสนอชื่อ 2 คน ได้แก่ อนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคภูมิใจไทย และชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย โดยที่ประชุมสภาฯ มีมติให้ อนุทิน เป็นนายกฯ คนถัดไป ด้วยคะแนน 311 ต่อ 152 เสียง โดยมีพรรคประชาชนร่วมโหวตอนุทินเป็นนายกฯ อย่างพร้อมเพรียง
รัฐบาลอนุทิน ตัดสินใจยุบสภาฯ ในวันที่ 12 ธ.ค. 2568 จากการฉีก MOA ที่ทำร่วมกับพรรคประชาชน และยังคงไว้ซึ่งอำนาจวุฒิสภาฯ โดยให้อำนาจ สว. 1 ใน 3 ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยอนุทิน นายกฯ ระบุว่า “ขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชน” ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ยังตึงเครียด และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังแก้ไขไม่สำเร็จ
และประกาศให้มีการเลือกตั้งพร้อมกับการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ในวันที่ 8 ก.พ. 2569 ที่จะถึงนี้
จากวันแรกถึงวันสุดท้าย แต่ละพรรคมี สส. เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ?
สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 นี้ มีวาระเพียง 2 ปีครึ่ง มี สส.ทั้งหมด 500 คน แบ่งเป็นแบบเขต 400 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ซึ่งในบางช่วงอาจไม่ได้มี สส. ครบ 500 คนในสภาฯ เนื่องจากอาจอยู่ระหว่างการสรรหา สส. จากการเลือกตั้งใหม่ หรือถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ยังมีบางช่วงที่ สส.ในสภาฯ ย้ายฝั่งย้ายพรรคตามสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนไป
โดยช่วงเวลาที่มีการย้ายหรือหายไปมี 2 ช่วงใหญ่ ๆ ด้วยกัน ได้แก่ ช่วงที่ยังเป็น สส. อยู่ (ตั้งแต่ กกต. รับรองผล ถึงก่อนยุบสภาฯ) และช่วงที่ไม่ได้เป็น สส. แล้ว (หลังยุบสภาฯ ถึงล่าสุด) โดยแต่ละพรรคมีการเปลี่ยนแปลงจำนวน สส. ดังนี้
| พรรค | กกต. รับรองผล 19 มิ.ย. 2566 | ก่อนยุบสภาฯ 11 ธ.ค. 2568 | หลังยุบสภาฯ ล่าสุด | เทียบก่อน-หลัง ยุบสภาฯ |
|---|---|---|---|---|
| ภูมิใจไทย | 71 | 71 | 134 | +63 |
| เพื่อไทย | 141 | 140 | 123 | -17 |
| ก้าวไกล / ประชาชน | 151 | 143 | 115 | -28 |
| กล้าธรรม | – | 26 | 47 | +21 |
| ประชาธิปัตย์ | 25 | 25 | 8 | -17 |
| ประชาชาติ | 9 | 9 | 8 | -1 |
| พลังประชารัฐ | 40 | 20 | 5 | -15 |
| รวมไทยสร้างชาติ | 36 | 36 | 5 | -31 |
| พลวัต | – | – | 3 | +3 |
| ไทยสร้างไทย | 6 | 6 | 1 | -5 |
| ชาติไทยพัฒนา | 10 | 10 | 0 | -10 |
| พรรคอื่น ๆ | 11 | 9 | 3 | -6 |
| อื่น ๆ เช่น ลาออก, ไม่ไปต่อ, มีแนวโน้มย้ายพรรค | 43 | |||
| รวม | 500 | 495 | 495 | – |
ในช่วงที่ยังเป็น สส. อยู่ (ก่อนยุบสภาฯ) มีการเปลี่ยนแปลงที่นั่งครั้งใหญ่ของ 2 พรรคด้วยกัน ได้แก่ พรรคก้าวไกล เนื่องจากโดนศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 ส่งผลให้ 11 กรรมการบริหารของพรรคถูกตัดสิทธิ์ 10 ปี (ในจำนวนนี้มี สส. ทั้งหมด 6 คน) และมีการโยกย้าย สส.พรรคก้าวไกลเดิม ไปสังกัดพรรคประชาชน
อีกพรรคที่มีการเปลี่ยนแปลงคือ พรรคกล้าธรรม ซึ่งย้ายมาจากพรรคพลังประชารัฐเป็นหลัก (20 คน) จากพรรคเล็ก 4 พรรค (4 คน) จากพรรคภูมิใจไทย (1 คน) และจากการเลือกตั้งใหม่ (1 คน)
การย้ายพรรคครั้งนี้ยังส่งผลให้พรรคพลังประชารัฐมีเสียงลดลงเกือบครึ่ง จากพรรคที่เคยใหญ่ที่สุดในสภาฯ เป็นอันดับที่ 4 ร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 7
และในช่วงที่ไม่ได้เป็น สส. แล้ว (หลังยุบสภาฯ) พบว่ามีการย้ายพรรคเป็นจำนวนมาก ซึ่งมากกว่าการย้ายในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมารวมกัน โดยมี 3 พรรคเท่านั้น ที่มีจำนวนอดีต สส. สุทธิเพิ่มขึ้น ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม และพรรคพลวัต ในขณะที่พรรคอื่น ๆ มีจำนวนอดีต สส.สุทธิ ลดลงทั้งหมด
คนแห่เข้าพรรคไหนมากที่สุด ?
โดยพรรคที่มีคนย้ายเข้ามากที่สุดได้แก่ พรรคภูมิใจไทย (ย้ายมา 64 คน รวมเป็น 134 คน) พรรคกล้าธรรม (ย้ายมา 21 คน รวมเป็น 47 คน) และพรรคพลวัต (ย้ายมา 3 คน รวมเป็น 3 คน) ตามลำดับ โดยทั้ง 3 พรรค มีจำนวนอดีต สส.สุทธิเพิ่มขึ้น
พรรคภูมิใจไทย จากเดินที่เป็นพรรคใหญ่อันดับที่ 3 มี สส. รวม 71 เสียงในสภาฯ กลายมาเป็นพรรคใหญ่อันดับ 1 ทันที หลังจากที่ นายกฯ อนุทิน จากพรรคภูมิใจไทยยุบสภาฯ โดยมีอดีต สส. ย้ายมาร่วมสมทบพรรคภูมิใจไทยในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ จาก 8 พรรคด้วยกัน (ได้แก่ พรรครวมไทยสร้างชาติ 22 คน, พรรคเพื่อไทย 12 คน, พรรคพลังประชารัฐ 11 คน, พรรคชาติพัฒนา 10 คน, พรรคประชาธิปัตย์ 6 คน, พรรคไทยสร้างไทย 1 คน, พรรคประชาชาติ 1 คน และพรรคชาติพัฒนา 1 คน) รวมเป็น 64 คน และมีอดีต สส. จากพรรคภูมิใจไทยเดิม 70 คนที่ไปต่อ (ไม่ไปต่อ 1 คน) รวมมีเสียงทั้งหมด 134 เสียง ผลักให้พรรคภูมิใจไทยมีเสียงจากอดีต สส. มากที่สุดเป็นอันดับที่ 1
เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ของพรรคกล้าธรรม ที่มีอดีต สส. ย้ายมาร่วมกว่า 21 คน ซึ่งย้ายมาจากพรรคประชาธิปัตย์ 8 คน, พรรคพลังประชารัฐ 4 คน, พรรครวมไทยสร้างชาติ 3 คน, พรรคเพื่อไทย 3 คน, พรรคประชาชน 2 คน และพรรคไทยสร้างไทย 1 คน รวมกับของเดิมที่ไม่มีใครย้ายออกเลย 26 คน รวมเป็น 47 คน
และพรรคพลวัต ซึ่งเป็นพรรคหน้าใหม่ที่เพิ่งตั้ง ก็มีอดีต สส. ย้ายมาสมทบ 3 คน จากพรรคเป็นธรรม 1 คน (กัณวีร์ สืบแสง) และพรรคประชาชน 2 คน (สุรพันธ์ ไวยากรณ์ และอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล)
คนย้ายออกจากพรรคไหนมากที่สุด ?
ในขณะที่พรรคที่มีคนย้ายออกมาที่สุดคือ พรรครวมไทยสร้างชาติ (ย้ายออก 26 คน) ตามมาด้วยพรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทย (ย้ายออกพรรคละ 15 คน)
โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีอดีต สส. ย้ายออก 26 คนจาก 36 คน (หรือคิดเป็น 72.22%) ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูง ตัวอย่างคนย้ายออกจากพรรค เช่น
- พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง (อดีต สส.บัญชีรายชื่อ) อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในปี 2553 (ย้ายไปพรรคประชาธิปัตย์)
- ธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ (อดีต สส.เพชรบุรี เขต 1) บ้านใหญ่ ‘อังกินันทน์’ เพชรบุรี (ย้ายไปภูมิใจไทย)
- เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (อดีต สส.บัญชีรายชื่อ) อดีตเลขาธิการ พรรครวมไทยสร้างชาติ (ย้ายไปภูมิใจไทย)
อดีต สส.พลังประชารัฐ ย้ายออกจากพรรค 15 คน จาก 20 คน (หรือคิดเป็น 75%) ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงเช่นกัน ตัวอย่างคนย้ายออกจากพรรค เช่น
- ทวี สุระบาล (อดีต สส.ตรัง เขต 2) อดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ย้ายไปภูมิใจไทย)
อดีต สส.เพื่อไทย ย้ายออกจากพรรค 15 คน จาก 140 คน ตัวอย่างคนย้ายออกจากพรรค เช่น
- มนัสนันท์ หลีนวรัตน์ (อดีต สส.นครราชสีมา เขต 6) ลูกชายกฤษฎา หลีนวรัตน์ (หรือนายกฯ เบี้ยว) นายกเทศมนตรีธัญบุรี (ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย)
- ไชยา พรหมา (อดีต สส.หนองบัวลำภู เขต 2) อดีตรองประธานสภาฯ คนที่ 1 (ย้ายไปพรรคกล้าธรรม)
สมรภูมิเลือกตั้ง จังหวัดไหน เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ?

การย้ายพรรคไม่เพียงทำให้จำนวนเสียงอดีต สส. เปลี่ยนไปเท่านั้น หากพิจารณาตามเขตการเลือกตั้งจะพบว่า บางพื้นที่บางเขตมีการเปลี่ยนมือของพรรคที่ครองเสียงในเขตนั้น ๆ โดยการเลือกตั้งปี 2566 ที่ผ่านมา มีทั้งหมด 400 เขต รวมเป็นมี สส.เขต ทั้งหมด 400 คน หากพิจารณาถึงสถานการณ์การย้ายพรรคของอดีต สส.เขตในปัจจุบันจะพบว่า
- ไม่ได้ย้ายพรรค 292 คน
- ย้ายพรรค 78 คน
- มีแนวโน้มย้ายพรรค (จากการมีกระแสข่าวลือ หรือปรากฏว่าร่วมงานหรือมีความสัมพันธ์กับคนในพรรคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พรรคตัวเอง) 10 คน
- ไม่ได้ไปต่อ (เช่น ลาออก ประกาศว่าไม่ลงเลือกตั้ง) 20 คน
โดย 78 คนที่ย้ายพรรค แบ่งออกเป็น ย้ายไปพรรคภูมิใจไทย 57 คน, ย้ายไปพรรคกล้าธรรม 19 คน, ย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ 1 คน และย้ายไปพรรคพลวัต 1 คน โดยในบางพื้นที่พบว่ามีสัดส่วนพรรคเปลี่ยนไป จากการย้ายของ อดีต สส.
โดยเฉพาะการย้ายเข้าพรรคภูมิใจไทยที่ได้ครองเสียงของอดีต สส. ไว้ในหลายจังหวัด โดยจังหวัดที่พรรคภูมิใจไทยขึ้นมาครองเป็นหลัก ประกอบด้วย
| จังหวัด | จำนวนเขตเลือกตั้ง (เท่าจำนวน สส.) | สถานการณ์ก่อนยุบสภาฯ (พรรคและจำนวน สส.) | สถานการณ์ปัจจุบัน (พรรคและจำนวน สส.) |
|---|---|---|---|
| สุพรรณบุรี | 5 | ชาติไทยพัฒนา 5 | ภูมิใจไทย 5 |
| เพชรบูรณ์ | 6 | พลังประชารัฐ 6 | ภูมิใจไทย 5 กล้าธรรม 1 |
| นครปฐม | 6 | ชาติไทยพัฒนา 3 ประชาชน 2 พลังประชารัฐ 1 | ภูมิใจไทย 3 ประชาชน 2 กล้าธรรม 1 |
| เพชรบุรี | 3 | รวมไทยสร้างชาติ 2 ภูมิใจไทย 1 | ภูมิใจไทย 3 |
| ยโสธร | 2 | ภูมิใจไทย 1 ไทยสร้างไทย 1 เพื่อไทย 1 | ภูมิใจไทย 2 เพื่อไทย 1 |
| สระบุรี | 4 | ภูมิใจไทย 1 เพื่อไทย 1 ประชาชน 1 กล้าธรรม 1 | ภูมิใจไทย 2 ประชาชน 1 กล้าธรรม 1 |
| นครนายก | 2 | เพื่อไทย 2 | ภูมิใจไทย 2 |
| ชุมพร | 3 | รวมไทยสร้างชาติ 3 | ภูมิใจไทย 2 รวมไทยสร้างชาติ 1 |
| สุราษฎร์ธานี | 7 | รวมไทยสร้างชาติ 6 ภูมิใจไทย 1 | ภูมิใจไทย 5 กล้าธรรม 1 รวมไทยสร้างชาติ 1 |
| พังงา | 2 | ภูมิใจไทย 1 พลังประชารัฐ 1 | ภูมิใจไทย 2 |
| นครศรีธรรมราช | 10 | ประชาธิปัตย์ 6 ภูมิใจไทย 1 กล้าธรรม 1 พลังประชารัฐ 1 | ภูมิใจไทย 5 ประชาธิปัตย์ 3 กล้าธรรม 2 |
| ตรัง | 4 | ประชาธิปัตย์ 2 พลังประชารัฐ 1 รวมไทยสร้างชาติ 1 | ภูมิใจไทย 2 ประชาธิปัตย์ 1 รวมไทยสร้างชาติ 1 |
อีกหนึ่งพรรคที่เข้ามามีบทบาทและคนย้ายเข้าจำนวนมากก็คือพรรคกล้าธรรม ซึ่งมีจังหวัดที่กล้าธรรมขึ้นมาครองเป็นหลัก ดังนี้
| จังหวัด | จำนวนเขตเลือกตั้ง (เท่าจำนวน สส.) | สถานการณ์ก่อนยุบสภาฯ (พรรคและจำนวน สส.) | สถานการณ์ปัจจุบัน (พรรคและจำนวน สส.) |
|---|---|---|---|
| ประจวบคีรีขันธ์ | 3 | ประชาธิปัตย์ 2 ภูมิใจไทย 1 | กล้าธรรม 2 ภูมิใจไทย 1 |
| กำแพงเพชร | 4 | กล้าธรรม 2 พลังประชารัฐ 2 | กล้าธรรม 4 |
ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐและพรรคพลวัตมี อดีต สส.เขต ย้ายเข้าเพียงพรรคละ 1 คนเท่านั้น ได้แก่
- ประภา เฮงไพบูลย์ (อดีต สส.กาฬสินธุ์ เขต 4) ย้ายจากพรรคภูมิใจไทย ไปพรรคพลังประชารัฐ
- สุรพันธ์ ไวยากรณ์ (อดีต สส.นนทบุรี เขต 1) ย้ายจากพรรคประชาชน ไปพรรคพลวัต
ในส่วนของคนที่ไม่ได้ไปต่อทั้ง 19 คน ซึ่งมาจากพรรคประชาธิปัตย์ 2 คน และส่วนใหญ่มาจากพรรคประชาชน 17 คน ซึ่งมีที่มาจากทั้งการถอนตัว และกระบวนการสรรหาผู้แทนฯ ของพรรคประชาชนที่ส่งผลให้อดีต สส. บางรายไม่ได้ไปต่อ
แม้จะมีการย้ายพรรคของอดีต สส. เป็นจำนวนมาก แต่การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ก็ยังต้องรอดูต่อไปว่าเหล่าอดีต สส. เหล่านี้ ไม่ว่าจะย้ายหรือไม่ย้ายพรรคจะได้รับโอกาสเข้าสู่สภาฯ ในสมัยหน้าหรือไม่ ยิ่งเมื่อบทบาทของกลุ่ม สว.แต่งตั้งได้หมดไป ส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งนี้ มีเพียง สส.ชุดใหม่เท่านั้นที่จะได้โหวตนายกฯ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า เสียงของประชาชนมีความหมาย ในการกำหนดทิศทาง นโยบาย และอนาคตของประเทศต่อไป
หมายเหตุ
- ข้อมูล สส. เป็นข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการ โดยสืบค้นจากการประกาศของพรรค และการนำเสนอของสื่อออนไลน์ ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2568
- ดูข้อมูลดิบได้ที่ [Public – Active Data Lab] รายชื่ออดีต สส. ย้ายพรรคในการเลือกตั้ง 69
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- เปลี่ยนขั้ว ย้ายค่าย เช็กยอด สส.ย้ายพรรค โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง | The Active
- ระหว่างบรรทัดสุนทรพจน์นายกฯ: การเมืองของการนำนโยบายไปปฏิบัติในประเทศไทย | Policy Watch
- ความสุจริตเที่ยงธรรมในการเลือกตั้ง สำคัญอย่างไร | Policy Watch
- รัฐบาลเสียงข้างน้อย ในมุมมองเชิงเปรียบเทียบ | Policy Watch
- เช็กผลคะแนนเลือกตั้ง 66 เรียลไทม์ | Thai PBS

