“รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย คือ การปลดล็อกให้เด็กเรียนได้ไกลบ้าน
และฝันได้ไกลขึ้นในโลกของความเป็นจริง”
นั่นเป็นส่วนหนึ่งของความเห็นที่ ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เคยระบุเอาไว้ ในวันที่นโยบาย รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย กำลังจะเกิดขึ้นจริง ซึ่งเวลานี้อยู่ระหว่างเปิดให้ ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์
เป้าหมายจึงไม่ใช่แค่การลดภาระค่าครองชีพการเดินทางให้กับประชาชน แต่สิ่งที่ เสมา 2 คาดหวังมากว่านั้น คือ เชื่อว่านี่จะเป็นนโยบายรัฐบาล ที่ไปสู่นโยบายการศึกษาเชิงโครงสร้าง เพื่อเชื่อมเด็กไทยเข้าสู่โอกาสทางการศึกษา เปิดโอกาสให้เด็ก และผู้ปกครองเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้สะดวกขึ้น ช่วยลดค่าเดินทางที่หลายครอบครัวต้องแบกรับ ทำให้มีเงินเหลือสำหรับสิ่งจำเป็นอื่น ๆ เช่น อาหาร อุปกรณ์การเรียน หรือกิจกรรมเสริมทักษะ

นอกจากนี้ ยังช่วยให้เด็ก ๆ เดินทางไปโรงเรียนได้ปลอดภัยขึ้น มีทางเลือกโรงเรียนมากขึ้น และไม่ต้องกังวลเรื่องระยะทางหรือต้องตื่นเช้าเกินไป
เมื่อคนเดินทางคล่องตัว ใช้เวลาในการเดินทางน้อยลง เวลาชีวิตที่เหลือก็เอาไปสร้างประโยชน์ได้ทุกภาคส่วน แต่คำถามสำคัญคือ แล้วทุกวันนี้การคมนาคมของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ครอบคลุมแล้วจริงหรือ ?
ลำพังแค่รถไฟฟ้า…จะพาการศึกษามาอยู่ใกล้บ้านเด็กไทยได้จริงไหม ? หรือ ฝันนั้นก็ยังคงไกลห่าง โดยเฉพาะเด็กในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ไม่ต้องหวังถึงรถไฟฟ้า แค่รถเมล์สาธารณะสักคัน ก็อาจจะยังเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
แล้วฝันสู่โรงเรียนคุณภาพใกล้บ้านจะใกล้เป็นจริงหรือยัง ?
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเดินทางมาโรงเรียนด้วยรถไฟ และไม่ใช่ทุกสถานศึกษาจะใกล้รถไฟฟ้าในระยะเดินได้ The Active ชวนสำรวจข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อพิสูจน์ว่าจะมีสักกี่สถานศึกษาที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้า และนักเรียนกี่คนที่จะได้ประโยชน์จริงตามคำกล่าวอ้างของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพราะถ้าการมีรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายของ กระทรวงคมนาคม สามารถแก้ไขปัญหาคุณภาพโรงเรียนใกล้บ้านได้ กระทรวงศึกษาธิการก็อาจจะไม่จำเป็นต้องทำอะไรแล้วมั้ง…?
- หมายเหตุ : Interactive Map ข้างต้นรวมข้อมูลที่ตั้งของสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษาไว้ด้วย แต่ข้อมูลที่อ้างถึงในบทความชิ้นนี้ไม่ได้นับรวมจำนวนของสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา
0.97% ของสถานศึกษาในไทย อยู่ใกล้รถไฟฟ้าในระยะเดินได้
ในความเข้าใจทั่วไปปัจจุบันรถไฟฟ้าทั้ง 10 สาย ความยาวกว่า 270 กิโลเมตร ยังคงกระจุกตัวอยู่ในเขตเมือง โดยมีอีก 15 เขต จาก 50 เขตของ กทม. ที่ยังไม่มีรถไฟฟ้าเข้าถึง ได้แก่ ทวีวัฒนา, หนองแขม, บางบอน, บางขุนเทียน, ทุ่งครุ, ราษฎร์บูรณะ, จอมทอง, ยานนาวา, บางคอแหลม, คลองสามวา, ดุสิต, ลาดพร้าว, บึงกุ่ม, หนองจอก และ สะพานสูง ส่วนปริมณฑลมีเพียง 3 จังหวัดที่รถไฟฟ้าเข้าถึงแบบแฉลบไปมา ได้แก่
- สมุทรปราการ: สายสีเหลือง สายสีเขียวอ่อนฝั่งใต้เดินรถไปถึงอำเภอเมืองสมุทรปราการ และสายเชื่อมท่าอากาศยานเดินรถไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ตั้งในอำเภอบางพลี
- ปทุมธานี: สายสีเขียวอ่อนฝั่งเหนือ เดินรถไปถึงอำเภอลำลูกกา สิ้นสุดที่สถานีปลายทางคูคต และสายสีแดงขยายเส้นทางไปถึงอำเภอเมืองปทุมธานี สิ้นสุดที่สถานีรังสิต
- นนทบุรี: สายสีม่วง สายสีชมพู และสายสีแดง ให้บริการถึงอำเภอเมืองนนทบุรี อำเภอบางใหญ่ อำเภอบางบัวทอง และอำเภอปากเกร็ด

The Active ได้นำแผนที่เส้นทางรถไฟฟ้าทั้ง 10 สาย มาประกอบกับข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ปีการศึกษา 2567 โดยใช้พิกัดทางภูมิศาสตร์ คือ ละติจูดและลองจิจูดของสถานศึกษาในกรุงเทพฯ, สมุทรปราการ, ปทุมธานี และนนทบุรี รวม 2,712 แห่ง วิเคราะห์ผ่านโปรแกรม Google My Map เพื่อดูว่ามีสถานศึกษาใดตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้าบ้าง โดยกำหนดระยะการเดินเท้าสูงสุดที่คนเมืองพอจะเดินไหวคือ 800 เมตร หรือราว 10 นาที (อ้างอิงข้อมูลจาก ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง UddC) ทั้งนี้ การวิเคราะห์ชุดข้อมูลดังกล่าวมีข้อจำกัด โดยพิจารณาเฉพาะระยะกระจัด ไม่ได้พิจารณาจากระยะเดินเท้าจริง
จากการวิเคราะห์ด้วยชุดข้อมูลทางภูมิศาสตร์ พบว่า
- ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีสถานศึกษา 444 แห่งที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า หรือคิดเป็น 30.37% ของจำนวนสถานศึกษาทั้งหมด 1,462 แห่ง
- ในพื้นที่จังหวัดข้างเคียงที่มีรถไฟฟ้าไปถึง ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี มีสถานศึกษา 100 แห่งที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า หรือคิดเป็น 8% ของจำนวนสถานศึกษาทั้งหมด 1,250 แห่ง
- ผลรวมของจำนวนสถานศึกษาที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าในระยะเดินได้มีทั้งสิ้น 544 แห่ง หรือคิดเป็นเพียง 0.97% ของจำนวนสถานศึกษาทั้งหมด 56,100 แห่ง ในประเทศไทย
เมื่อนำข้อมูลจำนวนนักเรียนจาก ศูนย์ข้อมูลการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ปีการศึกษา 2567 พบว่า
- ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีนักเรียนในสถานศึกษาที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าทั้งสิ้น 288,574 คน หรือคิดเป็น 29.71% ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด 971,429 คน
- ในพื้นที่จังหวัดข้างเคียงที่มีรถไฟฟ้าไปถึง ได้แก่ นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี มีนักเรียนในสถานศึกษาที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าทั้งสิ้น 59,087 คน หรือคิดเป็น 9.75% ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด 605,799 คน
- ผลรวมของจำนวนนักเรียนในสถานศึกษาที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้ามีทั้งสิ้น 345,148 คน หรือคิดเป็นเพียง 2.98% ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด 11,564,077 คนในประเทศไทย
พื้นที่ | จำนวนโรงเรียน (แห่ง) | คิดเป็น (%) | จำนวนนักเรียนที่สังกัด | คิดเป็น (%) |
สถานศึกษาใน กทม. ที่ใกล้รถไฟฟ้าระยะ 800 เมตร | 444 | 30.37% | 288,574 | 29.71% |
สถานศึกษาในจังหวัดนนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานีที่ใกล้รถไฟฟ้าระยะ 800 เมตร | 100 | 8.00% | 59,087 | 9.75% |
สถานศึกษาในประเทศไทยที่ใกล้รถไฟฟ้าระยะ 800 เมตร | 539 | 0.96% | 345,148 | 2.98% |
ที่มา: ประมวลข้อมูลศูนย์ข้อมูลการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ปีการศึกษา 2567 โดย The Active
นี่ยังไม่นับเงื่อนไขว่า จะมีนักเรียนสักกี่คนที่มีบ้านอยู่ใกล้รถไฟฟ้า ดังนั้น ฉากทัศน์ในฝันที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพูดถึง จึงต้องอาศัยเงื่อนไข 2 อย่างพร้อมกัน ได้แก่
- โรงเรียนต้องอยู่ใกล้รถไฟฟ้า
- บ้านนักเรียนก็ต้องอยู่ใกล้รถไฟฟ้าด้วย
เมื่อคิดตามนี้ จำนวนเด็กที่ได้ประโยชน์จากการที่โรงเรียนตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า ก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก แทนที่จะหวังให้เงื่อนไขทั้ง 2 ประการลุล่วงได้โดยปาฏิหาริย์ ทำไม ? เราถึงไม่ตั้งเป้าให้ทุกคนมีโรงเรียนดี ๆ ใกล้บ้านเลยตั้งแต่ต้น ?

ยังต้องเรียนไกลบ้าน แค่ราคาถูกลงเฉย ๆ
“เป็นแนวคิดที่ผิดฝาผิดตัว” คือ คำจำกัดความเมื่อ อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) ถูกถามถึงมุมมองที่มีต่อคำกล่าวของ รมช.กระทรวงศึกษาธิการ โดยย้ำว่า การเข้าถึงการศึกษาที่ดีไม่ควรผูกโยงกับการเดินทางเพียงอย่างเดียว และการพูดเช่นนี้เท่ากับตีความบทบาทของระบบขนส่งสาธารณะ และปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษาอย่างตื้นเขิน
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากกว่าคือ การยกระดับคุณภาพโรงเรียนให้ใกล้เคียงกันทั่วประเทศ เพื่อให้ โรงเรียนใกล้บ้าน มีคุณภาพไม่ต่างจากโรงเรียนในเมืองใหญ่ การที่เด็กต่างจังหวัดสักคนจ่ายเงิน 20 บาทเข้ามาเรียนโรงเรียนดังในเมือง ไม่ได้หมายความว่า เรามีการศึกษาที่ดีมีคุณภาพและเข้าถึงได้ง่าย เพราะระบบการศึกษาก็มีความเหลื่อมล้ำเช่นเดิม เพียงแค่มีรถไฟฟ้าที่ถูกลง
ขณะที่ ระยะทางก็ไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญในการพิจารณาเพื่อส่งลูกเข้าโรงเรียน ผู้ปกครองบางกลุ่มสามารถจ่ายค่าเทอมหลักแสนบาทให้ลูกเข้าโรงเรียนเอกชนชื่อดัง หรือทุ่มเงินลงคอร์สกวดวิชาเพื่อให้ลูกสามารถสอบเข้าสถานศึกษามีชื่อเสียงได้ และเป็นไปเบิกทางสู่อนาคตที่ดีกว่า ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้เทียบกับค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ถือว่าน้อยมาก ดังนั้นการจะอ้างว่านโยบายค่าโดยสารราคาถูกจะเปิดโอกาสให้คนเข้าถึงโรงเรียนดี จึงเป็นตรรกะที่คลาดเคลื่อน
“หน้าที่สำคัญของกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ใช่แค่การอุดหนุนค่าเดินทางเพื่อพาคนไปสู่โรงเรียนที่ดี แต่คือการทำให้โรงเรียนทุกแห่ง ‘ดีอย่างเท่าเทียม’ ซึ่งเป็นบริการขั้นพื้นฐานที่ประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่งใช้ในการออกแบบระบบการศึกษาที่เป็นธรรม
อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้

(ภาพ: UddC)
ข้อมูลจากงานศึกษาของ UddC ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษาฯ พบว่า ใน กทม. มีโรงเรียนสามัญที่เปิดสอนระดับประถมศึกษา ถึง มัธยมศึกษา กระจายตัวครอบคลุมมากพอ เด็กใน กทม. ส่วนใหญ่อยู่ห่างจากโรงเรียนไม่เกิน 1–7 กิโลเมตร ดังนั้น หากรัฐสามารถยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ทัดเทียมกันทั่วทั้งระบบ ก็ไม่จำเป็นที่เด็กต้องเดินทางข้ามเขตมาเรียนโรงเรียนดังใจกลางเมือง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังคงเป็นปัญหาคือพื้นที่เรียนรู้นอกห้องเรียน เช่น ห้องสมุด, พิพิธภัณฑ์ หรือแกลเลอรี่ ซึ่งกระจุกตัวอยู่ในเมืองชั้นในเท่านั้น ทั้งที่ควรถูกออกแบบให้กระจายไปในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่มักไม่มีโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้เลย แค่การทำถนนเข้าไปยังโรงเรียนในถิ่นทุรกันดารก็ยังยากลำบาก
ดังนั้น หากจะเคลมถึงการ ปลดล็อก โอกาสการศึกษาอย่างแท้จริง ควรต้องเริ่มจากการจัดการความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และสร้างระบบสนับสนุนการเรียนรู้ที่หลากหลายระหว่างทางบ้านถึงโรงเรียน ไม่ใช่แค่พึ่งพารถไฟฟ้าอย่างเดียว
เขายังย้ำว่า ถ้าจะวิเคราะห์เรื่องการเดินทางเพื่อการศึกษา ต้องมองให้ครบทั้งระบบ ตั้งแต่บ้านถึงสถานศึกษา ไม่ใช่แค่ระยะทางจากสถานีรถไฟฟ้าถึงโรงเรียน การพูดว่านโยบาย 20 บาทจะปลดล็อกฝันของเด็ก จึงเป็นการจับเรื่อง 2 เรื่องมายัดรวมกัน โดยไม่พิจารณาภาพรวม ทั้งที่จริงแล้วนโยบายนี้อาจเหมาะสมในฐานะมาตรการลดค่าครองชีพของคนเมืองมากกว่า
แต่สิ่งที่ชวนคิดต่อไปว่า แล้วเม็ดเงินภาษีที่นำมาสนับสนุนให้คนกรุง จะสร้างประโยชน์ใดให้กับคนต่างจังหวัด ? โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่างเชียงใหม่ หรือขอนแก่น ที่พยายามผลักดันโครงการรถไฟฟ้ามานานนับสิบปี แต่ยังไม่มีความคืบหน้า หรือนี่คือสิ่งที่ควรได้รับความสนใจจากผู้กำหนดนโยบาย

ใกล้แค่ไหนคือใกล้ ?
อดิศักดิ์ ยังชี้ว่า นิยามของ โรงเรียนใกล้บ้าน ไม่ได้แปลว่า โรงเรียนต้องอยู่ติดรั้วบ้าน แต่ควรพิจารณาจากความเหมาะสมตามระดับชั้น เช่น ระดับอนุบาลซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ของเด็กเล็กควรอยู่ใกล้ชุมชนมากที่สุด เพื่อความสะดวกของผู้ปกครองและเด็ก ส่วนระดับประถมหรือมัธยมอาจอยู่ไกลออกไปบ้าง แต่ก็ยังต้องสามารถเข้าถึงได้สะดวก เช่น มีรถโรงเรียนหรือระบบขนส่งรองรับในระยะทางที่เหมาะสมประมาณ 5 – 10 กิโลเมตร
ใกล้อย่างเดียวไม่พอ ต้องเข้าถึงได้ง่ายและมีคุณภาพร่วมด้วย โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หากสามารถพัฒนาโรงเรียนในชุมชนให้มีคุณภาพเทียบเท่าโรงเรียนในเมือง ก็ไม่จำเป็นต้องส่งเด็กไปเรียนไกลถึงในตัวจังหวัดหรือข้ามอำเภอ เพราะทุกวันนี้หลายครอบครัวก็พยายามพาลูกหลานออกจากบ้านเพื่อไปเรียนโรงเรียนคุณภาพในตัวเมืองซึ่งไกลบ้านมากกว่า
จึงเตือนว่า ในอนาคตอีก 3-10 ปีข้างหน้า ปัญหาอัตราการเกิดต่ำและจำนวนเด็กที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพและการบริหารจัดการงบประมาณด้านการศึกษาอย่างมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดและพื้นที่ชนบทเกิดสภาวะโรงเรียนร้าง กระทรวงศึกษาธิการจึงมีแนวคิดในการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก และควบรวมกับโรงเรียนใกล้เคียงเพื่อให้มีคุณครูจำนวนเพียงพอต่อชั้นเรียน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตามมาคือต้นทุนในการเดินทางของผู้ปกครองและนักเรียนเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐควรมีนโยบายสนับสนุนด้านการเดินทางควบคู่กันไป
“นี่จึงเป็นโจทย์สำคัญที่ภาครัฐต้องมองให้ขาด และวางแผนเชิงระบบ
อดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้
ไม่ใช่แค่มองเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่เพียงอย่างเดียว”
สังคมที่ออกแบบมาดี…
จะไม่ทำให้ ‘สถาบันการศึกษา’ ทำลาย ‘สถาบันครอบครัว’
พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542 ระบุไว้ชัดว่า “รัฐต้องสนับสนุนให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา” เพราะเห็นแล้วว่า หากปล่อยให้กระทรวงศึกษาธิการดูแลโรงเรียนกว่า 50,000 แห่งทั่วประเทศเพียงลำพัง ระบบการศึกษาจะยิ่งใหญ่โตเทอะทะ และไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
ที่สำคัญ เป้าหมายของการศึกษาไม่ควรทำให้ผู้คนต้องห่างไกลบ้าน ลูกต้องห่างพ่อแม่มาอยู่หอพักกลางเมือง เพื่อเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่ดีกว่า แต่การศึกษาควรทำให้ผู้คนรักบ้านเกิด และเสริมสร้างความมั่นคงของครอบครัวมากกว่า
ข้อมูลประชากรแฝงจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2566 สะท้อนชัดว่า ระบบการศึกษายังคงผลักให้คนต้องออกจากบ้านเพื่อมาเรียนในเมือง ราว ๆ 240,000 คน คือ ประชากรแฝงกลางวันที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ในจำนวนนี้มี 60.7% อยู่ในระดับอุดมศึกษา, 17% อยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย, 20.4% อยู่ในระดับชั้นที่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า ยิ่งการศึกษาที่สูงขึ้นเท่าไหร่ เราจำเป็นต้องห่างบ้าน เพื่อเข้ามาเรียนในเมืองมากขึ้นเท่านั้น
ผลประเมินคุณภาพการศึกษาปี 2565 ชี้ว่า การศึกษาที่ดี ยังจำกัดอยู่แค่เมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ} สมุทรปราการ, นนทบุรี และภูเก็ต ส่วนอีก 56 จังหวัดอยู่ในเกณฑ์ พอใช้ และ 4 จังหวัด (ตาก, ยะลา, ปัตตานี และนราธิวาส) อยู่ในเกณฑ์ ควรปรับปรุง สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำที่ทำให้เลขาธิการสภาศึกษา เสนอให้เร่งกระจายอำนาจและทรัพยากรทางการศึกษา (สำหรับข้อมูลโดยละเอียด The Active เคยเรียบเรียงไว้แล้ว สามารถอ่านได้ ที่นี่)
ในหลายพื้นที่ โรงเรียนที่มีคุณภาพอาจตั้งอยู่ไกลจนเด็ก ๆ จำเป็นต้องไปอยู่หอพักหรือเข้าโรงเรียนกินนอน ส่งผลให้ชีวิตของนักเรียนขาดความอบอุ่นจากครอบครัว และความสัมพันธ์กับชุมชนหรือบ้านเกิดถูกตัดขาดโดยไม่ตั้งใจ แต่สำหรับ อดิศักดิ์ ยังเชื่อว่า การเรียนรู้ควรเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับชีวิตของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราอยากให้เด็กมีใจรักบ้านเกิด ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จริง ก็ต่อเมื่อเด็กสามารถใช้ชีวิต เรียนรู้ และเติบโตในพื้นที่ของตนเอง การศึกษาจึงไม่ควรสร้างเงื่อนไขที่ทำให้เยาวชนต้องห่างจากมาตุภูมิ เพื่อขวนขวายกันแต่เรื่องวิชาการ แต่การศึกษาก็ควรทำให้เด็กเรียนรู้ได้ในชุมชน และนำสร้างประโยชน์แก่ชุมชนที่พวกเขาเกิดมา
จึงเสนอว่า หากระบบสามารถจัดการให้เด็กเข้าถึงโรงเรียนที่มีคุณภาพภายในอำเภอหรือพื้นที่ใกล้บ้านได้ ก็จะช่วยรักษาความเชื่อมโยงกับถิ่นฐานเดิม ทั้งในแง่ของอัตลักษณ์ ความผูกพัน และแรงบันดาลใจในการกลับมาพัฒนาท้องถิ่นของตนในอนาคต ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการวางรากฐานการศึกษา
ขณะเดียวกัน หากในบางพื้นที่ยังจำเป็นต้องมีโรงเรียนกินนอน หรือระบบการศึกษาที่เด็กต้องอยู่นอกบ้าน ก็ควรพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนและชุมชนโดยรอบควบคู่กันไป เพื่อไม่ให้การย้ายออกจากบ้านเพื่อการศึกษาเป็นการละทิ้งรากเหง้าที่หล่อหลอมตัวตนของเด็กโดยสิ้นเชิง

บทส่งท้าย : ฝันของเด็กไทยอยู่ที่ไหนสักแห่ง…ระหว่างทางจาก ‘บ้าน’ ถึง ‘โรงเรียน’
นอกจากการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพใกล้บ้าน สิ่งที่ภาครัฐไม่ควรละเลยคือ ระหว่างทางจากบ้านถึงโรงเรียน เพราะเส้นทางนี้ คือโอกาสของการเรียนรู้ที่หลายคนมองข้าม มันอาจนำเยาวชนไปสู่โอกาสใหม่ ๆ หรือผลักพวกเขาไปสู่ความเสี่ยงก็ได้ ดังนั้น หน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการไม่ใช่แค่การหวังให้กระทรวงคมนาคมช่วยพาเด็กเดินทางสะดวกขึ้น แต่ต้องคิดไปให้ถึงว่า จะทำอย่างไรให้เด็กทุกคนมีโอกาสเรียนรู้ได้ทุกตารางนิ้ว ในทุกเส้นทางระหว่างบ้านและโรงเรียน
เรากำลังพูดถึงแนวคิด เมืองแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรมองให้กว้างกว่าบทบาทของกระทรวงศึกษาธิการ เพราะการจะทำให้เมืองเป็นพื้นที่ที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งในแง่ของนโยบาย โครงสร้างพื้นฐาน และกิจกรรมที่ต่อยอดองค์ความรู้นอกห้องเรียน
ในช่วงหลัง เริ่มมีความพยายามผลักดันให้เมืองเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ผ่านวาทกรรมใหม่ ๆ เช่น การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือการส่งออกวัฒนธรรมชุมชนให้กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม ผช.ผอ.UddC ก็มองว่า ในหลายพื้นที่ชนบทยังขาดพื้นที่ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เช่น พิพิธภัณฑ์ในต่างจังหวัดที่ยังไม่สามารถทำหน้าที่ถ่ายทอดหรือสร้างองค์ความรู้ต่อเนื่องให้ประชาชนเข้าถึงได้จริง
การออกแบบเมืองให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ควรคิดให้หลากหลายและลึกซึ้งกว่าการเพิ่มห้องสมุดหรือสร้างห้องเรียน โดยควรดึงภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรม และบุคลากรในชุมชน เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน มาสร้างพื้นที่เรียนรู้ที่มีชีวิต ไม่ใช่แค่รูปธรรมของอาคารหรือสื่อการสอน แต่เป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงกับผู้คนและชุมชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของหลายกระทรวง ไม่ใช่แค่ภาคการศึกษา
เพราะการเรียนรู้ไม่ได้มีแค่ในโรงเรียน เมืองทั้งเมืองสามารถเป็นหน่วยในการขับเคลื่อนให้คนในเมืองรู้จักพัฒนาตัวเองและตามหาความฝันได้ตลอด ไม่จำกัดช่วงวัย แม้แต่ First Jobber ที่ต้องการอัปสกิล หรือผู้สูงอายุที่เกษียณแล้วแต่ยังอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ก็มีส่วนร่วมให้เกิดกิจกรรมของเมืองได้
ดังนั้น เมืองควรออกแบบให้มีพื้นที่และระบบที่รองรับการเรียนรู้แบบตลอดชีวิต (lifelong learning) ซึ่งหากทำได้ เมืองจะไม่ใช่เพียงสถานที่อยู่อาศัย แต่คือระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของทุกคน ทุกช่วงวัย ทุกที่ ทุกเวลา โดยไม่ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปหาการศึกษาเพียงอย่างเดียว