- เทรนด์ใหม่วงการสาธารณสุข! รพ.สต. ย้ายสังกัด ยกระดับการรักษาแบบจัดเต็ม
- เมื่อหมออนามัยเปลี่ยนสังกัด งานหมอใกล้บ้านจะปังขึ้นไหม ?
- ส่องความเปลี่ยนแปลง เมื่อ รพ.สต. เปลี่ยนเจ้านาย คนไข้ได้อะไรมากกว่าเดิม ?
ไม่เพียงมีหน้าที่ทำให้น้ำไหล ไฟสว่าง หนทางสะดวกเท่านั้น แต่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่ มีศักยภาพในการตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกมิติ รวมถึงด้าน “สาธารณสุข” ด้วย
การถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) มาสู่การดูแลของ อบจ. เป็นส่วนหนึ่งของการกระจายอำนาจด้านสาธารณสุขสู่ท้องถิ่น นับเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้บริหาร อบจ. จะสามารถใช้ รพ.สต. ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพและส่งเสริมการป้องกันโรคในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุดมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่กำหนดให้เริ่มกระบวนการถ่ายโอน รพ.สต. สู่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ผ่านมาเกือบ 25 ปีแล้ว แต่การถ่ายโอนดังกล่าวยังทำได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
แน่นอนว่ามีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความรู้เฉพาะทาง เช่น การจัดหาบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกลที่มีทรัพยากรจำกัด แม้บางพื้นที่ที่มีความพร้อมและรายได้สูงจะสามารถบริหารจัดการได้ดี แต่ในภาพรวมแล้วยังมีช่องว่างที่ต้องเร่งแก้ไขและพัฒนา เพื่อให้การกระจายอำนาจนี้เกิดผลลัพธ์ที่แท้จริง
แต่บนหลักการของการกระจายอำนาจเชื่อว่าการที่ รพ.สต. มาสังกัด อบจ. จะช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขของคนท้องถิ่นได้ เพื่อเห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น The Active เปรียบเทียบเส้นทางการให้บริการของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ระหว่าง รพ.สต. สังกัดกระทรวงสาธารณสุข และ รพ.สต. ที่ถูกถ่ายโอนมายัง อบจ.
หากผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่ม NCDs เดินทางมารับบริการที่ รพ.สต. สังกัดกระทรวงสาธารณสุข แนวทางการรักษาอาจเป็นดังนี้
- การตรวจและคัดกรอง: รพ.สต. จะให้บริการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เช่น การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยชุดตรวจ Rapid Test
- การรักษา: ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ต้องการการรักษาอย่างต่อเนื่องจะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลชุมชน (รพช.) เพื่อให้แพทย์ดูแลรักษา และหลังจากนั้นผู้ป่วยอาจถูกส่งกลับมาที่ รพ.สต. เพื่อรับการติดตามผลการรักษา
- ทรัพยากรทางการแพทย์ บาง รพ.สต. อาจมีแพทย์จาก รพช. มาประจำบางวัน แต่ไม่ได้มีแพทย์ประจำทุกวัน
การเงิน: รพ.สต. มีรายรับจาก 2 แหล่ง คือ
- กระทรวงสาธารณสุข สำหรับค่าใช้จ่ายประจำ (Fixed Cost) เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ และเงินเดือนบุคลากร
- สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งจะจัดสรรงบประมาณ มาที่ โรงพยาบาลชุมชน ในฐานะ หน่วยบริการประจำที่เป็นคู่สัญญาในการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ หรือ Contracted Unit of Primary care โดยแบ่งเงินในส่วยของ งบฯส่งเสริมป้องกันโรค (PP) มาที่ รพ.สต. ส่วนค่ารักษาพยาบาลจะถูกรวมไปที่ รพช.
รพ.สต. ในระบบเดิมอาจไม่สามารถรักษาโรคเรื้อรังอย่างเบาหวานได้ครบจบในที่เดียว โดยผู้ป่วยต้องพึ่งพา รพช. และในกรณีที่เกินศักยภาพของ รพช. ก็ต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศูนย์ในจังหวัด
ขณะที่เมื่อผู้ป่วยโรคเบาหวานคนเดียวกัน หากมารับบริการที่ รพ.สต. ภายใต้การดูแลของ อบจ. รูปแบบการให้บริการอาจมีความแตกต่างดังนี้
- การรักษาโรคเรื้อรังจบในที่เดียว: ด้วยการสนับสนุนจาก อบจ. รพ.สต. อาจพัฒนาศักยภาพจนสามารถให้บริการดูแลโรคเรื้อรังได้ครบจบในที่เดียว เช่น การตรวจติดตามและรักษาโดยแพทย์หรือบุคลากรที่มีความชำนาญ
- การเงิน: รพ.สต. มีรายรับจาก 2 แหล่งเหมือนเดิม แต่ค่า Fixed Cost ที่ได้รับจาก อบจ. จะเพิ่มขึ้น มีความยืดหยุ่นและเพียงพอมากขึ้น ส่วน งบรายหัวจาก สปสช. ซึ่งเดิมเคยถูกจัดสรรผ่าน รพช. จะถูกแยก ออกมา เรียกว่า CUP Split และส่งตรงมายัง รพ.สต. โดยตรง ทำให้ รพ.สต. มีอิสระในการบริหารงบประมาณ แต่ต้องตามจ่ายเมื่อมีการส่งต่อ
- การส่งต่อ: หากผู้ป่วยต้องส่งต่อไปยัง รพช. หรือโรงพยาบาลศูนย์ กรณีที่เกินศักยภาพของ รพ.สต. เช่น การทำหัตถการเฉพาะทาง รพ.สต. จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ตัวอย่าง รพ.สต. ถ่ายโอน ที่ประสบความสำเร็จ
รพ.สต.แม่ข่า อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เป็นพื้นที่นำร่องในโครงการความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เพื่อทำการศึกษาวิจัย การสร้างรูปธรรมของกระบวนการพัฒนาและสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิในพื้นที่แบบ Cup Split โดยมุ่งเน้นงานส่งเสริมป้องกันโรคในพื้นที่
2 ปีแล้ว หลังจากที่ รพ.สต. แม่ข่าได้รับการถ่ายโอนจากกระทรวงสาธารณสุขมาอยู่ภายใต้การดูแลของ อบจ.เชียงใหม่ การพัฒนาด้านสาธารณสุขในพื้นที่ก็เริ่มเป็นรูปธรรม ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCD จากโรงพยาบาลฝางกว่า 300 คน ถูกแบ่งเบาไปรับการรักษาที่นี่
ในอดีต ผู้ป่วยจำนวนมากต้องรอคิวรับการรักษาในโรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืดจนถึงค่ำ แต่วันนี้ รพ.สต. แม่ข่า มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวประจำ รวมถึงห้องแล็บตรวจเลือด ที่จัดซื้อโดยงบประมาณ อบจ. ที่สามารถตรวจวัดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดได้ทันที ทำให้สามารถจ่ายยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือ รพ.สต. แห่งแรกในพื้นที่ ที่มีระบบนี้
อำเภอฝางมีประชากรราว 60,000 คน และอีก 30,000–40,000 คนเป็นประชากรแฝง การคัดกรองโรคพบว่า ทุก 6 คนในพื้นที่จะมี 1 คนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ขณะที่โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงในบางรายพัฒนาไปสู่โรคไตวาย ซึ่งสร้างภาระค่าใช้จ่ายให้กับระบบสุขภาพอย่างมหาศาล
โรงพยาบาลฝางมีเครื่องฟอกไตเพียง 16 เครื่อง แต่มีผู้ป่วยที่ต้องรอคิวอีก 63 ราย “กิตติกร สอนบาลี” วัย 47 ปี เป็นหนึ่งในนั้น เขาต้องล้างไตผ่านช่องท้องโดยมีแม่วัย 69 ปีคอยดูแล เพราะเป็นอัมพาตซีกซ้ายจากเส้นเลือดในสมองแตกช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ กิตติกรเริ่มจากป่วยด้วยโรคเบาหวาน ก่อนพัฒนาไปสู่ความดันโลหิตสูง และสุดท้ายกลายเป็นโรคไตวายเรื้อรัง เขาอยากให้ อบจ.สร้างหน่วยไตเทียม ที่ อ.ฝาง
“โสดาบัน อุตมะแก้ว” ผู้อำนวยการ รพ.สต. แม่ข่า บอกว่า หากเราปล่อยให้ผู้ป่วยโรค NCDs เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ระบบหลักประกันสุขภาพหรือบัตรทอง อาจล้มละลายได้ในอีกสิบปี เพราะโรคเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายสูง
“หลังจากที่วางระบบการรักษาพยาบาลครบถ้วนแล้วภายใน 1-2 ปี เราจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาในอนาคต ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบส่งเสริมสุขภาพให้สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนได้ การส่งเสริมสุขภาพเป็นสิ่งที่ยาก เพราะต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อดูแลสุขภาพตัวเองโดยไม่พึ่งยา”
ผอ.รพ.สต.แม่ข่า กล่าว
รพ.สต.แม่ข่า กำลังสร้างระบบใหม่ที่เน้นการสร้างพฤติกรรมที่ดีของประชาชนก่อนที่จะต้องแก้ไขด้วยการรักษา ซึ่งเราโชคดีที่มีทีมงานรุ่นใหม่เข้ามาช่วยเสริม เช่น แพทย์ เภสัชกร และบุคลากรอื่น ๆ ที่มีความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพ โดยไม่เพียงแค่พูดว่าเราจะเน้นการ “สร้างนำซ่อม” แต่เราได้ลงมือทำจริง เพื่อสร้างระบบที่เน้นการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพก่อนที่จะเกิดปัญหา
ผอ.รพ.สต. เล่าย้อนว่า เมื่อก่อนเราสังกัดกระทรวงสาธารณสุข งบประมาณมาจากแหล่งเดียว ซึ่งบางครั้งไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน ท้องถิ่นเองถึงแม้จะมีงบประมาณ แต่ก็อาจจะไม่เข้าใจปัญหาสุขภาพในพื้นที่มากนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการถ่ายโอนภารกิจให้กับ อบจ. ทำให้ปัญหาต่าง ๆ สามารถถูกนำเสนอและได้รับการสนับสนุนได้อย่างตรงจุด
อบจ. มีความยืดหยุ่นในการใช้งบประมาณ สามารถเข้ามาช่วยเหลือภายในระยะเวลาอันสั้น ทำให้กระบวนการพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งต่างจากกระทรวงสาธารณสุขที่งบประมาณมีข้อจำกัดมากกว่า
ดังนั้น การก่อสร้างหรือปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ในปัจจุบันจึงมาจากการสนับสนุนของ อบจ. เช่น การซื้อยา วัคซีน หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์บางส่วนที่เราขาดงบประมาณ อบจ. ก็สามารถจัดหาให้ได้ ถือเป็นความร่วมมือที่ช่วยยกระดับการบริการสาธารณสุขในพื้นที่อย่างแท้จริง
เขาเชื่อว่า การมีผู้บริหารที่ใส่ใจในระบบสุขภาพของประชาชน และการมีวิสัยทัศน์ในการวางงบประมาณเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น ผู้บริหารที่มาจากประชาชนจะเข้าใจถึงความจำเป็นของการดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะจัดสรรงบประมาณเพื่อประชาชน แม้ว่าจะต้องขาดทุนในบางกรณี
ถ่ายโอน รพ.สต.ไป อบจ. 3 ปีคืบหน้าไม่ถึงครึ่ง
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รพ.สต. จำนวน 45.1% จากทั้งหมด 9,878 แห่ง ได้ถ่ายโอนไปยัง อบจ. ภายใต้เงื่อนไข “สมัครใจ” ปีงบประมาณ 2566 ซึ่งเป็นปีงบประมาณแรกที่มีการถ่ายโอน รพ.สต. ไป อบจ. อย่างจริงจัง มี รพ.สต. ที่สมัครใจถ่ายโอนในปีนั้นถึง 3,263 แห่ง แต่ในปีงบประมาณ 2567 จำนวน รพ.สต. สมัครใจถ่ายโอนลดลงเหลือเพียง 934 แห่งและในปีงบประมาณ 2568 ที่ผ่านมามี รพ.สต. สมัครใจถ่ายโอน เหลือเพียงแค่ 256 แห่ง แต่จำนวน รพ.สต. สะสมที่ถูกถ่ายโอนไปยัง อบจ. ในในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีอยู่รวมกันราว 4,453 แห่ง
นพ. ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่าข้อดีของการถ่ายโอนแบบสมัครใจ คือ ลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ข้อเสียคือ การจัดการบุคลากรอาจไม่ราบรื่น บางพื้นที่ที่ได้รับการถ่ายโอนยังขาดแคลนบุคลากร หรือมีปัญหาในการจัดหาทรัพยากรเพิ่ม เพราะงบประมาณต้องใช้จากส่วนท้องถิ่น
แต่หลายพื้นที่ที่มีความร่วมมือที่ดีระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและ อบจ. ได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในระดับหนึ่ง การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การถ่ายโอนเป็นไปอย่างราบรื่น
เมื่อการถ่ายโอน รพ.สต. เสร็จสิ้น ท้องถิ่นจะกลายเป็นผู้เล่นสำคัญที่สามารถกำหนดทิศทางการพัฒนาสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ได้ด้วยตัวเอง แต่ยังคงต้องคำนึงถึงปัญหาเฉพาะในพื้นที่ และความร่วมมือในระดับประเทศไปพร้อมกัน
แต่จากประสบการณ์การถ่ายโอนที่ผ่านมา พบว่าการเตรียมความพร้อม เช่น การปรับปรุงกฎระเบียบ การพัฒนาความรู้ในท้องถิ่นเกี่ยวกับการจัดซื้อยา การจัดการกำลังคน และมาตรฐานการบริการสุขภาพ เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยลดปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน
The Active มีข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับการถ่ายโอน รพ.สต. ซึ่งเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิให้ท้องถิ่นดูแล แต่กลับพบความไม่สอดคล้องในระบบ เมื่อ อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุข) ซึ่งเป็นหน่วยย่อยกว่า รพ.สต. ยังคงสังกัดและรับค่าตอบแทนจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
สถานการณ์นี้ดูขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของการมอบหมายระบบสุขภาพปฐมภูมิให้ท้องถิ่นดูแล ในขณะที่ระบบสุขภาพทุติยภูมิและตติยภูมิยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมด
ระบบสุขภาพปฐมภูมิ สธ. VS อบจ.
ทำไมเราจึงเชื่อว่าท้องถิ่นสามารถจัดการด้านสุขภาพได้ดีกว่ากระทรวงสาธารณสุข และในกรณีที่ผ่านมาที่มีการถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และ อบจ. ได้ใช้งบประมาณในส่วนนี้อย่างคุ้มค่าแค่ไหน มีผลลัพธ์ที่ชัดเจนจริงหรือ ?
นพ.ศุภกิจ บอกว่า ประเด็นนี้คงไม่ใช่เรื่องของการเปรียบเทียบว่าอยู่กับกระทรวงสาธารณสุขหรือท้องถิ่นจะดีกว่า เพราะหากเราตั้งต้นโดยให้ความสำคัญกับประชาชน สิ่งสำคัญคือการหาวิธีให้ระบบสุขภาพทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะอยู่ในสังกัดใดก็ตาม
ระบบสุขภาพปฐมภูมิไม่ได้จำกัดอยู่แค่ รพ.สต. เท่านั้น ยังมีโรงพยาบาลแม่ข่ายในระดับที่สูงขึ้นเพื่อสนับสนุนการส่งต่อในบางบริการ การร่วมมือระหว่างหน่วยงาน เช่น ท้องถิ่นและกระทรวงฯ รวมถึงการใช้กลไกเดิมที่มีอยู่ เช่น สาธารณสุขอำเภอ จะช่วยให้ระบบสุขภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น
มีงานวิจัยบางส่วนที่ชี้ให้เห็นว่าการถ่ายโอนบริการ บางอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย บางพื้นที่ที่บริการถ่ายโอนไปกลับมีคุณภาพลดลง ขณะที่บางพื้นที่ก็ดีขึ้น ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการขาดความร่วมมือหรือการออกแบบที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่
ในส่วนของการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นนั้น ท้องถิ่นมีความคล่องตัวในการปรับใช้ทรัพยากรให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่โดยตรง เช่น การเสริมกำลังคนหรือการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม แต่ก็ต้องยอมรับว่าท้องถิ่นบางแห่งยังไม่มีความพร้อมหรือมีข้อจำกัดด้านมาตรฐานและการกำกับดูแล ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงฯ ที่จะสนับสนุนในภาพรวม
ในอนาคต แนวคิดเรื่องการถ่ายโอนโรงพยาบาลชุมชนให้แก่ท้องถิ่นอาจมีความเป็นไปได้ แต่ต้องพิจารณาถึงผลกระทบด้านทรัพยากร งบประมาณ และระบบส่งต่อที่ซับซ้อน เช่น การส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลตำบลสู่โรงพยาบาลจังหวัด หรือศูนย์ความเป็นเลิศ (Excellence Center) ที่ยังต้องเชื่อมโยงกัน
“สิ่งสำคัญคือการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน โดยมุ่งเน้นประโยชน์ของประชาชน และลดการแบ่งแยกในเชิงสังกัด ทุกฝ่ายควรมีบทบาทร่วมกันในการพัฒนาระบบสุขภาพ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและมีประสิทธิภาพในระยะยาว”
นพ.ศุภกิจ ระบุ
บอร์ด กสพ. โซ่ทองคล้องใจ “สสจ.-อบจ.”
การทำงานเป็นเครือข่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประสานงานกับหน่วยงานแม่ข่ายที่ยังสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นสิ่งที่ยังคงมีความจำเป็น เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยติดตามและกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามนโยบายและทิศทางของ อบจ.
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การประเมินสถานะสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบว่าปัญหาอยู่ตรงจุดใด และผู้บริหารของ อบจ. จะสามารถเข้าไปสนับสนุนอะไรได้บ้าง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวมีทั้งหลักการ แนวทาง และเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้ได้
ในปัจจุบัน กลไกสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงการทำงานระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและ อบจ. ก็คือ คณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขระดับพื้นที่ (กสพ.) ซึ่งมีบทบาทเป็นตัวกลางในการสร้างความร่วมมือ การประชุมหารืออย่างสม่ำเสมอ การให้เกียรติกัน รวมถึงการร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถือเป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านสาธารณสุข
“อยากให้ ให้ความสำคัญกับ กสพ. ซึ่งเป็นกลไกเดียวขณะนี้ที่จะเชื่อม ระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข กับ อบจ. การประชุมกันอย่างสม่ำเสมอ การให้เกียรติกัน แก้ปัญหาร่วมกัน น่าจะเป็นทางออกที่ดี”
นพ. ศุภกิจ กล่าวย้ำ
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การประสานงานกับสาธารณสุขอำเภอ แม้ว่าหน่วยงานดังกล่าวจะไม่ได้อยู่ในสังกัดของ อบจ. แต่ก็ยังสามารถช่วยในเชิงวิชาการและการติดตามงาน ซึ่งไม่มีผลเสียต่อการบริหารงานของ อบจ. แต่กลับเป็นการเสริมศักยภาพและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบโดยรวม ดังนั้น การทำงานร่วมกันในลักษณะนี้ควรได้รับการส่งเสริมและสนับสนุน
ในส่วนของ อบจ. และหน่วยงานท้องถิ่นเอง ก็ต้องตระหนักว่าการร่วมมือกับหน่วยงานปฐมภูมิในพื้นที่ถือเป็นเป้าหมายสำคัญ เพื่อทำให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น เราไม่ควรมองว่าแต่ละฝ่ายเป็น “คนละค่าย” หรือแบ่งแยกบทบาทหน้าที่ เพราะท้ายที่สุด เป้าหมายของเราคือการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
ในอนาคต ความร่วมมือเหล่านี้ยังสามารถขยายขอบเขตไปสู่การพัฒนาและแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การดูแลผู้สูงอายุติดเตียง ซึ่งปัจจุบันยังจัดการได้ไม่ดีนัก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไม่สามารถควบคุมได้ ปัญหาเหล่านี้จะกลายเป็นภาระทั้งในแง่ของงบประมาณและทรัพยากรของประเทศ
ดังนั้น ภารกิจเหล่านี้ถือเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญของทุกฝ่าย และการทำงานร่วมกันระหว่าง สสจ. และ อบจ. จะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนในพื้นที่