ปลุกประชาชนต้านโกง! ยุติใช้ งบฯ-อำนาจ ในทางที่ผิดตั้งแต่ ‘ท้องถิ่น’ ก่อนเลยเถิด สู่การเมืองใหญ่

มองโอกาสภาคพลเมือง ติดตาม ตรวจสอบ ต้านทุจริต คอร์รัปชัน หวังบทบาทประชาชน ช่วยสกัดกั้นการใช้อำนาจในทางที่ผิด ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ตัดตอนผลประโยชน์ลากยาวสู่การเมืองใหญ่ ขออย่ากลัวกระจายอำนาจ แนะสร้างกลไกร่วมตรวจสอบเข้มแข็ง

ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เท่าที่ The Active ฟังเสียงสะท้อนจากโซเชียลมีเดียผ่านเครื่องมือ Zocial Eye พบชัดเจนว่า ปัญหา “ทุจริต-คอร์รัปชัน” ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กลายเป็นประเด็นแรกที่ถูกพูดถึง และมียอด Engagement สูงสุดบนโลกออนไลน์

เมื่อวันที่  27 ม.ค. 68 The Active และ Policy Watch ไทยพีบีเอส จึงร่วมกับภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็น ระดมความคิดหากลไกการตรวจสอบ ติดตามการทำงานของท้องถิ่น และฟังเสียงสะท้อนความคาดหวัง และความต้องการ ต่อการเลือกตั้ง อบจ. ผ่าน “Policy Forum ครั้งที่ 30 : เลือก อบจ. 68 “หยุดโกง” พลิกชีวิตท้องถิ่น”

โดย มีเสียงสะท้อนจากผู้สมัคร นายก อบจ. ที่ผู้สื่อข่าวได้รวบรวมมาจาก จ.เชียงใหม่ และลำพูน แสดงเจตจำนงไปในทิศทางเดียวกันว่า จะดำเนินงานอย่างโปร่งใส เพื่อให้งบประมาณที่ได้มาเข้าถึงประชาชนได้มากที่สุด

แต่สวนทางกับความพยายามของ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ที่ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงผู้สมัครนายก อบจ. ทั่วประเทศ เพื่อให้ประกาศพันธกิจต้านโกง ปรากฏว่า ไม่มีผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดตอบรับกลับมา

ขอมีส่วนร่วมตรวจสอบ ใช้งบฯ ใช้อำนาจ โปร่งใส

มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ถอดรหัสผลตอบรับดังกล่าว พบว่า อะไรที่เป็นการพูดคุย อาจทำให้นักการเมืองกล้าพูดมากกว่า ที่จะตอบรับแบบเป็นลายลักษณ์อักษร แม้ดูน่าใจหาย แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะเชื่อว่าเสียงของประชาชนมีพลังที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนกลไกในการตรวจสอบติดตามการทำงานของนักการเมืองต่อไป

ขณะที่ผลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งนายก อบจ. ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และภาคีเครือข่าย เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา พบว่า 95% ของประชาชนรับรู้ว่าประเทศไทยมีการทุจริต ทั้งยังรับรู้ว่าการเลือกตั้งนี้จะมีการซื้อเสียงถึง 68% และอาจนำไปสู่การคอร์รัปชันในวันข้างหน้า

“ถึงวันนี้แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะเบื่อหน่ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น เลือกนักการเมืองเข้ามาเป็นผู้บริหารแล้ว ก็เกิดพฤติกรรมซ้ำ ๆ แบบเดิม ๆ แต่สิ่งที่เราได้เห็นแล้ว น่ายินดีมาก คือประชาชนส่วนใหญ่ก็ 94% เหมือนกันที่บอกว่า อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอยากเห็นว่าบ้านเมืองของเขาเนี่ยเจริญขึ้น ประชาชนได้มีส่วนร่วม มีศักยภาพในการออกความคิดเห็นว่าเขาอยากได้อะไร เปลี่ยนแปลงอะไร อยากจะช่วยตรวจสอบให้บ้านเมืองของเขาโปร่งใสอย่างไรบ้าง ในการใช้อำนาจใช้งบประมาณ”

มานะ นิมิตรมงคล

มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

ตั้งคำถามถึงบทบาท กกต. ป้องปรามเหตุรุนแรง คุกคาม ข่มขู่ เลือกตั้งท้องถิ่น

ขณะเดียวกัน พงษ์ศักดิ์ จันทร์อ่อน จาก We Watch มองว่า อบจ. แบ่งออกเป็น 2 ข้อค้นพบ ประเภทเชิงบวก พบผู้สมัคร นายก อบจ.ใช้สื่อออนไลน์ในการกระจายนโยบายได้ทั่วถึงมากกว่าการเคาะประตูบ้าน และใช้นโยบายหาเสียงมากกว่าครั้งก่อน ๆ ซึ่งไม่ใช้ระบบอุปภัมภ์คนในพื้นที่แล้ว ถือเป็นการแข่งขันทางนโยบายที่ทำให้สังคมได้ประโยชน์

ส่วน ประเภทเชิงลบ ไม่เฉพาะเรื่องซื้อสิทธิขายเสียง ยังรวมถึงการคุกคาม ข่มขู่ กระทั่งเหตุการณ์ยิงกันเสียชีวิตที่เพิ่งเกิดขึ้นปราจีนบุรี นับว่าเป็นตัวจุดประเด็นที่ดีที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือผู้ตรวจการการเลือกตั้ง ว่าจะทำงานเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามอย่างไร

นอกจากนี้สังคมไทยยังต้องหาข้อสรุปร่วมกันใน 2 เรื่อง คือ

  1. ประกาศให้วันเลือกตั้ง อบจ. เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง ซึ่ง กกต.ต้องทำหน้าที่เชิงรุกกว่านี้ให้เป็นที่จดจำได้ในสายตาประชาชน ไม่แพ้กับการเลือกตั้งใหญ่

  2. การที่ นายก อบจ.ลาออกก่อนครบวาระ เป็นช่องว่างที่ทำให้เสียเปรียบใน 3 ระดับ คือ กระทบผู้สมัครด้วยกัน, กระทบภาษีประชาชนในการจัดการเลือกตั้งรอบที่สอง, กระทบประชาชนต้องไปเลือกครั้งใหม่อีกครั้ง

“อย่ามองแค่ความรุนแรงเชิงกายภาพอย่างเดียว ไม่ได้แล้ว เราต้องมองเชิงโครงสร้างด้วย โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายที่เราจะต้องผลักดันและร่วมกันเปลี่ยนแปลง”

พงษ์ศักดิ์ จันทร์อ่อน

มองโอกาส ‘ภาคพลเมือง’ สร้างพื้นที่โปร่งใส ป้องกันคอร์รัปชัน

วิชัย นะสุวรรณโน รองผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กล่าวเสริมว่า เมื่อเสียงของประชาชนมีพลัง พอช. จึงพยายามทำให้ชุมชนเข้มแข็ง เสริมพลังให้ “ประชาชน” เปลี่ยนเป็น “พลเมือง” ที่ตื่นรู้ในการเลือกคนดี ดูนโยบายเป็น และสามารถจับตา วิเคราะห์ทิศทางการทำงานจากคอนเนคชันรอบตัวนักการเมืองได้

โดยปัจจุบันได้สร้าง “พื้นที่โปร่งใส” ใน 31 จังหวัด กว่า 500 ตำบลแล้ว เกิดเป็นเครือข่ายที่ช่วยกันทำแผนป้องกันการคอร์รัปชันในพื้นที่ ทั้งระยะสั้น และระยะยาว จัดกิจกรรเติมความรู้ ให้คนในท้องถิ่นรู้เท่าทันและสามารถเฝ้าระวังการคอร์รัปชันในบ้านของตัวเองได้

ป้องกัน ‘ใช้อำนาจในทางที่ผิด’ ยุติครองผลประโยชน์ระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิต่อต้านการทุจริต อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า นอกจากจะมีเครือข่ายพลเมืองแล้ว ต้องมี “กระบวนทัพที่ชัดเจน” เพราะไม่ใช่แค่การโกง หรือเอาเงินเอาทอง แต่รวมถึง “การใช้อำนาจในทางที่ผิด” ซึ่งจะทำให้เขาครองอำนาจไปอีกนาน

ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการมูลนิธิต่อต้านการทุจริต อดีตกรรมการ ป.ป.ช.

การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เป็นการกระจายผลประโยชน์ของการเลือกตั้งใหญ่ ประโยชน์ที่เขาจะได้ ไม่ใช่แค่ตัวเงิน แต่คือการครอบครองอำนาจ ถ้าไม่สกัดกั้นตั้งแต่แรก เขาจะครองอำนาจไปตลอดกาลนาน

ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ

ศ.พิเศษ วิชา ยังมองว่า สิ่งที่ไม่ได้ทำคือ “การตรวจสอบทรัพย์สิน นายก อบจ.” แม้วิธีจะสกัดกั้นผู้นำท้องถิ่นหน้าใหม่ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถตรวจสอบคนที่มีรายชื่ออยู่แล้วได้เลย ซึ่งที่เกาหลีใต้ก็ทำและทำมากกว่านั้นคือ ในวันรับสมัครจะให้แคนดิเดตยื่นบัญชีทรัพย์สินทันที

และ “เครื่องมือปกป้องคนดี” ที่จริงแล้วภาคประชาสังคม และภาคประชาชนต้องรวมตัวกันออกกฎหมายเพื่อให้การทำงานต่อต้านคอร์รัปชันง่ายขึ้น และไม่ต้องกังวลเรื่องถูกฟ้องร้องหมิ่นประมาท ตรงนี้จะทำให้ทุกคนสบายใจได้เยอะที่จะจับตาและตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้มีอำนาจ

ขณะเดียวกัน ภาคการศึกษา ก็สำคัญ ที่จะกระตุ้นให้คนอยากเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่านี้ ตั้งแต่เด็กและเป็นเยาวชน เมื่อคราวที่เขามีสิทธิที่จะเลือกตั้งท้องถิ่น เขาจะตื่นตัว และนั่นอาจเป็นสนามแรกที่เตรียมพร้อมให้เขาไปสู่การเลือกตั้งใหญ่

ทั้งนี้ยังมองว่า ถึงเวลาแล้วที่จะร่วมผนึกพลังพลังกับ “ผู้นำคนรุ่นใหม่” เพราะเป็นยุคที่ต้องใช้สารสนเทศให้เห็นการทุจริตด้วยอำนาจของมือถือ และพวกเขาคือกลุ่มคนที่ยังมีแรงผลักดันที่จะแก้ปัญหา ขณะที่คนรุ่นเก่าบางคนหมดหวังแล้ว ตรงนี้จะช่วยทำให้เกิดพลังการเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ได้

อย่ากลัวกระจายอำนาจ!! ชวนประชาชนสร้างกลไกต้านทุจริต

การกระจายอำนาจ ต้องมีการกระจายเงิน กระจายผลประโยชน์ ทำให้เกิดการโกงขึ้นได้จริงหรือไม่นั้น ผศ.ชาลินี สนพลาย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ไม่อยากให้กลัวการกระจายอำนาจ ไม่เช่นนั้นจะทำอะไรไม่ได้เลย เพราะถ้าจะรอส่วนกลางเข้ามาจัดการ นโยบายสาธารณะในหลาย ๆ เรื่อง คงล่าช้า อย่างไรก็ตามคนกรุงเทพฯ อาจไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง แต่คนต่างจังหวัดคงเริ่มเห็นแล้วว่าการกระจายอำนาจนั้นเปลี่ยนบ้านเราไป ไม่มากก็น้อย

“การกระจายอำนาจเหมือนการสไลด์เนื้อให้บาง เพื่อให้กินง่าย สุกเร็ว การกระจายอำนาจจึงคือการสไลด์อำนาจรัฐให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงอำนาจรัฐได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็เห็นรอยตำหนิได้มากขึ้นเช่นกัน จึงไม่แปลกที่วันนี้เรารู้สึกว่าการทุจริตนั้นเยอะเหลือเกิน”

ผศ.ชาลินี สนพลาย

ขณะที่งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า ประชาชนติดตามการทำงานของ อบจ. ด้วยวิถีทางของเขา ดังนั้นต้องสนับสนุนให้ประชาชนทำต่อไป แล้วภาคประชาสังคม นักวิชาการ นำเสียงสะท้อนของประชาชนมาทำความเข้าใจ แล้วนำมาออกแบบกลไกการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน

นอกจากนี้อยากให้ระบบราชการปรับ การตรวจสอบอย่างเข้มข้นแบบตัดเสื้อโหล ที่ทำให้ อบจ.ไม่กล้าใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทำแต่เรื่องเหมือน ๆ กัน อย่างสร้างถนน เพราะไม่อยากแปลกจนถูกตรวจสอบ ทั้ง ๆ ที่ อบจ.ต้องทำเรื่องเฉพาะพื้นที่ของตัวเอง

ยก ‘เทคโนโลยี’ ตัวช่วยต่านทุจริต คอร์รัปชัน

ขณะเดียวกัน สุวรรณ โบสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ Hand Social Enterprise ระบุทิ้งท้ายว่า สถานการณ์การเมืองที่ผ่านมา อาจทำให้หลายคนชินชา จนไม่อยากออกมาต่อต้านคอร์รัปชัน เพราะกลัวว่าจะทำไม่สำเร็จ แต่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ และองค์กรต่าง ๆ ที่มีในวันนี้ เชื่อว่ายังมีความหวังอยู่ ภายใต้สิทธิและเสียงของทุกคนในการเลือกตั้ง อบจ. ในวันที่ 1 ก.พ.นี้

ต่อจากนี้อยากให้ชวนกันคิดและถกกันต่อ เพราะไม่ว่าปัญหาถนนยุบ สาธารณูปโภคทรุดโทรม หรือปัญหาน้ำท่วมขังที่ยังจัดการได้ไม่ดีพอ ต่างก็เกี่ยวข้องกับ การเลือกตั้ง อบจ. ที่ประชาชนจะมีสิทธิร่วมกำหนดหน้าตาของ นายก อบจ. และ ส.อบจ. และทิศทางของเมืองได้ผ่านเครื่องหมายกากบาทในบัตรเลือกตั้ง


อ่านเพิ่มเติม :

ปัญหาท้องถิ่น ที่อยากให้ว่าที่นายก อบจ. แก้ไข

คงไม่แรงไป.. ถ้าต้องพูดจากใจถึง ‘เลือกตั้งอบจ.’

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active