จับมือกันเพื่ออาหารที่ยั่งยืน: 80 ปี วันอาหารโลก

คน 2.6 พันล้านคนทั่วโลก ไม่สามารถเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี นานาชาติผนึกกำลังภาครัฐ เกษตรกร ภาคประชาสังคม นักวิชาการ เอกชน สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน ฝ่าวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้ง

เนื่องในโอกาสวันอาหารโลก ประจำปี 2025 งานฉลองครบรอบ 80 ปีนี้ ถูกจัดภายใต้แนวคิด “Hand in Hand” เน้นนำเสนอความร่วมมือเพื่อสร้างระบบอาหารที่ดี และอนาคตที่ดีกว่า The Active สรุปการบรรยายสถานการณ์ความร่วมมือรอบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงได้พูดคุยกับ Alue Dohong ผู้แทน FAO ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพิ่มเติมถึงความสำคัญในการจัดงานวันอาหารโลกปีนี้

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเผชิญความท้าทาย

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเปิดงาน World Food Day 2025 ทรงปาฐกถาพิเศษ ในฐานะทูตสันถวไมตรีพิเศษของ FAO โดยย้ำถึงความท้าทายที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น หรือการสูญเสียอาหาร ทั้งหมดนี้ล้วนเชื่อมโยงกัน การบรรลุถึงความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน และความสามารถในการรับมือกับวิกฤต จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน

Alue Dohong หรือ โดฮอง ผู้แทน FAO ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) และ FAO Assistant Director จากอินโดนีเซีย กล่าวว่าภูมิภาค APAC กำลังยืนอยู่บนทางแยก แม้จะมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ แต่ความหิวโหยและการขาดสารอาหารยังคงดำรงอยู่ 

“ธีมวันอาหารโลกปีนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ภาระด้านความมั่นคงทางอาหารตกอยู่กับเกษตรกรรายย่อย กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หญิง เยาวชน และกลุ่มคนพิการ” โดฮอง กล่าว

“การดำเนินงานจำเป็นต้องใช้การลงมือทำร่วมกันแบบ hand in hand ตั้งแต่ภาครัฐออกแบบนโยบาย เกษตรกรเลี้ยงคนทั้งประเทศ ภาคประชาสังคมขยายเสียง นักวิชาการทำงานศึกษา หรือภาคเอกชนพัฒนานวัตกรรม มากกว่าทั้งหมดนี้คือ เราจำเป็นต้องพึ่งพาพลังและความสร้างสรรค์ของเยาวชน 1.2 พันล้านคนรอบโลกเพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้น”

ปัจจัยที่มากระทบความมั่นคงทางอาหารได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นำมาสู่การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซ้ำด้วยแรงกระแทกทางเศรษฐกิจ ที่ยังคงกดดันระบบอาหารและเกษตรกรรม

ตัวเลขทั่วโลกชี้ให้เห็นว่า มีผู้คนถึง 2.6 พันล้านคนไม่สามารถเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีได้ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง รวมถึงเกษตรกรรายย่อย ชนเผ่าพื้นเมือง ผู้หญิง เยาวชน เด็ก และผู้พิการ ซึ่งเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงที่ดิน เงินทุน ปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ และตลาดที่มั่นคง

ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเป็นที่อยู่ของผู้ขาดสารอาหารมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก และต้องแบกรับภาระสามประการคือ ความหิวโหย การขาดสารอาหาร และโรคอ้วน

อย่างไรก็ตาม ยังมีความหวังให้ได้เห็นในวันอาหารโลกนี้ The Active ติดตามการนำเสนอการลงมือทำด้านความมั่นคงทางอาหารจากทั่วภูมิภาค เนื่องในวันอาหารโลก 2025 ที่ชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจทั่วภูมิภาค เช่น สหกรณ์เกษตรกรนำระบบชลประทานประหยัดน้ำมาใช้ ชุมชนฟื้นฟูดินเสื่อมโทรม ผู้หญิงขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านโภชนาการและการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ เยาวชนบุกเบิกวิธีแก้ปัญหาแบบดิจิทัล หรือภาคเอกชนร่วมลงทุนในห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน

พลังหญิงคือคำตอบของความมั่นคงทางอาหาร

Pramila Acharya Rijal, ผู้ก่อตั้งและประมาณองค์กรพัฒนาสตรีเอเชียใต้ South Asia Women Development Forum กล่าวเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของผู้หญิงในภาคเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร ผู้หญิงคิดเป็นกว่า 40% ของแรงงานเกษตรทั่วโลก ในประเทศกำลังพัฒนา ผู้หญิงผลิตอาหาร 60-80% แต่กลับเป็นเจ้าของที่ดินน้อยกว่า 20% และเข้าถึงสินเชื่อและเงินทุนได้ยากกว่าผู้ชาย

พรอมิลา เล่าถึงการศึกษาที่ชี้ว่า หากผู้หญิงได้รับการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียม ผลผลิตทางการเกษตรในประเทศกำลังพัฒนาจะเพิ่มขึ้น 4% ซึ่งอาจช่วยลดความหิวโหยได้มากกว่า 100 ล้านคน

ตัวอย่างความสำเร็จจากเอเชียใต้

เนปาล: นโยบายการถือครองที่ดินร่วมกัน (Joint Land Ownership) ที่เริ่มในปี 2001 ทำให้ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของที่ดินหลักเพิ่มขึ้นจาก 19.7% ในปี 2011 เป็น 39% ในปี 2024

บังกลาเทศ: โครงการ Grameen Bank ให้สินเชื่อจำนวนเล็กแก่ผู้หญิงเป็นหลัก โดยไม่ต้องมีหลักประกันแต่ให้จับกลุ่มมาขอสินเชื่อ มีผู้หญิงคิดเป็น 96% ของสมาชิก มีอัตราการชำระคืนสูงกว่า 98% โดยมีผู้หญิง 8.6 ล้นคนได้รับประโยชน์โดยตรง

อินเดีย: Women Green Industrial Park แห่งแรกของประเทศ ที่ 30% เป็นธุรกิจของผู้หญิงโดยเฉพาะ มีอุตสาหกรรมกว่า 200 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเกษตร สร้างงานให้มากกว่า 10,000 คน โดย 80% เป็นผู้หญิง

ความสำเร็จจากการทำงานร่วมกัน

เวียดนาม: โครงการ OCOP

ดัง ขุย ญาณ รองผู้อำนวยการโครงการพัฒนาชนบทใหม่ กระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม ประเทศเวียดนาม เปิดเผยผลลัพท์โครงการ “One Commune One Product” เป็นความคิดริเริ่มระดับชาติที่เสริมพลังสหกรณ์เกษตรกรและผู้ประกอบการชนบทผ่านนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล มีผลิตภัณฑ์กว่า 17,000 รายการได้รับการรับรอง 3-5 ดาว

โปรแกรม “Mer Fair” บน TikTok จัดไลฟ์สตรีมกว่า 1,000 ครั้ง เชื่อมโยงผู้ผลิตกว่า 3,500 ราย สร้างยอดขายกว่า 100 พันล้านดอง (ประมาณ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมียอดวิวเกือบ 2 พันล้านครั้ง

จีน-ศรีลังกา: ความร่วมมือทวิภาคี

ซุน เต๋อ ฉวน นักวิจัย สถาบันวิทยาศาสตร์การเกษตรเขตร้อน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เล่าถึงโครงการ South-South Cooperation ระหว่างจีนและศรีลังกา ภายใต้ FAO เน้นการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าของกล้วยและสับปะรด ผู้เชี่ยวชาญจีน 11 คน ทำงานร่วมกับเกษตรกรท้องถิ่นเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง

โครงการฝึกอบรมเกษตรกรกว่า 2,000 คน โดย 40% เป็นผู้หญิง และจัดตั้งศูนย์เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกล้วยที่ทันสมัย ผลิตต้นกล้วยปลอดโรคหลายพันต้น

ผลลัพธ์ที่ได้:

  • ผลผลิตกล้วยเพิ่มจากแถวละ 15 ต้นเป็น 45 ต้น
  • ลดการใช้ปุ๋ยลง 20%
  • สับปะรดคุณภาพส่งออกเพิ่มจากน้อยกว่า 30% เป็นมากกว่า 90%
  • ลดการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว 25%
  • รายได้เกษตรกรเพิ่ม 50%

ไทย: อะโรมาติกฟาร์ม แบบอย่างเศรษฐกิจพอเพียง

นวลลออ เทอดเกียรติกุล ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้บริหาร อะโรแมติก ฟาร์ม จำกัด ประเทศไทย จังหวัดราชบุรี แบ่งปันประสบการณ์การปลูกมะพร้าวน้ำหอม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลก

ในปี 2559 เธอตัดสินใจออกจากงานบริษัทมาทำเกษตรโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เริ่มต้นจากที่ดินเพียง 4 ไร่ และพัฒนาเป็นแบบอย่างการเกษตรแบบ Regenerative Agriculture

ฟาร์มอะโรมาติกดำเนินการด้วยโมเดล “คน-โลก-กำไร” (People-Planet-Profit):

  • คน: Aromatic Farm Academy ให้การฝึกอบรมเกษตรกรและชุมชน มีผู้เข้าเรียนกว่า 5,000 คนจาก 40 ประเทศ
  • โลก: Aromatic Farm Bio Circular Green Academy แปรรูปเศษมะพร้าวเป็นไบโอชาร์เพื่อบำรุงดิน
  • กำไร: Aromatic Farm Coconut พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวน้ำหอมคุณภาพสูงร่วมกับชุมชนท้องถิ่น และมีการกระจายรายได้ไปถึงท้องถิ่นอีกด้วย

“การเกษตรไม่ใช่การเดินทางเพียงลำพัง แต่เป็นความพยายามร่วมกันของชุมชน รัฐบาล สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และผู้บริโภค” นวลลออ กล่าว

FAO ครบรอบ 80 ปี

ในโอกาสครบรอบ 80 ปีของ FAO งานวันอาหารโลกปีนี้จัดขึ้นในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ณ กรุงโรม มีการเปิดพิพิธภัณฑ์อาหารและเกษตรกรรมแห่งใหม่

FAO ย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินงานร่วมกับประเทศสมาชิกผ่านโครงการต่าง ๆ เช่นโครงการ Hand-in-Hand Initiative เพื่อช่วยประเทศระบุห่วงโซ่คุณค่าที่สำคัญ ดึงดูดการลงทุน และรวมพันธมิตรเพื่อสร้างผลกระทบที่ยั่งยืน

องค์กรยังคงมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย “Four Betters” คือ:

  1. การผลิตที่ดีขึ้น (Better Production)
  2. โภชนาการที่ดีขึ้น (Better Nutrition)
  3. สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น (Better Environment)
  4. ชีวิตที่ดีขึ้น (Better Life) โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

วันอาหารโลกปีนี้ส่งข้อความชัดเจนว่า เมื่อเราจับมือกัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล เกษตรกร นักวิจัย ผู้หญิงและเยาวชน ภาคเอกชน สังคมพลเมือง และชุมชน เราสามารถสร้างอนาคตที่อาหารปลอดภัย ราคาไม่แพง และมีคุณค่าทางโภชนาการเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่สวนทางกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เป็นการขยับไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน แบบจับมือกันไป

ผอ. APAC สรุปปัญหาและโอกาสของภูมิภาค

อาลู โดฮอง ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก FAO ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ The Active เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปี วันอาหารโลก พ.ศ. 2568 เผยถึงความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหารและทิศทางการดำเนินงานของ FAO ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งแผนงานสำคัญในประเทศไทย

โดฮอง อธิบายถึงรายงาน State of Food Security and Nutrition ประจำปี 2568 ซึ่ง FAO จัดทำร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศอีก 4 แห่ง ได้แก่ IFAD, UNICEF, WFP และ WHO ว่า ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยมีสาเหตุหลายประการ

“อาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร เช่น ถั่ว ปลา ผัก ผลไม้ และนม มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงผลกระทบจากความผันแปรของสภาพภูมิอากาศและทรัพยากรธรรมชาติที่ขาดแคลน” โดฮอง กล่าว

นอกจากนี้ นโยบายการเกษตรและระบบการผลิตในหลายประเทศยังคงส่งเสริมพืชวัฒนธรรมหลักอย่างข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพด ทำให้อาหารเหล่านี้มีราคาถูกและหาได้ง่ายกว่าอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่างเช่นห้องเย็น ยังมีไม่เพียงพอ ประกอบกับต้นทุนพลังงานที่สูงจากความขัดแย้งในหลายพื้นที่ของโลก

ประเด็นสำคัญอีกประการคือ พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป “การบริโภคอาหารแปรรูปและอาหารสำเร็จรูปที่มีไขมัน น้ำตาล และเกลือสูง กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถูกสนับสนุนด้วยการโฆษณาบนโซเชียลมีเดียตลอด 24 ชั่วโมง”

“อาหารเหล่านี้มีราคาถูกกว่าอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทำให้ช่องว่างในการเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพกว้างยิ่งขึ้น” โดฮอง ชี้แจง

FAO ได้เสนอแนะนโยบายสำคัญหลายประการต่อผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเน้นการลงทุนในการวิจัยด้านการเกษตรเพื่อโภชนาการ การหลากหลายพืชผลออกจากพืชหลัก และการพัฒนาแนวทางอาหารเพื่อสุขภาพที่สอดคล้องกับแนวทางโภชนาการและอาหารพื้นเมืองของแต่ละประเทศ

ด้านโครงสร้างพื้นฐาน FAO เสนอให้ปรับปรุงการเข้าถึงตลาด พัฒนาระบบการจัดเก็บ ขนส่ง และโครงสร้างตลาด รวมถึงห้องเย็น เพื่อลดการสูญเสียอาหารและปรับปรุงการกระจายสินค้า นอกจากนี้ ควรมีระบบคุ้มครองทางสังคมที่แข็งแกร่ง และปรับเปลี่ยนระบบการจัดจำหน่ายอาหารสาธารณะเพื่อให้มีอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ถั่วและข้าวฟ่าง

สำหรับอาหารแปรรูปที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ นายโดฮองแนะนำให้มีการกำกับดูแลการขายผ่านการติดฉลากที่ชัดเจน พร้อมส่งเสริมให้ภาคเอกชนร่วมมือกับภาครัฐและสถาบันการศึกษาพัฒนาอาหารว่างแปรรูปที่ดีต่อสุขภาพ

“การลงทุนด้านโภชนาการในวันนี้จะส่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาว การศึกษาพบว่า ทุก 1 ดอลลาร์สหรัฐที่ลงทุนในระบบอาหารและอาหารเพื่อสุขภาพ สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 8-16 ดอลลาร์สหรัฐ หรือสูงกว่านั้น” โดฮอง ย้ำ

ผู้อำนวยการภูมิภาค FAO เผยถึงงานสำคัญในภูมิภาค ประกอบด้วย การช่วยเหลือประเทศต่างๆ ในการพัฒนาแผนปฏิบัติการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารและเกษตร การเพิ่มผลผลิตด้วยเกษตรที่เป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าที่ลดการสูญเสียอาหารและรับประกันความปลอดภัยอาหาร และการดำเนินโครงการปรับตัวและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

FAO มีโครงการเรือธงสำคัญ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ Hand-in-Hand Initiative ที่มุ่งขจัดความยากจน ความหิวโหย และความเหลื่อมล้ำ โครงการ One Country, One Priority Product (OCOP) ส่งเสริมผลิตภัณฑ์เกษตรพิเศษที่มีคุณภาพเฉพาะ และโครงการ Digital Villages Initiative สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลของระบบอาหารและเกษตร

แผนงานสำคัญใน 7 ด้านของไทย

สำหรับประเทศไทย นายโดฮองระบุว่า FAO มีแผนงานสำคัญ 7 ด้านที่สอดคล้องกับลำดับความสำคัญด้านความมั่นคงทางอาหารและการเกษตรของชาติ ประกอบด้วย:

  1. การเปลี่ยนแปลงระบบอาหารและเกษตร เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจ BCG
  2. การเกษตรคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสภาพภูมิอากาศ ขยายนวัตกรรมการเกษตรที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และบูรณาการการเกษตรเข้ากับแผนปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ
  3. การลดการสูญเสียและสูญเปล่าอาหาร สนับสนุนการนำกลยุทธ์ระดับชาติมาใช้
  4. ความหลากหลายทางชีวภาพและบริการระบบนิเวศ คุ้มครองระบบมรดกเกษตรที่สำคัญ เช่น ระบบมรดกเกษตรระดับโลกทะเลน้อย
  5. อาหารปลอดภัยและการค้า เสริมสร้างการจัดการเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ ระบบควบคุมอาหาร และมาตรฐานความปลอดภัยอาหาร
  6. การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลและนวัตกรรม ให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีและการฝึกอบรม รวมถึงการเกษตรแม่นยำ ระบบการติดตาม การใช้โดรน และเครื่องมือปัญญาประดิษฐ์
  7. แนวทางที่ครอบคลุมและตอบสนองเพศสภาพ เพื่อเสริมพลังกลุ่มเปราะบาง รวมถึงสตรี เยาวชน และเกษตรกรรายย่อย ให้เข้าถึงบริการด้านสภาพภูมิอากาศ ระบบเตือนภัยล่วงหน้า และเครื่องมือดิจิทัล

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active