ฝ่ายอนุรักษ์ ยังหวั่น เอื้อนายทุน-ผู้มีอิทธิพล ด้าน ผู้เสนอร่างและประธาน กมธ. ย้ำ คืนความเป็นธรรม คุ้มครองสิทธิชุมชน ไม่เปิดช่องเอื้อทุน นักวิชาการ แนะ กำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติผู้ได้รับการนิรโทษกรรมให้ชัดเจน รวมทั้งวางขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติภายหลังนิรโทษกรรม
จากกรณีที่ทางสมาคมศิษย์เก่าวนศาสตร์ สมาคมอุทยานแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายรักประเทศไทย รวมทั้ง ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ร่วมเชิญชวนประชาชนลงชื่อคัดค้าน ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีเหตุผลสำคัญที่มองว่าจะเอื้อประโยชน์นายทุน ผู้มีอิทธิพล นักการเมือง ในการรุกป่าเพิ่ม และความไม่ชัดเจนของกรอบเวลานิรโทษกรรม ไปจนถึงการก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ
ซึ่งล่าสุด ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ในฐานะรองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎรฯ ย้ำผ่านเวที พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีรุกป่า ช่วยชาวบ้าน หรือ เอื้อทุน ออกอากาศ รายการสถานีประชาชน ไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา ว่า ที่ตนไม่เห็นด้วยและต้องคัดค้านร่างกฎหมายนี้ เพราะหลายครั้งพยายามรับฟังและมีคำถามว่าบุคคลที่จะได้รับการนิรโทษกรรมคือใครบ้าง สุดท้ายก็โยนมาที่กรมอุทยานฯ ว่า 30,000 คดีนั่นแหละ คือเขียนร่างกฎหมายมา แต่กลับไม่รู้ว่าเป้าหมายที่จะนิรโทษกรรมคือใครบ้าง เหมือนเอาข้อมูลเราไปร่อนตะแกรง แล้วมาทำเรื่องของการนิรโทษกรรม ดังนั้น จึงไม่เป็นธรรม
“และที่อ้างว่านิรโทษกรรมให้คนที่อยู่ภายใต้มติ ครม. 30 มิ.ย. 41 จะแยกจีนเทา แยกนายทุน ออกได้นั้น ตนเห็นค้าน เพราะจีนเทา ทุน อิทธิพล ก็มาซื้อสิทธิจากนอมินีหรือชาวบ้านที่ได้รับสิทธิตามมตินี้ พอเราไปจับแล้วพิสูจน์สิทธิเลยเป็นชาวบ้านเหล่านี้ที่ถือครอง แล้วบอกนิรโทษกรรมไปไม่เกี่ยวกับกลุ่มทุน กลุ่มจีนเทาเหล่านี้ไม่ได้“
ชัยวัฒน์ กล่าว

เช่นเดียวกับ ชีวะภาพ ชีวะธรรม ประธาน กมธ.สิ่งแวดล้อม วุฒิสภา กังวลว่าการนิรโทษกรรมตามร่างกฎหมายนี้ จะเป็นการเอื้อให้กลุ่มทุนหลุดคดี และส่งผลต่อการเยียวยาคดีด้านสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนต่าง ๆ โดยเฉพาะการเขียนรวมมาตรา 97 พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เข้าไปด้วย จะทำให้ทุน เช่น คดีเหมืองคลิตี้ เหมืองทองอัครา และกรณีมลพิษอุตสาหกรรม แวกซ์ กาเบ็จ ได้รับอานิสงค์ไปด้วย รวมทั้งแปลงคดีของกลุ่มอิทธิพล หรือนักการเมืองในคดีชื่อดัง
ยัน นิรโทษกรรมคืนความเป็นธรรมประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐ คุ้มครองสิทธิชุมชน วางหลักการ หลักเกณฑ์คุณสมบัติชัด ไม่เปิดช่องเอื้อทุน
พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เปิดเผยกับ The Active โดยย้ำและยืนยันถึงหลักการสำคัญให้มีกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากมีประชาชนได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามกฎหมายและนโยบายของรัฐด้านป่าไม้และที่ดิน อันเกี่ยวข้องกับกรณีประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ทำกินของประชาชน ทั้งที่ประชาชนเหล่านี้เป็นผู้อยู่อาศัยทำกินมาก่อนการประกาศเขตพื้นที่ของรัฐ ส่งผลให้ประชาชนต้องกลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายที่มาประกาศทับซ้อนภายหลังอย่างไม่เป็นธรรม และกฎหมายนี้ผ่านความเห็นชอบในหลักการของสภาผู้แทนราษฎร
ส่วนผู้เป็นนายทุน ผู้กระทำผิดกฎหมายทุกชนิด หรือผู้ที่ได้ครอบครองที่ดินที่ได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐในการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบและถูกดำเนินคดีบุกรุก จะต้องไม่ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมและล้างมลทินจากกฎหมายฉบับนี้โดยเด็ดขาด
“เป้าประสงค์เดียว ร่างกฎหมายนี้ต้องเกิดความยุติธรรมกับคนทุกคน ต้องรักษาเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ ประการสำคัญคือต้องเป็นกฎหมายที่สร้างความยุติธรรม ส่วนที่จะไปกังวลว่ากฎหมายนี้จะเอื้อนายทุน เพิ่มการบุกรุกที่ป่า ที่ดินของรัฐ ก็เคารพในข้อกังวล แต่ยืนยันตรงนี้ว่าเราไม่มีนโยบายเพิ่มใครรุกป่า หรือรุกที่ดินรัฐแน่นอน”
พ.ต.อ. ทวี กล่าว

พ.ต.อ. ทวี ยังย้ำด้วยว่า ตามร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านวาระ 1 จำนวน 2 ร่าง และได้ตั้งคณะกรรมาธิการฯ นั้น ผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรมและล้างมลทิน คือ ผู้เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดในนโยบายรัฐและถูกดำเนินคดีใน 3 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก แต่ได้รับการผ่อนผันตามมาตรการของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541
กลุ่มที่ 2 ผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก “นโยบายทวงคืนผืนป่า” โดยเป็นผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก ก่อนที่จะได้รับการคุ้มครองตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 66/2557 ลงวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ที่มุ่งคุ้มครองผู้ยากไร้ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากนโยบายปราบปรามนายทุน แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่นำนโยบายดังกล่าวมาปฏิบัติอย่างเป็นธรรม ทำให้คนจนผู้ยากไร้ถูกแจ้งความดำเนินคดีในลักษณะคดีมวลชนจำนวนมาก
กลุ่มที่ 3 ประชาชนได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการกรณีรัฐประกาศเขตพื้นที่ของรัฐทับที่ทำกินของประชาชน ทั้งที่ประชาชนอยู่มาก่อน ทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่นั้นกลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎหมายไป หรือกลุ่มคืนสิทธิ คืนสถานะให้กับผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินก่อนวันที่ประกาศเป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามตามกฎหมายครั้งแรก เพื่อให้สามารถเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์และขอรับสิทธิในที่ดินตามกฎหมายหรือนโยบายภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จึงถือได้ว่าเป็นกฎหมายสำคัญที่จะรับรองหลักการของ “ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม” หรือสิทธิในการดูแลจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นระบบสิทธิชุมชนตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ให้เกิดขึ้นจริง

สอดคล้อง กับ เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล หนึ่งในผู้เสนอกฎหมาย และในฐานะ รองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎรฯ ย้ำว่า ข้อห่วงใยของฝ่ายที่มีข้อกังวลว่าจะเป็นการส่งเสริมให้คนไปบุกรุกป่าเพิ่มเติมเพื่อรอการนิรโทษกรรมอีกหรือไม่ ขอยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะได้เขียนปิดล็อกไว้แล้วว่าต้องเป็นคดีก่อนปี 2562 และต้องเป็นผู้ถือครองที่ดินก่อนปี 2557 ส่วนใครถือครองที่ดินหลังปี 2557 คือบุกรุกใหม่ทั้งหมด ไม่มีสิทธิ์
“ช่วงต่อไปก็จะเข้าสู่การพิจารณาส่วนที่เป็นสาระสำคัญในมาตรา 5 ว่าด้วยเรื่องคุณสมบัติของคนที่ได้รับการนิรโทษกรรม อย่างที่บอกไปว่า คือกลุ่มตามมติ ครม. 30 มิ.ย. 41 ซึ่งทางกฤษฎีกามีความเห็นว่าค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้ว ส่วนกลุ่มที่ต้องทำความชัดเจนต่อไป ก็คือกลุ่มตามคำสั่ง คสช. 66 /2557 ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ยากไร้ รายได้น้อย ที่ได้รับการยกเว้นไม่ถูกจับดำเนินคดี เราต้องให้หลักเกณฑ์ที่มีการออกมาถูกเขียนเอาไว้ในกฎหมายทั้งสองส่วนนี้ สิ่งที่เราต้องพิจารณาก็คือว่า ทำอย่างไรเพื่อที่จะสร้างตัวกรองที่ไม่ทำให้คนที่ไม่มีคุณสมบัติหลุดรอดเข้ามาได้ จะต้องไม่ทำให้กลุ่มนายทุน ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองมาอาศัยกฏหมายฉบับนี้ได้ประโยชน์ อันนี้เป็นเรื่องที่เราเอามาพิจารณาประกอบตลอด”
เลาฟั้ง กล่าว
แนะ กำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติผู้ได้รับการนิรโทษกรรมให้ชัดเจน รวมทั้งวางขั้นตอนและแนวปฏิบัติหลังนิรโทษกรรม

รศ.วีระภาส คุณรัตนสิริ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะรองประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ราษฎรฯ กล่าวว่า จากการพิจารณาร่างกฎหมายนี้ พบว่ามีความพยายามที่จะเสนอกฎหมายเพื่อความเท่าเทียม ในขณะเดียวกันเรื่องของความเท่าเทียมก็กลายเป็นข้อกังวลว่าทุกคนจะได้รับผลประโยชน์จากตรงนี้ เพราะฉะนั้นในส่วนการพิจารณาจากร่างทั้งสอง ทั้ง สส.ซูการ์โน มะทา เขียนไว้ 10 มาตรา และของ สส.เลาฟั้ง รวม 20 มาตรา ตอนนี้พิจารณามาได้กลางทาง 11 มาตรา มาตราของการนิรโทษกรรมเปลี่ยนไปพอสมควร แต่ก็จะมีเสียงในชั้นกรรมาธิการอีกว่า ไม่สามารถที่จะแก้ไขให้มากกว่าร่างที่รับมาได้ ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวเองมองว่าเป็นความพยายามที่อาจจะมีกรอบแนวคิดอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้น
แต่ที่สำคัญคือวันนี้ใครที่ได้รับผลการนิรโทษกรรมต้องชัดเจน ซึ่งประชุมมา 10 ครั้งแล้ว อาจจะยังต้องคุยกันอีก คงไม่น่าจะได้ข้อยุติโดยเร็ว เพราะว่าเรื่องที่ดินป่าไม้ซับซ้อนมาก ห้วงระยะเวลาการพิจารณา ห้วงเวลาทางการเมืองค่อนข้างที่จะสุ่มเสี่ยงที่ร่าง พ.ร.บ. นี้ อาจจะเข้าไม่ทันการพิจารณาของสภา
“ยังมีปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนว่าใครจะเป็นกลุ่มคนได้รับประโยชน์ ดังนั้นวันนี้ ก็อยากจะสะท้อนเป็นอีกมุมมองว่าตรงนี้ต้องชัด แต่ที่จะมีคำถามตามมาคือนิรโทษกรรมแล้วอย่างไรต่อ น่าจะสำคัญมากกว่าใครได้รับการนิรโทษกรรมเสียอีก เพราะไม่ว่าจะประชาชน จะทุน หรือผู้ยากจนได้รับ คือต้องกลับเข้าไปใช้พื้นที่อีกหรือเปล่า และหากเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกป่าไว้แล้ว นี่ก็จะเป็นปัญหาที่ตามมาหลังจากที่เราพิจารณาคุณสมบัติเสร็จแล้ว คือนิรโทษกรรมเสร็จแล้ว จะมีขั้นตอนอะไรอีก ซึ่งผมมองว่าไม่น่าจะเป็นข้อยุติที่หาได้ง่าย”
รศ.วีระภาส กล่าว



ทั้งนี้ กมธ.ฯ พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวมาแล้ว 9 ครั้ง โดยปรับเป็นสัปดาห์ละ 2 วัน ซึ่ง พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง ในฐานะประธานกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ยืนยัน ไม่ได้เป็นการเร่งรัด แต่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการพิจารณากฎหมายที่เข้มเข้มของกรรมาธิการซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาชี้แจงให้ข้อมูลอย่างครบถ้วน
