ข้อท้าทาย ในวันที่ ‘กม.ชาติพันธุ์’ บังคับใช้ – สภาคุ้มครองฯ กลไกที่ต้องสร้างจากการมีส่วนร่วม  

‘กม.ชาติพันธุ์’ ผ่านรัฐสภา ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น เครือข่ายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ประกาศพร้อมเดินหน้าร่วมจัดทำกฎหมายลำดับรอง วางกลไก สภาคุ้มครองฯ หนุนเสริมศักยภาพ แก้ไขปัญหาชาติพันธุ์ บทพิสูจน์พลังบนความหลากหลาย ส่วนร่วมพัฒนา สร้างประโยชน์ต่อสังคมไทย

ภายหลังสภาผู้แทนราษฏร ให้ความเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติม ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตชาติพันธุ์ ของ สว. ทั้งสิ้น 421 เสียง ผ่านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ไม่เพียงความยินดีที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่คำถามที่เป็นความท้าทาย คือ เมื่อได้กฎหมายมาแล้ว จะเป็นจุดเริ่มต้นของโอกาส และเป็นทางเลือกใหม่ของการแก้ไขปัญหา และหนุนเสริมศักยภาพกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่อย่างหลากหลาย ให้กลายเป็นต้นทุนสำคัญต่อส่วนร่วมการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน  

วันชนเผ่าพื้นเมืองสากล และชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ที่เพิ่งผ่านพ้นไป จึงมีความพยายามร่วมกันมองหาแนวทางการไปต่อของกฎหมายชาติพันธุ์ ผ่านเวทีเสวนา พลังชนเผ่าพื้นเมือง สรรค์สร้างความรุ่งเรืองให้สังคมไทย”  ด้วยกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่จัดโดย เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.) 

ย้ำ ‘กฎหมายชาติพันธุ์’ ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสังคม 

อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ย้ำถึงความสำคัญของการมีกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสังคม เพราะถ้าหันกลับไปศึกษาความเป็นชาติพันธุ์ จะพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์หรือชนเผ่าพื้นเมือง เป็นประชากรกลุ่มเดียวในโลกนี้ ที่ยังรักษาแล้วก็สืบทอดองค์ความรู้ชุดเดิม ในความหมาย คือความรู้แบบดั้งเดิม ที่ทำซ้ำ ๆ จนมีคุณูปการต่อโลกนี้ พร้อมทั้งยอมรับว่ากระแสแบบทุนนิยม กระแสแบบเศรษฐกิจนิยมใหม่ ทำให้ผู้คนไม่ได้สนใจองค์ความรู้ความดั้งเดิม

“ยกตัวอย่างถ้าเราเกิดอุบัติเหตุจากการที่เราเดินในในสายเส้นทางแบบพัฒนาแบบเส้นเดียวไปตลอด แต่หากวันนึงมันสะดุด เช่น มีวิกฤตโควิด มีวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ มีวิกฤตสงคราม หรือการปะทะกันตามแนวแดนชายแดน ก็เห็นแล้วว่า เรามีคนกลุ่มนี้ที่ยังพอจะมีแรง มีความรู้เรื่องการปลูกพืชแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร ส่งน้ำส่งข้าว สิ่งของให้ผู้เดืดร้อน ความรู้ชุดนี้แหละ คิดว่าคือความเข้มแข็งหรือความมั่นคงให้กับรัฐ” 

อภินันท์ ธรรมเสนา

อภินันท์ ยังมองว่า หากพูดถึงความเข้มแข็ง ความมั่นคง ไม่ควรมองแค่เรื่องความเข้มแข็งทางการทหาร แต่คือความเข้มแข็งของสังคม เป็นความเข้มแข็งที่ประเทศมีภูมิคุ้มกัน คือต้องยอมรับพี่น้องชาติพันธุ์ หรือกลุ่มชาติพันธุ์ หรือพี่น้องชาติพันธุ์ชนเผ่าพื้นเมือง มีสิ่งนี้ให้สังคมไทยแน่ ๆ คือเป็นแหล่งรักษาเป็นภูมิคุ้มกันของประเทศนี้ได้ ถ้าหากได้รับการสนุนเสริมที่ดี ประเด็นที่สำคัญอันแรกเลย คือการเป็นทุนในแง่ของการสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศเรา

ส่วนอันที่สอง ที่มีความสำคัญตามมา คือทุนในเรื่องของการที่จะช่วยในการจัดการทรัพยากรของประเทศนี้ ในแง่รูปธรรมก็จะเห็นว่าในหลายพื้นที่ พี่น้องชาวชาติพันธุ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปดับไฟป่า เป็นแนวปะทะอยู่ด่านหน้าของเวลามีภัยพิบัติต่าง ๆ เกิดขึ้น เขาเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยภาครัฐที่ต้องจอมรับมีกำลังไม่ครอบคลุม ก็มีพวกเขาช่วยดูแลรักษา  

อภินันท์ ธรรมเสนา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารสังคมและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)

รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจ คือประเด็นเรื่องเศรษฐกิจ อาจจะไม่ได้หมายความว่า พี่น้องชาติพันธุ์ไปสร้างรายได้กับประเทศแบบตรงไปตรงมาขนาดนั้น คิดว่าความสำคัญของกลุ่มชาติพันธุ์ก็คือว่า ทำให้พี่น้องชาติพันธุ์มีความเข้มแข็งพึ่งตนเองได้ สังคมมีความเข้มแข็งจากฐานราก ดูแลพี่น้องชาติพันธุ์แบบไม่ต้องให้ความสงเคราะห์แบบในอดีตที่ผ่านมา แต่สามารถที่จะให้พี่น้องชาติพันธุ์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจได้ หรือพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเองได้ 

“คิดว่า 3-4 เรื่องนี้ น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดอยู่แล้ว ด้วยรูปธรรมที่เกิดขึ้น แล้วก็รวมถึงถ้าเราเปิดโอกาสให้พี่น้องชาติพันธุ์ได้ใช้ศักยภาพของเขาให้เต็มที่ ทำลายข้อจำกัดที่จะทำให้พี่น้องชาติพันธุ์ที่ไม่สามารถเข้าถึงโอกาสต่าง ๆ ได้ ผมคิดว่านี่จะกลับด้านกลายเป็นประโยชน์มากกับประเทศนี้”

อภินันท์ ธรรมเสนา 

ก้าวต่อไปเดินหน้าส่วนร่วมกำหนดกฎหมายลำดับรอง-กลไกสภาคุ้มครองฯ 

นิตยา เอียรการนา ผู้อำนวยการสมาคม IMPECT บอกว่า การที่กฎหมายผ่านการพิจารณาสู่การบังคับใช้ ถือว่าเป็นก้าวสำคัญ แต่ไม่ได้รู้สึกว่าประสบความสำเร็จถึงเป้าหมายสูงสุดแล้ว เพราะถือว่าเป็นก้าวแรกเท่านั้น คำถามสำคัญคือเมื่อมีกฎหมายแล้วจะก้าวเดินกันต่ออย่างไรเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เราจะใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนอย่างไรต่อ แน่นอนว่าในส่วนของกลไก สภาคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ตามกฎหมายนี้ ทางสภาชนเผ่าพื้นเมืองฯ ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ ถือว่าเป็นข้อต่อสำคัญร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เข้าถึงประเด็นปัญหาของพี่น้องชนเผ่าพื้นเมืองในพื้นที่ ว่า กำลังประสบปัญหาอะไร กำลังมีข้อจำกัดด้านไหน หรือมีศักยภาพตรงไหนที่สามารถมาพัฒนาเติมเต็มได้บ้าง 

นิตยา เอียรการนา ผู้อำนวยการสมาคม IMPECT 

กลไกของสภาคุ้มครองฯ น่าจะเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนงานนี้  ซึ่งแน่นอนว่ามีความพยายามสร้างการเรียนรู้มาเป็นสิบปีแล้ว ถ้าการที่จะมีองค์กรที่เป็นของชนเผ่าพื้นเมืองเอง ในการขับเคลื่อนในรูปแบบของสภาฯ ควรจะขับเคลื่อนอย่างไร ดังนั้นสิบกว่าปีที่ขับเคลื่อนในส่วนของสภาชนเผ่าพื้นเมืองฯ จึงถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญมาก ที่มีทั้งทางด้านที่ประสบความสำเร็จ ทางด้านที่เป็นบทเรียน ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จะนำมายกระดับขับเคลื่อนสภาคุ้มครองฯ ตรงนี้ได้ 

“ก้าวต่อไปของเรา สิ่งสำคัญที่สุด คือการทำยังไงให้พี่น้องตื่นตัวให้พี่น้องรู้สึกว่าเป็นเจ้าของกฎหมายฉบับนี้ อันนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญมากถ้ามีกฎหมายไว้แล้วแต่พี่น้องไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเจ้าของก็จะไม่ได้เกิดประโยชน์เลย ดังนั้นเป็นการบ้านที่ท้าทายมากแก่พวกเราหลังจากนี้ไป ที่จะต้องไปสร้างการรับรู้ สร้างความตระหนักและรู้สึกเป็นเจ้าของถึงกฎหมายฉบับนี้ในระดับชุมชนชนเผ่าพื้นเมือง และให้ทุกคนลุกขึ้นมากำหนดว่า เราจะร่วมกันเดินอย่างไรมากกว่าที่จะให้ส่วนหนึ่งส่วนใดเป็นคนกำหนดให้ เพราะว่าเราก็มีประสบการณ์แล้วว่าการกำหนดแผนงานต่างต่างที่มาจากแค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แน่นอนก็อาจจะมีข้อผิดพลาด หรือไม่ได้ตอบโจทย์การแก้ปัญหา แต่ถ้าเราในฐานะที่เป็นเจ้าของปัญหาหรือเจ้าของพื้นที่เอง เป็นคนที่ลุกขึ้นมาเป็นคนแก้ไขปัญหา หรือส่งเสียงหรือกำหนดแผนในการจัดการตนเอง อันนี้เป็นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะตอบโจทย์การแก้ปัญหาของเราได้”  

นิตยา เอียรการนา 

ศุรวิษฐ์ ศิริพาณิชย์ศกุนต์ รองประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองภาคอีสาน ระบุว่า กลุ่มชาติพันธุ์อีสานมีมากกว่า 11 กลุ่ม แต่มักถูกมองไม่เห็น และคิดว่าไม่มีปัญหาเยอะเหมือนภาคอื่น ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ต่างกัน  มีทั้งปัญหาเรื่องที่ดิน การเข้าถึงสิทธิต่าง ๆ ที่หนักคือเรากำลังเจอวิกฤตเรื่องวัฒนธรรมกำลังจะสูญสิ้น เพราะภาคอีสานมักถูกทำให้กลืนไปเป็นลาวในแบบเดียวกันหมด การมีกฎหมายนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้วิถีชีวิตวัฒนธรรมไม่ล่มสลายไป ทั้งเรื่องภาษาองค์ความรู้ต่าง ๆ ศิลปะวัฒนธรรมก็โดดเด่นมาก การแต่งกายที่มีคุณค่า เพราะสามารถทำเป็นมูลค่าได้อย่างมากมาย

ศุรวิษฐ์ ศิริพาณิชย์ศกุนต์ รองประธานสภาชนเผ่าพื้นเมืองภาคอีสาน

“โดยเฉพาะสิ่งที่ผมอยากยกตัวอย่าง ที่เราใส่เสื้อ เป็นเสื้อของชาติพันธุ์กูย สามารถขายได้สร้างมูลค่าได้มากและทำให้คนที่สนใจถึงที่มาที่ไปของการได้มาซึ่งผืนผ้าที่มีการย้อมสีธรรมชาติ โดยมะเกลือผ่านการย้อมถึง 21 แดด และเสื้อผ้าหรือทุนวัฒนธรรมต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นโอกาสที่เรามองว่ากฎหมายนี้เมื่อมีมาแล้ว ก็จะเปิดประตูโอกาสให้กับพวกเรา ให้วิถีวัฒนธรรมที่มีศักยภาพยังคงอยู่ไม่ล่มสลายไป”

ศุรวิษฐ์ ศิริพาณิชย์ศกุนต์

ขณะที่ เฉลิมลาภ ศิริวรรณ หัวฝ่ายการจัดการพิพิธภัณฑ์เรียนรู้ราษฏรบนพื้นที่สูง มองว่า กฎหมายชาติพันธุ์จะเข้ามายกระดับการพัฒนาวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะในกฎหมายจะบูรณาการหน่วยงานของรัฐหลายหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพราะด้วยปัญหาของพี่น้องอยู่ภายใต้หลากหลายกระทรวง และมีความคาบเกี่ยวกันในเชิงประเด็น ในเรื่องของพื้นที่อยู่อาศัย เรื่องของวัฒนธรรมวิถีชีวิต การประกอบอาชีพ และอีกหลายด้าน 

เฉลิมลาภ ศิริวรรณ หัวฝ่ายการจัดการพิพิธภัณฑ์เรียนรู้ราษฏรบนพื้นที่สูง

“สำคัญ จะต้องมีเวทีในเรื่องของการบูรณาการความร่วมมือทุกหน่วยงานทุกกระทรวง โดยมีพี่น้องของเรานำเสนอข้อมูลที่จำเป็นสำหรับภาครัฐในการพิจารณาในเรื่องนั้น ๆ เพื่อที่จะยกระดับการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการการพัฒนาคุณภาพชีวิต การพัฒนาในเรื่องของสิทธิขั้นพื้นฐาน ผมคิดว่าหน่วยงานภาครัฐหลายหลายกระทรวงเนี่ยก็ทำงานอยู่แต่ต่างคนต่างทำ แต่เมื่อมีกฎหมายนี้ จะเป็นตัวช่วยในการที่จะเชื่อมโยงในเรื่องของการพัฒนาในประเด็นที่พี่น้องต้องการได้”

เฉลิมลาภ ศิริวรรณ

อภินันท์ ย้ำในช่วงท้ายว่า กฎหมายออกมาแล้ว แต่การทำงานยังไม่จบเพราะหลายเรื่องในกฎหมายถูกตัด และไม่ได้ทั้งหมดอย่างที่เสนอและต้องการ จึงเป็นความท้าทายที่จะทำความเข้าใจ และรวมพลังกันเพื่อจะทำให้มันเกิดขึ้นจริงในอนาคต ประคับประคองให้กฎหมายฉบับนี้ ทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมเห็นว่ามันเป็นประโยชน์จริง ๆ แล้วก็นำมาสู่การแก้ไขในอนาคตได้ ถ้าคิดว่าประเด็นไหนยังตกหล่นไป ยังไม่สามารถที่จะบรรลุได้จริง ๆ ก็ต้องต่อสู้ไป

“สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุด คือเวลามีกฎหมายแล้วเหมือนทุกคนยินดีกันว่าเราได้กฎหมายแล้ว เราก็ต่างคนต่างทำแล้วก็แยกย้ายกันทำ มันก็จะกลายเป็นว่าพลังที่เราเคยเกาะเกี่ยวกันไว้เนี่ย มันก็จะเริ่มสลายไป แต่ว่ามันควรจะแบบมีกฎหมายแล้ว ยิ่งกระชับพวกเราให้มันทำงานเข้มข้นขึ้น ก็จะสามารถทำให้เราขับเคลื่อนความท้าทายในอนาคตได้”

อภินันท์ ธรรมเสนา

การเดินหน้าต่อจากนี้ ในระยะต้นคิดว่ามีหลายเรื่องที่ต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการออกกฎหมายลำดับรอง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันใหม่ ต้องทบทวน ต้องดูกันใหม่ว่าอะไรก็ตามที่เรามีทุนอยู่เดิมแล้ว และจะออกแบบกลไกต่าง ๆ ด้วย 

“เราก็มีการคุยกันกับทางพี่น้องสมาชิกชนเผ่าพื้นเมืองว่ากลไกสภาคุ้มครองฯ จะออกแบบอย่างไร ก็มีความคืบหน้าไปมากกับการออกระเบียบต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้ ทางศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรฯ โดยกระทรวงวัฒนธรรม ก็ร่างตัวระเบียบต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะทันทีที่กฎหมายบังคับใช้ ก็คือมีผลทันที นั่นหมายความว่า คณะกรรมการคุ้มครองฯ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก็จะมีโดยอัตโนมัติเลย ก็สามารถเคลื่อนกฎหมายได้ทันที”

อภินันท์ ธรรมเสนา

ส่วนงานระยะกลาง คือหลังจากที่ทำกฎหมายลูก ซึ่งระยะเวลาในการเตรียมการประมาณสัก 6 เดือน คือการทำความเข้าใจอย่างจริงจังต่อกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะหลายคนอาจไม่ได้ติดตามหรืออยู่ในกระบวนการตอนเริ่มต้น พอไปออกกฎหมายแล้วอาจยังไม่เข้าใจมันเกี่ยวอะไรกับตนเอง ต้องสร้างความเข้าใจให้รู้ถึงสิทธิและกฎหมายว่าเป็นประโยชน์อย่างไร 

ส่วนระยะยาว อีก 3-4 ปีข้างหน้า ต้องเริ่มคิดทบทวน ว่า กฎหมายที่ออกมาติดขัดอะไร บางมาตราที่เคยเสนอไว้แล้วถูกตัดออกไป ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าหลักการดียังไง และข้อจำกัดที่กฎหมายยังออกให้ไม่ครบเป็นปัญหายังไง เพื่อให้เห็นว่าถ้าครบแล้วจะดีกว่านี้อย่างไร นำไปสู่การปรับแก้ไขเพิ่มเติมในอนาคต 

“ขอย้ำว่า กฎหมายนี้เป็นแค่จุดสตาร์ท จุดเริ่มต้น ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด กำลังเดินต่อไปอีกครั้ง และอีกไกล แล้วก็ยังอีกหลาย Gen ที่ต้องทำเรื่องนี้ต่อ พวกเรายังต้องผนึกกำลังให้ความสำคัญในการมีส่วนร่วม ทั้งโอบรับโอบอุ้มสังคมไทย สังคมที่มีความหลากหลายไปด้วยกัน”

อภินันท์ ธรรมเสนา

สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ยืนยันเจตนารมณ์​การทำงานร่วมกับภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคีเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองทุกกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง และขอเชิญชวนประชาชนทุกภาคส่วน ร่วมกัน “ยอมรับ เคารพ และส่งเสริมสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง” เพื่อก้าวไปสู่สังคมพหุวัฒนธรรมที่เท่าเทียม เป็นธรรม และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active