“เด็กรวยต่อ ม.ปลาย 83% เด็กจน ได้ไปต่อ 46%” คำขวัญวันเด็กโดดเด่น แต่จะเป็นจริงได้ ?


เมื่อ “ระบบการศึกษาไทย” ไม่พร้อม มอบโอกาสให้เด็กทุกคน เปิดข้อมูลสภาพัฒน์ อัตราการศึกษาต่อมัธยมปลายเทียบ “เด็กรวย กับเด็กจน” TDRI แนะ 4 ข้อเสนอ “ปฏิรูปการศึกษา” สร้างโอกาสเด็กไทย ไม่ใช่แค่ฝัน

วันนี้ (11 ม.ค.2568) นางสาวแพทองธาร​ ชินวัตร​ นายกรัฐมนตรีเป็รประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ​ ประจำปี 2568 ที่กระทรวงศึกษาธิการเพื่อมอบความสุข​ ปลุกความคิด​สร้างสรรค์​ มุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชน​ เป็นคนเก่งคนดีสามัคคีตลอดจนปลูกฝังให้มีส่วนร่วมในสังคมตามคำขวัญ “ทุกโอกาส  คือ  การเรียนรู้พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง” โดยมี พลตำรวจเอกเพิ่มพูน​ ชิดชอบ​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ​ ให้การต้อนรับ

“ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง” เป็นคำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2568 ที่นายกรัฐมนตรี มอบให้กับเด็กไทย

โดยนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงที่มาของคำขวัญวันเด็กว่า​ เพราะทุกโอกาสคือความเรียนรู้​ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง​ ทุกโอกาสคือการเรียนรู้เราสามารถเรียนรู้ได้จากคนทุกช่วงทุกวัย​ ไม่ใช่เพียงแต่ผู้ใหญ่โตแล้วไม่ต้องเรียนรู้​ ไม่จำเป็น​ ไม่ใช่เพียงแค่เด็กๆเรียนรู้เพียงแค่เพื่อนไม่ต้องสนใจคนอื่น​ ไม่จริง​ ทุกโอกาสทุกคนทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ ต้องเปิดใจพร้อมรับรู้รับฟังซึ่งกันและกัน​ นั่นแหละคือโอกาสแข่งการเรียนรู้​ นี่คือที่มาของคำขวัญวันเด็กในปีนี้ 

และอยากให้ทุกคนรู้ว่า​ โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมีอะไรที่เปลี่ยนแต่ทุกคนต้องพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับโลกเข้ากับยุคเข้ากับสมัย​ ให้เรารู้คุณค่าของตัวเราและพร้อมจะปรับตัวสู่อนาคต​ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว​ และให้กำลังใจซึ่งกันและกันวันเด็กปีนี้ตนขอให้น้องๆทุกคนมีโอกาสในการเรียนรู้เยอะๆวันนี้กระทรวงศึกษาธิการสร้างสิ่งน่าเรียนรู้ไว้รอบตัวเรา​ สร้างความสนุก​  ได้เรียนรู้ไปพร้อมกันวันนี้ก็เรียนรู้ให้เต็มที่และขอให้ทุกคนมีอนาคตที่สดใสเป็นทุกโอกาส​ แห่งการเรียนรู้ในทุกพื้นที่​ และมีอนาคตที่เราเลือกเองอย่างถูกต้อง​ เพื่อพัฒนาประเทศชาติต่อไปจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการก่อนเดินทางไปเปิดงานยังทำเนียบรัฐบาลต่อไป

ก่อนหน้านี้ The Active สัมภาษณ์นักเศรษฐศาสตร์การศึกษา เพื่อ ถอดรหัส คำขวัญวันเด็ก ปี 68 ได้ข้อสรุปว่าเด็กไทยจะเป็นได้อย่างคำขวัญ รัฐไทยต้องประกันการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ถอดรหัส คำขวัญวันเด็ก ปี 68 : เด็กจะมี ‘โอกาส’ และ ‘เลือกอนาคต’ เองได้ รัฐต้องประกันการศึกษาที่เท่าเทียม

สอดคล้องกับ การสอบถามพูดคุยกับ เด็ก และเยาวชนหลายคน ในภูมิภาคต่างๆ ของไทย รวมถึง กรุงเทพมหานคร ที่มองว่า “โอกาส” ของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน เช่น คำกล่าวที่ว่า “ถ้าเด็กได้เลือก สิ่งที่ต้องการไปสู่อนาคต… เราจะไม่เห็นเด็กหลุดจากระบบการศึกษา” หรือ “เด็กทุกคนมีศักยภาพ แต่โอกาสไม่เท่ากัน แค่ครอบครัว เราก็เกิดมาต่างกันแล้ว” หรือแม้แต่ เด็กในกรุงเทพมหานคร ก็มองความหมายของคำว่า โอกาส ในหลายความหมายไม่ใช่แค่เรื่องของ การศึกษา แต่มองไปถึงโอกาสทางความคิด ทางเลือก และการได้ใช้ชีวิตในสังคมของความหลากหลายได้อย่างมีคุณค่า และมีความหมาย

TDRI ชมคำขวัญนายกฯ โดดเด่น เปลี่ยนจากการสอนเป็นกระตุ้นให้มองหาโอกาส

ล่าสุด คำขวัญวันเด็ก ยังถูกนำมาเป็นโจทย์อนาคตของประเทศไทย ในมิติการศึกษาอีกครั้ง ผ่านมุมมองของ ทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิจัยนโยบายด้านการปฏิรูปการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ในบทความ เด็กไทยในคำขวัญ จะไม่เป็นแค่ฝัน ต้องปรับระบบการศึกษา

นักวิชาการ TDRI มองว่า คำขวัญวันเด็กแห่งชาติในแต่ละปี มักสะท้อนความคาดหวังของผู้บริหารประเทศต่อเด็กไทย ในด้านคุณลักษณะ หรือ พฤติกรรมที่พึงมี บางครั้งแฝงการสั่งสอนหรือเตือนสติ แต่สำหรับคำขวัญวันเด็กปีนี้กลับโดดเด่น แตกต่างไปจากคำขวัญวันเด็กในอดีต เปลี่ยนจากการออกแบบ “คุณลักษณะ” ให้เด็กประพฤติตาม ไปเป็น การกระตุ้นให้พวกเขามองหาโอกาส เรียนรู้จากสิ่งรอบตัว และพัฒนาตัวเองสู่อนาคตที่ตนเองเลือก พร้อมถอดรหัสคำขวัญวันเด็กประจำปี 2568

“ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง”

เริ่มจากประโยค “ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้” การเน้นให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้ผ่านวิธีที่หลากหลาย มีความสำคัญ เนื่องจากความรู้ไม่ได้อยู่เพียงในห้องเรียน หรือในระบบเท่านั้น การเรียนรู้นอกห้องเรียน หรือ platform ต่าง ๆ มีความสำคัญ และช่วยให้นักเรียนมีโอกาสเข้าถึงความรู้ใหม่ ๆ มีทางเลือกในการเลือกวิธีเรียนรู้ที่เหมาะกับตนเองมากยิ่งขึ้น

ถัดมา คือ “พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง” นักวิชาการมองว่า ส่วนนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ทางการศึกษาที่เด็กต้องปรับตัวเพื่อรับมือความท้าทายใหม่ ๆ และสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตตนเองได้ หรือ อีกนัยยะหนึ่ง คือ การพัฒนาเด็กให้เติบโตมาเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learner) แม้คำขวัญนี้ดูเหมือนจะมุ่งสื่อสารถึงเด็กโดยตรง แต่ในความเป็นจริงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับทุกช่วงวัยได้

ทั้ง 2 ประโยคนี้ ทำให้คำขวัญวันเด็กแห่งชาติในปีนี้มีความน่าสนใจ และคงจะเป็นเรื่องดี หากระบบการศึกษา สามารถบรรลุภาพฝันตามคำขวัญที่มอบโดย นายกรัฐมนตรี แต่ก็มีคำถามสำคัญว่า

“ระบบการศึกษาไทย” พร้อมมอบโอกาสการเรียนรู้ และพัฒนาผู้เรียนให้พร้อมปรับตัวได้มากน้อยเพียงใด ?

TDRI ชวนคิดต่อจากคำขวัญวันเด็กปี 68 “ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับโอกาส” ชี้ ความแตกต่างของการเข้าถึงการศึกษาเด็กไทย

ทัฬหวิชญ์ อธิบายต่อว่า การเข้าถึงการศึกษาของเด็กไทย ยังมีความแตกต่างกันสูงมาก ข้อมูลจาก สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชี้ว่า

  • กลุ่มประชากรที่ร่ำรวยที่สุด หรือ กลุ่มที่มีกำลังจ่ายสูงสุดร้อยละ 10 ของประชากรไทย  เข้าเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (รวม ปวช.) ร้อยละ 83  และระดับปริญญาตรี (รวม ปวส.) ร้อยละ 71 
  • ในขณะที่ กลุ่มประชากรที่ยากจนที่สุด หรือกลุ่มที่มีกำลังจ่ายน้อยที่สุดร้อยละ 10 ของประชากรไทย ได้เข้าเรียนแต่ละระดับเพียงร้อยละ 46 และร้อยละ 6 (ตามลำดับ)เท่านั้น

ส่วนการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน เช่น พิพิธภัณฑ์ หอศิลปะ ศูนย์ฝึกอาชีพ และห้องสมุด ก็ยังเป็นอุปสรรคเช่นกัน จากการสำรวจโดย “คิด for คิดส์” พบว่า เยาวชนไทย อายุ 15-25 ปี กว่าร้อยละ 40 ไม่เคยไปแหล่งเรียนรู้เหล่านี้ ในหมู่เด็กที่เข้าถึงโอกาสเอง ก็ยังขาดทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) ซึ่งสะท้อนผ่าน ผลสำรวจนักเรียนไทยอายุ 15 ปี จาก ผลประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA) 2022 ที่มีทั้งหมด 81 ประเทศ และเขตเศรษฐกิจที่เข้าร่วม พบว่า

  • ร้อยละ 45 ไม่มั่นใจในการวางแผนการบ้านด้วยตนเอง (อันดับ 5 จากท้าย)
  • ร้อยละ 50 ไม่สามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากอินเทอร์เน็ต (อันดับ 7 จากท้าย)
  • ร้อยละ 55 ไม่สามารถประเมินคุณภาพข้อมูลที่ค้นพบได้ (อันดับ 6 จากท้าย)

สำหรับในด้านการปรับตัว มีเด็กไทยกว่าครึ่งที่รู้สึกว่าตนเองปรับตัวไม่ดีเมื่อต้องเผชิญสถานการณ์เปลี่ยนแปลง (PISA 2018) ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายที่ต้องพัฒนาเพื่อเตรียมเด็กไทยให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

แนะ 4 ข้อเสนอ จากคำขวัญ สู่ ปฏิรูปการศึกษา

โจทย์ใหญ่…จะทำอย่างไรให้ “ความฝัน” กลายเป็น “ความจริง” ? TDRI เสนอ ปรับเปลี่ยนระบบการศึกษา 4 ประเด็น

  • ปรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานให้บ่อยครั้งขึ้น หลักสูตรแกนกลางฯ ถูกบังคับใช้มาเกือบ 17 ปี ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลานาน จึงควรมีการปรับหลักสูตรให้มีเป้าหมายการเรียนรู้ที่ทันสมัย โดยเฉพาะการมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิด “สมรรถนะ” ที่จำเป็น อย่างการปรับตัว การเรียนรู้ด้วยตนเอง และทักษะดิจิทัล ขณะเดียวกันควรมีการทบทวนหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยทุก 6 ปี เพื่อให้หลักสูตรยังสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก
  • เพิ่มโอกาสการเรียนรู้ และการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้นอกระบบ รัฐควรลงทุนเพิ่มพื้นที่การเรียนรู้นอกห้องเรียน โดยอาจยึดแนวทาง “เมืองแห่งการเรียนรู้” ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นชุดนโยบายเพิ่มพื้นที่การเรียนรู้นอกห้องเรียน ทั้งการเปิดโรงเรียนวันเสาร์ (Saturday school)  เป็นพื้นที่กิจกรรม การร่วมมือกับภาคเอกชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคม ในการพัฒนาและจัดกิจกรรมที่ห้องสมุด หอสมุด สวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ในชุมชน
  • เร่งพัฒนาธนาคารหน่วยกิต ที่ช่วยให้ผู้เรียนสะสมผลลัพธ์การเรียนรู้จากทุกโอกาส และนำมาใช้เป็นใบเบิกทางในการศึกษาต่อ ซึ่งควรได้รับการผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมพัฒนาให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศแนวทางการดำเนินงานธนาคารหน่วยกิตแล้ว ถือได้ว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกในการผลักดันแนวคิดนี้อย่างจริงจัง
  • ปรับบทบาทครูสู่ผู้สนับสนุนการเรียนรู้ ครูควรเปลี่ยนบทบาทจากผู้ถ่ายทอดความรู้มาเป็นผู้สนับสนุน และกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียน โดยทำหน้าที่อำนวยความสะดวก (Facilitate) และสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลาย นำพานักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) เช่น การนำสิ่งที่เรียนไปประยุกต์ใช้กับปัญหาจริงนอกห้องเรียน ระบบการผลิตพัฒนาและการคัดเลือกครู โดยครูควรถูกออกแบบให้สอดคล้องกับบทบาทใหม่นี้

เหล่านี้คือ ส่วนหนึ่งของหนทางที่จะช่วยให้เด็กไทยมีโอกาสเรียนรู้ และเติบโตอย่างเต็มศักยภาพในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังทำให้  “ทุกโอกาส คือ การเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง” เกิดขึ้นกับเด็กไทยทุกคนตามคำขวัญวันเด็กในปีนี้

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active