ชาติพันธุ์กูย จ.สุรินทร์ สะท้อนข้อกังวล ฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวยังไม่แล้วเสร็จ ห่วงสัตว์เลี้ยง อุปนายกสมาคมชาติพันธุ์กูย เตรียมหารือ สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย และเครือข่ายชาติพันธุ์ ประเมินสถานการณ์และแนวทางระดมความช่วยเหลือ
วันนี้ (10 ธ.ค. 68) ศุรวิษฐ์ ศิริพาณิชย์ศกุนต์ กรรมการบริหารสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย และอุปนายกสมาคมชาติพันธุ์กูย เปิดเผยกับ The Active ถึงสถานการณ์และผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่แนวชายแดน 4 จังหวัด คือ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ซึ่งส่วนใหญ่ คือ ชาติพันธุ์กูย ชาติพันธุ์เขมร และชาติพันธุ์ลาว
แม้ชาวบ้านจะมีการเตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ความขัดแย้ง และการสู้รบตามแนวชายแดนที่เกิดขึ้น กล่าวคือการอพยพที่ไม่ชุลมุนเหมือนครั้งแรก มีศูนย์รองรับ ศูนย์พักพิงที่เพียงพอ แต่ต้องยอมรับว่าแต่ละศูนย์มีประชาชนมาพักจำนวนมากกว่าในครั้งก่อน หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อ อาหาร น้ำดื่ม ที่ไม่เพียงพอ
ทั้งนี้ เตรียมหารือสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เพื่อหาแนวทางระดมการช่วยเหลือพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์และประชาชนที่เดือดร้อนตามแนวชายแดนต่อไป


อีกปัญหาสำคัญที่กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่มีความกังวล ซึ่งส่วนใหญ่ทำการเกษตรและทำนา คือ ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม เป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าว แต่สถานการณ์ชายแดนที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตอีกกว่าร้อยละ 30 ได้
“ซึ่งตรงนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญต่อชีวิต รายได้ของพี่น้องที่อยู่ตามแนวชายแดน เพราะส่วนใหญ่พี่น้องชาติพันธุ์กูยและชาติพันธุ์เขมร เขาทำเกษตร ปลูกข้าวไว้กินเอง เหลือนำไปขาย เป็นรายได้เพื่อเลี้ยงครอบครัวตลอดทั้งปี สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ส่งผลกระทบอย่างมาก” ศุรวิษฐ์ กล่าว
ส่วนช้างที่เป็นสัตว์เลี้ยงของชาติพันธุ์กูย ส่วนใหญ่ออกไปรับจ้างนอกพื้นที่จึงไม่กระทบ แต่สัตว์เลี้ยงที่สร้างรายได้ อย่างเช่น วัว ควาย หมู ต้องปล่อยทิ้งเอาไว้ เนื่องจากชาวบ้านต้องรีบอพยพออกมาเพื่อเอาชีวิตให้รอดก่อน จึงส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และรายได้ของชาวบ้านในพื้นที่
ดังนั้น ระยะเร่งด่วน จึงหวังเห็นแนวทางการช่วยเหลือดูแลในส่วนนี้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหวังรัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อยุติความขัดแย้งและสถานการณ์ไม่ให้รุนแรง บานปลาย และยืดเยื้อไปนานกว่านี้



