ทบทวนนิยาม “ผู้สูงอายุ” เปิดทางกลับสู่ตลาดแรงงาน

นักวิชาการ ชี้ คนไทยอายุขัย 78 ปี แต่ใช้เกณฑ์เก่าตั้งแต่ปี 2494 เผยผู้สูงอายุ 86% ทำงานนอกระบบ แนะรัฐเร่งขยายอายุเกษียณเป็น 65-70 ปี “มนุษย์ต่างวัย” ชวนคิดชีวิตหลังเกษียณตั้งแต่อายุ 40 สร้างพื้นที่ใหม่ให้ผู้สูงวัยแสดงศักยภาพ  

วันนี้ (22 มิ.ย. 68) ที่งาน มนุษย์ต่างวัย FEST 2025 เวที Policy Forum “The Next Chapter ชีวิตไม่เกษียณ“ รศ.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ใช่ “กำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ” อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ “เข้าสู่” แล้วมาตั้งแต่ปี 2548 และในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า จะขยับเข้าสู่ “สังคมผู้สูงวัยระดับสุดยอด” หรือที่เรียกว่า Super-aged society ซึ่งหมายถึงมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปถึงเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด

“สิ่งที่น่าห่วงไม่ใช่แค่สังคมสูงวัย แต่คือ ‘ความเร็ว’ ที่เรากำลังเผชิญ คนไทย ‘แก่ก่อนรวย’ ต่างจากญี่ปุ่นหรือยุโรปที่เข้าสู่สังคมสูงวัยหลังจากมีฐานเศรษฐกิจมั่นคงแล้ว”

รศ.เฉลิมพล กล่าว

ผู้สูงอายุไทยทำงานเพราะ “จำเป็น” หรือ “อยากทำ”?

จากการสำรวจของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ผู้สูงอายุไทยราว 37.2% หรือประมาณ 1 ใน 3 ยังคงทำงานอยู่ แต่คำถามสำคัญคือ พวกเขาทำงานเพราะ “พร้อมและต้องการทำ” หรือเพราะ “จำเป็นต้องทำ”?

รศ.เฉลิมพล เปิดเผยผลวิจัยในเขตกรุงเทพฯ ที่สามารถสรุป “5 ปัจจัย” ที่ส่งผลต่อการทำงานของผู้สูงอายุได้ดังนี้

1. ความจำเป็นทางการเงิน – หลายคนไม่มีรายได้พอใช้หลังเกษียณ สวัสดิการและระบบบำนาญยังไม่ครอบคลุม ทำให้ต้องทำงานต่อเพื่อเลี้ยงตัวเอง

2. ความพร้อมด้านสุขภาพและทักษะ – บางคนแม้จำเป็นต้องทำงาน แต่ร่างกายไม่เอื้อ หรือไม่มีทักษะที่สอดคล้องกับโลกยุคดิจิทัล

3. การขาดโอกาส – มีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ “พร้อม” แต่ไม่มี “โอกาส” เพราะสังคมไม่เปิดรับ หรือไม่รู้ว่ามีช่องทางไหนให้ทำงานต่อได้

4. การประเมินความเสี่ยง – ผู้สูงวัยจำนวนมากยังทำงานแบบนอกระบบ ซึ่งกว่า 86% ไม่ได้รับการคุ้มครองด้านแรงงาน ไม่มีประกัน หรือสวัสดิการใด ๆ

5. ข้อจำกัดด้านสภาพแวดล้อม – เพียงการเดินทางไปทำงานก็เป็นเรื่องเสี่ยง ทั้งทางกายภาพและความปลอดภัยในพื้นที่สาธารณะ

ถึงเวลา “ดีไซน์” ชีวิตหลังเกษียณให้มีคุณค่า

รศ.เฉลิมพล เสนอว่า หากประเทศไทยต้องการให้ผู้สูงอายุเป็นพลังของสังคมใน “ชีวิตหลังเกษียณซีซัน 2” จำเป็นต้องมีระบบสนับสนุนที่ตอบโจทย์ทั้งฝั่ง “ผู้สูงอายุ” และ “นายจ้าง” โดยเฉพาะงานที่ “ยืดหยุ่น” ไม่บังคับทำเต็มเวลา หรือสามารถเลือกทำตามช่วงเวลาที่สะดวก เช่น วันละ 2 ชั่วโมง หรือเฉพาะวันที่ไม่ต้องดูแลหลาน เพื่อให้ผู้สูงวัยสามารถสร้างคุณค่าโดยไม่ถูกจำกัด

“หลายคนไม่ได้อยากหยุดทำงานตอนอายุ 60 แต่สังคมไม่ได้เปิดโอกาสให้พวกเขาทำต่อ ทั้งที่พวกเขายังมีพลัง ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์อยู่มาก”

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ภาครัฐพัฒนานโยบายที่ลดความเสี่ยงในการทำงาน เช่น การขยายความคุ้มครองแรงงานนอกระบบ สนับสนุนการฝึกทักษะใหม่ ๆ สำหรับผู้สูงอายุ และส่งเสริมบทบาทของงานจิตอาสาที่ผู้สูงวัยสามารถมีส่วนร่วมได้

“ชีวิตหลังเกษียณไม่ควรถูกมองว่าเป็น ‘จุดจบ’ แต่คือโอกาสเริ่มต้นบทใหม่ ที่เราต้องร่วมกันออกแบบให้ปลอดภัย มีคุณค่า และยั่งยืน”

รศ.เฉลิมพล กล่าว

ไทยต้องเร่งสร้างนโยบายหนุนผู้สูงอายุทำงาน

รศ.เฉลิมพล ยังเสนอแนวทางสำคัญในการสนับสนุนผู้สูงอายุให้สามารถทำงานต่อได้ในบริบทของสังคมสูงวัย โดยเน้นว่า การขับเคลื่อนต้องเกิดทั้งในระดับ นโยบาย และ กฎหมาย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ปลอดภัย และตอบโจทย์ชีวิตของคนวัยหลังเกษียณ

“หลายประเทศทั่วโลกมองเรื่องการส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุเป็นหนึ่งในมิติสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการจัดหางานหรือฝึกอาชีพเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงด้านการคลัง สวัสดิการ และการออกแบบเชิงสังคม”

ประเทศไทยเองมี “แผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุแห่งชาติ ระยะที่ 3” อยู่แล้ว แต่ในทางปฏิบัติยังมีข้อจำกัด และยังไม่ปรากฏเป็นรูปธรรมในลักษณะแพ็กเกจนโยบายแบบบูรณาการ ที่จะรองรับการทำงานของผู้สูงวัยอย่างเป็นระบบ

ในเชิงกฎหมาย รศ.เฉลิมพล ชี้ว่า ปัจจุบันประเทศไทยใช้ กฎหมายแรงงานทั่วไป ที่บังคับใช้ครอบคลุมทุกช่วงวัย ไม่มีบทบัญญัติเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ ทั้งที่รูปแบบการทำงานของผู้สูงวัยมักมีลักษณะเฉพาะ เช่น ต้องการความยืดหยุ่นสูง ความปลอดภัย และการดูแลด้านสุขภาพควบคู่ไปด้วย

“บางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี หรือเกาหลีใต้ มีกฎหมายเฉพาะที่คุ้มครองแรงงานผู้สูงอายุ เพราะมองว่าเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบาง และมีศักยภาพหากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม”

เขาอธิบาย

ในประเทศไทย กฎหมายคุ้มครองแรงงานยังไม่ได้แยกกลุ่มผู้สูงอายุอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน อายุที่นิยามว่าเป็น “ผู้สูงอายุ” คือ 60 ปี ขึ้นไป แต่ระบบประกันสังคมกลับกำหนดอายุ 55 ปี เป็นอายุที่ให้สิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ ซึ่งสะท้อนความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่อาจต้องปรับ

ทบทวน “นิยามผู้สูงอายุ” ใหม่เปิดทางผู้สูงวัยกลับสู่ตลาดแรงงาน

รศ.เฉลิมพล เสนอให้มีการทบทวน “3 อายุ” สำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตแรงงานของผู้สูงอายุ ดังนี้

1. อายุของการนิยามความเป็นผู้สูงอายุ (60 ปี) – เป็นจุดเริ่มต้นของการถูกจัดประเภท แต่ไม่ได้สะท้อนสภาพความสามารถที่แท้จริง

2. อายุเกษียณราชการ (60 ปี) – มีผลเฉพาะกับข้าราชการและพนักงานรัฐ ซึ่งเป็นเพียงส่วนน้อยของแรงงานทั้งประเทศ

3. อายุของการได้รับสิทธิประโยชน์ชราภาพจากประกันสังคม (55 ปี) – กลับเร็วกว่ากลุ่มข้าราชการ ขัดกับเจตนารมณ์ของการขยายอายุทำงาน

“การพิจารณาปรับอายุรับสิทธิประโยชน์ควรดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น จาก 55 ปี เป็น 57 หรือ 60 ปี เพื่อให้แรงงานภาคเอกชนมีเวลาปรับตัว โดยต้องทำควบคู่กับการขยายหลักประกันสังคมและโครงสร้างการทำงานที่ยืดหยุ่น”

รศ.เฉลิมพล เสนอ

ภาคเอกชนยังลังเล ขาดแรงจูงใจรับผู้สูงอายุเข้าทำงาน

แม้ภาครัฐเริ่มมีแนวคิดสนับสนุนผู้สูงวัยให้กลับเข้าสู่ระบบงาน แต่ในทางปฏิบัติ ภาคเอกชนจำนวนมากยังมีความลังเล เพราะมองว่าไม่มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ และยังขาดมาตรการสนับสนุนจากรัฐ

“บางองค์กรอยากรับผู้สูงวัย แต่ยังไม่มีระบบรองรับที่ชัดเจน ทั้งเรื่องภาษี เงินอุดหนุน หรือกฎเกณฑ์ด้านแรงงานที่ยืดหยุ่นเพียงพอ

“ถ้าเราอยากให้ผู้สูงอายุมีงานทำหลังเกษียณ เราต้องไม่มองว่าพวกเขาเป็น ‘ภาระ’ แต่ต้องเห็นว่าเขาคือทรัพยากรของสังคม และออกแบบกฎ กติกาใหม่ เพื่อให้เขากลับมาเป็นพลังได้อีกครั้ง”

รศ.เฉลิมพล

“วสันต์” แนะรัฐเร่งทบทวนอายุเกษียณ 

ด้าน วสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า สิทธิของผู้สูงอายุไทยยังไม่ได้รับการส่งเสริมและคุ้มครองอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะสิทธิในการมีงานทำและการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี สวนทางกับอายุขัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

“คนไทยเมื่อก่อนอายุเฉลี่ยแค่ 49 ปี ปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 78 ปี โดยผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย แต่เราใช้เกณฑ์เกษียณ 60 ปีมาตั้งแต่ปี 2494 โดยไม่เคยปรับอีกเลย ขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ขยับอายุเกษียณขึ้นเป็น 65 หรือ 70 ปีแล้ว เพราะอายุยืนขึ้น และผู้สูงวัยยังสามารถทำงานและสร้างรายได้ได้” วสันต์กล่าว

เขายังเตือนว่าหากรัฐไม่ทบทวนระบบการทำงานและการมีรายได้ของผู้สูงวัย จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น สิทธิในการทำงาน สิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสม และสิทธิที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติ

“คนสูงอายุจำนวนมากยังต้องพึ่งลูกหลาน หรือทำงานหาเช้ากินค่ำ ขณะที่ผู้สูงวัยที่มีเงินออมเพียงพอมีแค่ประมาณหนึ่งในสามเท่านั้น”

วสันต์ ชี้อีกว่าการมีเพียงกฎหมายทั่วไปด้านสิทธิมนุษยชนหรือกติการะหว่างประเทศนั้นยังไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีกฎหมายเฉพาะที่ดูแลสิทธิของผู้สูงอายุโดยตรง เช่นเดียวกับกฎหมายสิทธิเด็กและสิทธิสตรี

ในเวทีเดียวกัน วสันต์ ยังย้ำถึงแนวโน้มของหลายประเทศที่เริ่มขยับอายุเกษียณ พร้อมยกตัวอย่างอาชีพที่ไทยเริ่มผ่อนปรน เช่น แพทย์ อาจารย์มหาวิทยาลัย ผู้พิพากษา และอัยการ ซึ่งสามารถทำงานต่อได้ถึง 65 หรือ 70 ปี โดยชี้ว่าควรมองเรื่องนี้ในภาพรวมระบบ ไม่ใช่เพียงเฉพาะอาชีพใดอาชีพหนึ่ง

“ชีวิตมนุษย์ไม่ใช่บันไดเลื่อนที่ถึงวัย 60 แล้วต้องหยุด ทุกคนยังมีศักยภาพ มีคุณค่า และควรได้เลือกว่าจะไปต่ออย่างไร” วสันต์กล่าว พร้อมเสนอให้รัฐทบทวนระบบเกษียณอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้กระทบคนรุ่นหลัง และเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยที่ยังมีแรงและสติปัญญาได้ทำงานต่ออย่างเหมาะสม

ขยายอายุเกษียณต้องค่อยเป็นค่อยไป-เน้นสมัครใจ

ด้าน รศ.เฉลิมพล ระบุว่า แม้การขยายอายุเกษียณจะมีความจำเป็นในระยะยาว แต่การดำเนินการควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น ขยับจาก 60 เป็น 61 แล้วไป 62 อย่างช้า ๆ ภายในระยะเวลา 10 ปี เพื่อให้ทั้งหน่วยงานและแรงงานมีเวลาปรับตัว โดยเฉพาะในภาคราชการ

“สิ่งสำคัญคือ ไม่ควรให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นการ ‘บังคับ’ ทำงานต่อ เพราะในหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส มีการประท้วงใหญ่จากประชาชนเมื่อรัฐประกาศขยายอายุเกษียณโดยไม่เปิดให้เลือก” รศ.เฉลิมพลกล่าว

ขยายเกษียณแบบ “สมัครใจ” ไม่ใช่ “คำสั่ง”

วสันต์ กล่าวเสริมว่า แนวทางที่หลายประเทศใช้คือการวางแผนระยะยาว โดยขยับอายุเกษียณปีละ 1 ปี ทุก 2-3 ปี เพื่อไม่ให้กระทบแรงงานรุ่นใหม่ พร้อมยืนยันว่า ในไทยมีการหารือเรื่องนี้มานานแล้ว และปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา โดยรูปแบบที่กำลังดำเนินอยู่คือ “การขยายอายุเกษียณแบบสมัครใจ”

“การขยายแบบสมัครใจ คือหน่วยงานและบุคลากรตกลงร่วมกัน ไม่ใช่การบังคับทุกตำแหน่งให้ทำงานต่อหลัง 60 ปี” วสันต์กล่าว

นิยาม “ผู้สูงอายุ” 60 ปี ตัวเลขที่อาจต้องทบทวน

อีกประเด็นที่ รศ.เฉลิมพล เสนอให้พิจารณาคือ “นิยามผู้สูงอายุ” ที่ไทยใช้เกณฑ์ 60 ปี มาโดยตลอด ซึ่งอาจกลายเป็นกับดักทางจิตวิทยา

“เราพบจากผลสำรวจว่า คนอายุ 55-59 ปี ไม่มีใครให้เหตุผลว่า ‘แก่’ แล้วไม่ทำงาน แต่พอถึง 60 ปี มีถึงเกือบ 30% บอกว่าหยุดทำงานเพราะรู้สึกว่าตนเองชรา ทั้งที่สภาพร่างกายอาจไม่ต่างจากปีที่แล้วเลย”

เขาย้ำว่า หากสามารถปรับนิยามหรือลบอคติทางสังคมที่มองว่า 60 คือ “จุดสิ้นสุดของพลังการทำงาน” ออกไปได้ ก็อาจช่วยให้ผู้สูงวัยจำนวนมากยังมีแรงบันดาลใจและพลังใจในการทำงานต่ออย่างมีคุณค่า

กฎหมายต้องคุ้มครองสิทธิผู้สูงวัยที่พร้อมทำงาน

วสันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้การขยายอายุเกษียณจะยังอยู่ในขั้นตอนนโยบาย แต่จำเป็นอย่างยิ่งต้องมี “หลักประกันทางกฎหมาย” สำหรับผู้สูงอายุที่พร้อมและต้องการทำงานต่อ โดยเฉพาะในภาคราชการและภาคเอกชน

“กฎหมายควรระบุให้ชัดเจนว่า ผู้ที่มีศักยภาพสามารถทำงานต่อได้ และรัฐหรือหน่วยงานสามารถต่อสัญญา หรือจ้างงานต่อได้โดยไม่ผิดกฎหมายแรงงาน”

การกำหนดให้ 60 ปี เป็น “จุดสิ้นสุดของทางเลื่อน” โดยอัตโนมัติ อาจขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนและขัดต่อประโยชน์ของหน่วยงานที่ยังต้องการใช้ความรู้ความสามารถของบุคลากรกลุ่มนี้

“มนุษย์ต่างวัย” เสนอพื้นที่ใหม่ให้คนรุ่นเกษียณ 

ประสาน อิงคนันนท์ ผู้ก่อตั้งเพจ “มนุษย์ต่างวัย” กล่าวบนเวทีเสวนาว่า จุดเริ่มต้นของการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุ ไม่ได้เกิดจากการตั้งเป้าว่าจะพูดกับกลุ่มผู้สูงวัยที่มั่งมีหรือมีอภิสิทธิ์ แต่เพราะเห็นว่าประเด็นนี้ “มีความซับซ้อนสูง” และแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุในเมือง ข้าราชการ คนทำงานบริษัท หรือชาวชนบท ซึ่งอาจยังปีนต้นตาลได้แม้อายุ 70 ปี

“ผมมองว่าประเด็นสังคมสูงวัยไม่ใช่เรื่องของปัญหาอย่างเดียว เพราะถ้าเรามัวแต่นำเสนอแต่ปัญหา เราจะวนอยู่ในที่เดิม และไม่มีโอกาสเสนอทางออก”

ประสาน อิงคนันนท์

เขาอธิบายว่า “มนุษย์ต่างวัย” พยายามสร้าง “พื้นที่พูดคุย” ที่มองผู้สูงอายุในฐานะ “กลุ่มที่ยังแอ็กทิฟ” และชวนเริ่มต้นคิดถึงเรื่องสูงวัยตั้งแต่อายุ 40-45 ปี ไม่ใช่รอให้ถึงวัยเกษียณแล้วค่อยพูดกัน

แนวคิดของ “มนุษย์ต่างวัย” จึงเน้นการออกแบบชีวิตใน 5 ด้านหลัก ได้แก่

1. สุขภาพ

2. การเงิน

3. การงาน

4. ความสัมพันธ์

5. การเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง

“ในงานที่จัดขึ้น เราให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม ทั้งบนเวทีและพื้นที่ตลาด เพราะแค่การมาขายของสองวัน อาจได้เงิน 3,000 บาท ก็ช่วยลดการใช้เงินเก็บ 3,000 บาทได้แล้ว”

ประสาน ยกตัวอย่างว่า หลายคนออกมาทำงาน แม้เพียงเล็กน้อยก็สร้างแรงบันดาลใจ เช่น พี่หลิวปั่นจักรยานไปชงกาแฟ วันละ 4 ชั่วโมง ได้ค่าแรง 200 บาท ซึ่งอาจเป็นเรื่องขำ ๆ สำหรับบางคน แต่สำหรับอีกหลายคนที่ไม่มีทุน ไม่มีร้านในชุมชน การเดินทางไกลเพียงเพื่อหารายได้น้อยนิดกลับไม่คุ้มค่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต้องมี “ระบบรองรับ” ที่มากกว่าการยืดอายุเกษียณ

ในมุมของสื่อ ประสาน ย้ำว่าหน้าที่ของเขาคือ “สร้างพื้นที่” ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ออนไลน์หรือออนกราวด์ ให้คนแต่ละรุ่นได้แสดงตัวตน และชวนให้สังคมเริ่มคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง

“งานบางอย่างอาจไม่ได้เงิน แต่ถ้าเป็นงานอดิเรกหรือจิตอาสา ที่ช่วยให้เรารู้สึกมีคุณค่าและมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น แบบนั้นก็เป็นงานเหมือนกัน”

เขาทิ้งท้ายว่า ถ้าไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว การสร้าง “space” หรือพื้นที่ ที่เปิดโอกาสให้คนสูงวัยได้แสดงศักยภาพและมีชีวิตชีวา ควรเกิดขึ้นมากกว่านี้ในทุกระดับ ตั้งแต่รัฐ เอกชน ไปจนถึงภาคประชาชน


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active