รมว.สธ. ชี้ ดราม่าพยาบาล-คนไข้ต้องดูทั้ง 2 ฝ่าย พร้อมเร่งสร้างความเข้าใจ-อบรมจริยธรรมบุคลากร

“สภาการพยาบาล” ดึง มท. แก้ขัดแย้ง จนท.รพ.-คนไข้ ใช้กลไกกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านสร้างความเข้าใจ ด้าน สธ. เดินหน้า Health Data Hub เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ หวังยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ชวน อสม.ร่วมปักหมุดสุขภาพทุกครัวเรือน

วันนี้ (24 ก.พ. 2568) สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) ให้สัมภาษณ์ระหว่าง การประชุมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพ (Health Data Hub)” และมอบนโยบายการขับเคลื่อนการพัฒนา Health Data Hub กรณี ดราม่าเกี่ยวกับพยาบาลพูดไม่ดีกับคนไข้ และผู้ป่วยเองก็มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อบุคลากรทางการแพทย์

รมว.สธ.​ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดูทั้งสองฝ่าย พยาบาลเองก็มีภาระงานที่หนัก ส่วนผู้ป่วยเองก็อาจจะมีความเครียด มีความกังวลเรื่องอาการป่วยของตัวเอง มันเลยอาจจะมีการสื่อสารที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันได้ ต้องปรับในส่วนของการให้มีจริยธรรมเหมือนของนักการเมือง ซึ่งในทุกปีต้องมีการอบรมตลอด

กระทรวงสาธารณสุขมีแนวทางในการอบรมพัฒนาบุคลากร ซึ่งทุกปีจะมีการรีเฟรช (refresh) ความรู้ มีการอบรมเรื่องจริยธรรม เรื่องการสื่อสารกับผู้ป่วย จากการหารือกันในระดับบริหารพบว่าต้องทำให้ทุกอย่างออกมาเกิดประโยชน์ในภาพรวม จะไปตำหนิประชาชนฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ หรือจะไปตำหนิพยาบาลก็ไม่ถูก เราต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจนะครับ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน

“ส่วนมาตรการที่เราจะทำเนี่ย เรามีแผนไว้อยู่แล้วครับ แต่ว่าตอนนี้ผมยังไม่อยากพูดเยอะ ขอให้มันเงียบลงก่อน เราทำอยู่แล้วครับ เราทำทุกเดือน มีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ขอให้ใจเย็น ๆ”

สมศักดิ์ กล่าว 

“สภาการพยาบาล” ดึง สร้างความเข้าใจต่อบุคลากรทางการแพทย์

ขณะที่ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2568 ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับข้อเสนอจาก สภาการพยาบาล เดินหน้าสานความร่วมมือกับ กระทรวงมหาดไทย โดยใช้กลไก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นตัวกลางในการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทและการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ให้กับประชาชน หวังลดความขัดแย้งระหว่างผู้ป่วย ญาติ และบุคลากรทางการแพทย์ หลังเกิดเหตุการณ์ญาติทำร้ายพยาบาลที่จังหวัดระยอง

ขณะเดียวกัน สภาการพยาบาล ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ขอความร่วมมือจากสื่อสังคมออนไลน์ให้หลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นที่บั่นทอนกำลังใจบุคลากรสาธารณสุข พร้อมเน้นย้ำว่า “การให้เกียรติและเคารพสิทธิของทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ คือรากฐานสำคัญของกระบวนการรักษาพยาบาล” ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชน และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบสาธารณสุขไทยในระยะยาว

รมว.สธ. มอบนโยบาย Health Data Hub เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพไร้รอยต่อ

ขณะที่ในส่วนของ การประชุมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพ (Health Data Hub) ในวันนี้ สมศักดิ์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขกำลังพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพระหว่างหน่วยงานต่างๆ ให้มีความแม่นยำและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น คล้ายกับการเปลี่ยนผ่านของโทรคมนาคมจากยุคสายโทรศัพท์มาเป็นระบบไร้สาย ทุกวันนี้การเชื่อมต่อข้อมูลสามารถทำได้ผ่านสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งช่วยให้การส่งต่อข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และลดความซ้ำซ้อนในการบริหารงาน

เป้าหมายสำคัญของระบบนี้คือการยกระดับนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ให้สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หากข้อมูลของผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือเกิดปัญหาข้อมูลรั่วไหล อาจส่งผลกระทบต่อการรักษาและทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการล่าช้า ดังนั้น การพัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพให้มีความปลอดภัยและเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น

โครงสร้าง Health Data Hub ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพที่ครอบคลุมหลายด้าน ประกอบด้วย 

  1. Health Data Center – ศูนย์กลางข้อมูลสุขภาพ
  2. Personal Health Record – ทะเบียนสุขภาพผู้ป่วย
  3. Financial Data Hub – ศูนย์กลางข้อมูลด้านการเงิน
  4. Digital Disease Surveillance – ระบบเฝ้าระวังโรคดิจิทัล
  5. Health Resource Data Hub – ฐานข้อมูลทรัพยากรด้านสาธารณสุข
  6. ระบบเก็บข้อมูลเชิงลึก – การปักหมุดสุขภาพในทุกหลังคาเรือน

ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์และบุคลากรสาธารณสุขสามารถวิเคราะห์แนวโน้มโรคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เช่น โรคเรื้อรังอย่างความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต ฯลฯ และสามารถให้บริการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สมศักดิ์ ยังย้ำถึงบทบาทของ อสม. ในการเก็บข้อมูลสุขภาพชุมชน โดยเฉพาะการสำรวจและปักหมุดข้อมูลสุขภาพในแต่ละครัวเรือน ซึ่งรวมถึงการตรวจสุขภาพพื้นฐาน และการให้คำแนะนำเพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ

หนึ่งในโครงการสำคัญคือการส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยกำหนดเป้าหมายให้ประชากร 50 ล้านคนมีการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม อสม. จะเป็นผู้ให้ความรู้และช่วยติดตามผล ซึ่งหากสามารถลดอัตราการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หรือภาวะไตวาย จะช่วยลดงบประมาณภาครัฐที่ต้องใช้ในการรักษาโรคเหล่านี้ลงได้ถึง 40,000 ล้านบาทต่อปี

เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ อสม. มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ รัฐบาลกำลังพิจารณาแนวทางให้รางวัลหรือค่าตอบแทนเพิ่มเติม เช่น การตรวจสุขภาพประจำปีให้ อสม. และการจัดสรรงบประมาณจากเงินที่สามารถประหยัดได้จากการลดภาระค่ารักษาพยาบาล

ปัจจุบัน มีประชาชนเข้ารับบริการในโรงพยาบาลกว่า 34 ล้านครั้งต่อปี หากสามารถนำระบบข้อมูลสุขภาพมาใช้ในการป้องกันและดูแลสุขภาพเบื้องต้น จะช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล และลดความจำเป็นในการก่อสร้างอาคารสถานพยาบาลเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังช่วยให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์สามารถใช้เวลาและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การพัฒนา Health Data Hub จึงไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่เป็นการวางรากฐานเพื่ออนาคตของระบบสาธารณสุขไทย ที่มุ่งเน้นการรักษาเชิงป้องกัน ลดภาระค่าใช้จ่าย และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนด้วย 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active