‘บัตรทอง–ประกันสังคม’ ถกเชื่อมสิทธิสุขภาพครั้งแรก ในรอบ 20 ปี

เคลียร์ปมการเข้าถึงสิทธิรักษาพยาบาลร่วมกัน ตามมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ ครอบคลุมประชากรทุกกลุ่ม ขณะที่ สิทธิทำฟันเกิน 900 บาท ต้อง รอ ครม. เคาะเพดานเงินสมทบก่อนเริ่มใช้จริง รพ.รัฐพร้อมเบิกเต็ม ผู้ประกันตนไม่ต้องควักเพิ่ม

วันนี้ (15 ก.ย. 68) ชลิต รัษฐปานะ กรรมการประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน ทีมประกันสังคมก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ The Active หลังการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 และคณะกรรมการประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 โดยเป็นการหารือแนวทางดำเนินงานตาม มาตรา 10 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งกำหนดให้คณะกรรมการทั้งสองฝ่ายเจรจาความร่วมมือด้านสิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาล 

ชลิต บอกว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็น ครั้งแรกที่บอร์ดประกันสังคม และบอร์ด สปสช. มานั่งคุยกันอย่างจริงจัง หลังจากที่กฎหมายบังคับใช้มากว่า 20 ปี แม้ที่ผ่านมาจะมีการรายงานต่อคณะรัฐมนตรีตามข้อกำหนดมาตรา 66 ทุกปี แต่ก็เป็นเพียง “ฟุตโน้ต” ที่บ่งชี้ว่า “ยังไม่พร้อม” โดยไม่เกิดความคืบหน้าที่แท้จริง

“วันนี้ถือเป็นการเคลียร์ Roadblock สำคัญที่ค้างมานานกว่า 20 ปี เราได้เริ่มต้นคุยกันตรงไปตรงมาระหว่างบอร์ดต่อบอร์ด ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้”

ชลิต รัษฐปานะ

เปิดทางใช้สิทธิบัตรทองอย่างเต็มที่

ชลิต ยังอธิบายว่า การหารือครั้งนี้ได้รับความเห็นพ้องว่า มาตรา 5 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ ควรถูกใช้ให้ครอบคลุมประชากรทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะผู้ถือสิทธิ UC (บัตรทอง) ราว 47 ล้านคนเหมือนในอดีต แต่ควรรวมถึงผู้ประกันตนและข้าราชการด้วย เพื่อให้ประชาชนกว่า 62 ล้านคนได้รับประโยชน์อย่างเสมอภาค

โดยยกตัวอย่างแนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาในที่ประชุม คือ “โมเดลขนมชั้น” ที่เสนอให้สิทธิ UC เป็นฐานหลัก ครอบคลุมประชาชนทุกคน ขณะที่สิทธิประกันสังคมหรือสิทธิข้าราชการยังคงอยู่ แต่ปรับบทบาทให้เหมาะสมกับบริบทใหม่

“ไม่มีใครถูกตัดสิทธิ์ เพียงแต่ UC ต้องเป็นชั้นล่างสุดที่ดูแลทุกคน ส่วนสิทธิอื่นจะเป็นชั้นบนที่เสริมเข้าไป ฝั่งทีมประกันสังคมก้าวหน้ายังอยากผลักดันให้สิทธิครอบคลุมถึงแรงงานข้ามชาติที่จ่ายสมทบด้วย แม้ปัจจุบันกฤษฎีกาตีความว่ามาตรา 5 ครอบคลุมเฉพาะผู้มีสัญชาติไทย”

ชลิต รัษฐปานะ

ผู้ประกันตนเริ่มตั้งคำถาม ทำไมใช้สิทธิ UC ไม่ได้ ?

ชลิต ยังระบุว่า ปัจจุบันความพึงพอใจต่อระบบ UC สูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเริ่มต้นปี 2545–2546 ทำให้ผู้ประกันตนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงไม่สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ UC เช่น “รับยาใกล้บ้าน–ไปรักษาที่ไหนก็ได้” ซึ่งเป็นบริการที่ สปสช. พัฒนาขึ้นต่อเนื่อง

“ผู้ประกันตนทั้งจ่ายภาษีตรง จ่ายภาษีอ้อม และจ่ายสมทบเข้ากองทุน แต่กลับถูกกันออกจากสิทธิ UC จึงถึงเวลาที่ต้องมาคุยกันจริงจัง”

ชลิต รัษฐปานะ

ชลิต รัษฐปานะ กรรมการประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน

ความท้าทายด้านงบประมาณและการบริหาร

แม้ที่ประชุมยังไม่ได้ลงลึกเรื่องงบประมาณ แต่ ชลิต ย้ำว่า การพูดคุยครั้งแรกควรเน้น เจตนารมณ์ร่วมกันก่อน ส่วนเรื่องการจัดสรรเงินและการบริหารสิทธิ์จะเป็นขั้นตอนถัดไป

โดยปัจจุบันกองทุนประกันสังคมต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลมหาศาลปีละ 50,000–60,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อด้านการแพทย์และโครงสร้างสังคมสูงวัย หากไม่หาทางจัดการร่วมกัน กองทุนจะยิ่งอ่อนแรง

สำหรับทิศทางหลังการประชุมครั้งนี้ ชลิต เผยว่า ทั้งสองบอร์ดเห็นพ้องให้มีการประชุมต่อเนื่อง ระดับ “Policy Maker คุยกับ Policy Maker” โดยนัดครั้งถัดไปวันที่ 24 ตุลาคม 2568

“วันนี้เรายังไม่ได้คำตอบสุดท้ายว่าจะเดินแบบไหน แต่เรามีความตั้งใจตรงกันแล้วว่าจะให้มาตรา 5 ทำงานจริง หลังจากนี้รายละเอียดเรื่องสิทธิประโยชน์ การบริหาร และการเงิน จะค่อย ๆ คลี่ออก”

ชลิต รัษฐปานะ

ไขข้อสงสัยสิทธิทำฟัน เพิ่มจาก 900 บาทต่อปี เมื่อไหร่ ? จะเริ่มใช้จริง

ตัวแทนบอร์ดประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน ยังเปิดเผยถึงความคืบหน้าการปรับสิทธิประโยชน์ด้านทันตกรรมด้วยว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 68 ที่ผ่านมาบอร์ดประกันสังคมได้ถกเถียงเรื่องนี้อย่างเข้มข้นกว่า 3 ชั่วโมง โดยเป็นผลสรุปที่ต่อยอดจากการประชุมของบอร์ดแพทย์และอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องซึ่งประชุมกันมาแล้วถึง 5 ครั้ง

“ทีมฝ่ายผู้ประกันตนอยากให้สิทธิใหม่นี้มีผลบังคับใช้ทันที เพราะสามารถทำได้ในรูปแบบกฎกระทรวง เพียงให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนาม แต่ติดปัญหาฝั่งนายจ้างที่กังวลเรื่องความมั่นคงทางการคลังของกองทุน จึงต้องหาทางออกร่วมกัน”

ชลิต รัษฐปานะ

สุดท้ายมีข้อตกลงว่า การขยายสิทธิทำฟันจะถูกผูกไว้กับการปรับเพดานเงินสมทบ ซึ่งแม้จะผ่านบอร์ดประกันสังคมมานานแล้ว แต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่ลงนามให้มีผลใช้บังคับ “ตามกำหนดเดิม ควรจะเริ่มเก็บเงินสมทบอัตราใหม่ตั้งแต่มกราคม 2569 แต่เมื่อ ครม. ยังไม่เซ็น สิทธิทำฟันใหม่ก็ยังไม่สามารถเริ่มได้ ต้องรอให้การปรับเพดานเงินสมทบมีผลก่อน”

ความแตกต่างระหว่าง ‘ทำฟันทั่วไป’ กับ ‘กรณีหนัก’

ชลิต ยังชี้แจงว่า สำหรับบริการทำฟันทั่วไป เช่น อุด ถอน ขูดหินปูน หากเข้ารับบริการที่คลินิกเอกชน สิทธิยังคงเดิม คือเบิกได้ไม่เกิน 900 บาทต่อปี เนื่องจากหากปรับเพิ่ม ประกันสังคมไม่สามารถควบคุมราคาค่าบริการเอกชนได้

“ที่ผ่านมาเคยเพิ่มจาก 600 บาทเป็น 900 บาท ก็เห็นชัดว่าคลินิกหลายแห่งปรับราคาเพิ่มขึ้นตาม ทำให้ผู้ประกันตนต้องควักจ่ายเอง”

ชลิต รัษฐปานะ

อย่างไรก็ตาม หากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐ โดยเฉพาะกรณีที่ต้องใช้การรักษาซับซ้อน เช่น การทำฟันปลอม หรือการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิเต็มตามอัตราใหม่ โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม

“หลักการคือ ผู้ประกันตนไม่ควรเสียเงินเพิ่ม และสิทธิใหม่นี้จะทำให้การรักษาในโรงพยาบาลรัฐครอบคลุมและชัดเจนขึ้น”

ชลิต รัษฐปานะ

สรุปสถานะปัจจุบัน

  • สิทธิทำฟันเอกชน : ยังคงเบิกได้ไม่เกิน 900 บาทต่อปี

  • สิทธิทำฟันโรงพยาบาลรัฐ : จะได้สิทธิขยายเพิ่มขึ้น แต่ต้องรอ ครม. ลงนามเรื่องการปรับเพดานเงินสมทบก่อน

  • หาก ครม. ลงนามแล้ว สิทธิใหม่จะมีผลบังคับใช้ทันที

“ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว เหลือเพียงการตัดสินใจของ ครม. ถ้าเพดานเงินสมทบใหม่ประกาศใช้ สิทธิทำฟันก็จะปรับเพิ่มตามที่บอร์ดประกันสังคมมีมติไว้ทันที”  

ชลิต รัษฐปานะ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active