รวมตัวสะพานเซาเทิร์น สุราษฎร์ฯ เปิดวงวิพากษ์นโยบายฯ – อ่านแถลงการณ์เรียกร้องพัฒนาพื้นที่ภาคใต้แบบมีส่วนร่วม ต่อยอดศักยภาพชุมชนทุกมิติ
วันนี้ (14 มิ.ย. 68) เครือข่ายประชาชนปกป้องแผ่นดินใต้จากกฎหมาย SEC จัดกิจกรรมรณรงค์ รวมพลคนใต้ (ตอนบน) หยุด SEC จัดขึ้น ณ ทางหลวงจุดตัดถนนเพชรเกษม สะพานเซาเทิร์น อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี
ซึ่งเป็นเวทีที่ 2 ต่อเนื่องจากที่ ต.ควนหนองหงษ์ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีเวทีเสวนาเชิงวิพากษ์ “วาระซ่อนเร้นแย่งยึดที่ดิน ยกให้ทุนต่างชาติ ภายใต้กฎหมาย SEC” ดำเนินรายการโดย สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) มีตัวแทนชาวบ้านจากพื้นที่ชุมชนที่อยู่ในแผนโครงการพัฒนาภายใต้กฎหมายดังกล่าวเข้าร่วม ทั้ง ธีรเนตร ไชยสุวรรณ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้, อำนาจ แค้นคุ้ม เครือข่ายชาติพันธุ์ไทดำ จ.สุราษฎร์ธานี, เบญจวรรณ ทับทิมทอง เครือข่ายรักษ์พะโต๊ะ, รัตติยา วงศ์พยัคฆ์ เครือข่ายรักษ์ระนอง และสุภาภรณ์ มาลัยลอย มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม





มีการฉายภาพให้เห็นถึงโครงการแลนด์บริดจ์ ระนอง ชุมพร ที่รัฐบาลปัจจุบันกำลังผลักดันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะมีการเวนคืนที่ดินทั้งของภาครัฐและเอกชนจำนวนมากกว่า 100,000 ไร่ เพื่อใช้ก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ฝั่งระนอง 1 ท่า และที่ฝั่งชุมพร 1 ท่า และมีการสร้างเส้นทางรถไฟรางคู่พร้อมถนนมอเตอร์เวย์เพื่อเชื่อมท่าเรือทั้งสองฝั่ง รวมถึงพื้นที่สำหรับก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมอีกจำนวนมาก ซึ่งจะกระทบกับชุมชนตลอดโครงการ ไม่ว่าจะเป็นชาวเล ชาวประมง กลุ่มคนไทยพลัดถิ่น ชาวสวนทุเรียนในอำเภอพะโต๊ะ และผู้ประกอบการท่องเที่ยวของทั้ง 2 จังหวัด
มีการระบุว่า กฎหมาย SEC จะนำไปสู่การแย่งยึดที่ดินในพื้นที่อื่น ๆ ของ 4 จังหวัดที่จะถูกประกาศเป็นระเบียงเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมด คือ จังหวัดชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ซึ่งรวมถึงที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ ลุ่มน้ำตาปีที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ด้วยเพราะพื้นที่ดังกล่าวเคยถูกเสนอให้เป็นเขตนิคมอุตสาหกรรมมาก่อน เมื่อสมัยโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ดในปี 2538
รวมไปถึงที่ดินแปลงใหญ่ที่ให้เอกชนเช่าสำหรับปลูกพืชเชิงเดี่ยว ที่สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ได้มีการเข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวมาแล้วประมาณ 20 ปี แต่กลับไม่มีความคืบหน้าในเรื่องของการยอมรับการให้สิทธิชุมชนในการใช้ที่ดินดังกล่าวแต่อย่างใด และเชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้หากเข้ามาก็จะเป็นการเสี่ยงที่จะมีการแย่งยึดที่ดินทั้งหมดนี้ไปยกให้กับกลุ่มนายทุนที่จะมาใช้ที่ดินภายใต้กฎหมายระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคใต้อย่างแน่นอน
“เราไม่อยากให้มีการพัฒนาที่ไม่เห็นหัวคนในพื้นที่ ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรไม่เคยมาต่อยอดการพัฒนาให้กับประชาชนเลย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ยึดพื้นที่ชุมชน เพื่อเดินหน้าพื้นที่ป่าให้ได้เป้าหมาย40% รัฐบาลควรหันกลับมามองเห็นคนในประเทศของตนเอง และมาต่อยอดการพัฒนาอาชีพบนศักยภาพชุมชน น่าจะถูกทางกว่า”
ธีรเนตร ไชยสุวรรณ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้
“อย่าอ้างการพัฒนาเพื่อมาเหยียบย่ำพี่น้องภาคใต้ ท่านแค่ได้รับการเลือกเข้าไปเป็นผู้บริหารประเทศ อย่าข่มเหงน้ำใจคนใต้อย่างพวกเรา ขอให้คนภาคใต้รับรู้เลยว่า นักการเมืองที่เสนอกฎหมายพิเศษตัวนี้ ครั้งต่อไปช่วยอย่าให้ได้เกิดอีก และฝากถึงกระทรวงมหาดไทยช่วยมาเพิกถอนที่ดิน น.ส.ล.ในชุมชนไทดำด้วย แก้ปัญหาที่ควรแก้ เดินหน้าการพัฒนาที่ควรเดิน”
อำนาจ แค้นคุ้ม เครือข่ายชาติพันธุ์ไทดำ จ.สุราษฎร์ธานี


สุภาภรณ์ มาลัยลอย ทีมกฎหมายนิติธรรมสิ่งแวดล้อม ที่จับตากฎหมายฉบับนี้มาอย่างต่อเนื่อง ได้ยกถึงบางส่วนของกฎหมายฉบับนี้ที่มีการให้อำนาจกลไกพิเศษ ไม่สามารถเข้ามาแย่งยึดที่ดินทั้งที่อยู่อาศัย ที่ทำกินจากประชาชนในพื้นที่ภายใต้เขตระเบียงพิเศษดังกล่าว ซึ่งสามารถมีอำนาจในการยึดที่ดินทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนเข้ามาใช้เพื่อนโยบายดังกล่าวได้อย่างถูกกฎหมาย และกฎหมายฉบับนี้ยังได้สถาปนาอำนาจพิเศษที่เรียกว่าคณะกรรมการนโยบายบริหารระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ที่มีนายกรัฐมนตรีนั่งหัวโต๊ะ และประกอบไปด้วยรัฐมนตรีอีก 15 กระทรวง รวมถึงภาคเอกชนระดับทุนกลุ่มใหญ่ในประเทศเข้ามาเป็นคณะกรรมการด้วย อำนาจดังกล่าวนี้จะสามารถทำอะไรก็ได้ในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จะประกาศขึ้นตามกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งมีความเห็นว่าประเทศนี้ไม่ควรมีกฎหมายพิเศษลักษณะแบบนี้ใช้ไม่ว่าจะเป็นภาคใต้หรือภาคตะวันออกหรือภาคใด ๆ ก็ตาม
“ขอเสนอไปยังรัฐบาลถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้คำนึงถึงการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ที่ต้องตั้งอยู่บนฐานศักยภาพของชุมชนท้องถิ่น ไม่ใช่แค่ยึดเอายุทธศาสตร์ชาติที่ถูกคิดขึ้นมาสมัยรัฐบาลประยุทธ์ มาเป็นเครื่องนำทางในการพัฒนาประเทศ หากแต่ต้องมีการกระจายอำนาจในเรื่องนี้เพื่อให้ประชาชนในชุมชนท้องถิ่นได้มีสิทธิ์ในการพัฒนาร่วมด้วย”
สุภาภรณ์ มาลัยลอย ทีมกฎหมายนิติธรรมสิ่งแวดล้อม
ในเวที ยังมีตัวแทนเครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง อย่าง สุนทร คมคาย ร่วมแลกเปลี่ยน โดยชี้ถึงความกังวลผลกระทบการขยายพื้นที่ EEC มายัง จ.ปราจีนบุรี ซึ่งขอคัดค้านกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเห็นผลกระทบชัดเจนจากพื้นที่ EEC ใน 3 จังหวัดก่อนหน้า ทั้งกระทบต่อทรัพยากรทางทะเล การทำประมง การเกษตร และอาชีพ คุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่ จึงขอใช้เวทีนี้เพื่อส่งเสียงคัดค้านทั้งกฎหมาย EEC และ SEC ที่พี่น้องทางภาคใต้กำลังตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน
ร่วมอ่านแถลงการณ์ “ปกป้องภาคใต้จากกฎหมายSEC”
เครือข่ายประชาชนปกป้องแผ่นดินใต้จากกฎหมาย SEC ได้ร่วมกันอ่านคำแถลง “การปกป้องภาคใต้จากกฎหมาย SEC” โดยมีใจความสำคัญ ระบุถึงพี่น้องประชาชนชาวใต้และพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยได้มีมติคณะรัฐมนตรีให้ผลักดันกฎหมายกำกับการพัฒนาภาคใต้ฉบับหนึ่งเรียกว่าพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะนำไปสู่การยึดกุมทรัพยากรในแผ่นดินภาคใต้นำไปให้กับนักลงทุนต่างชาติ กฎหมายฉบับนี้จะก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวาง ครอบคลุมพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้และยึดกุมยาวนาน โดยเครือข่ายฯ ได้ศึกษากฎหมายฉบับนี้แล้วพบว่าเป็นกฎหมายที่กระทำการยึดทรัพยากรในภาคใต้ไปให้นักลงทุนต่างชาติ เช่น
- กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากกระบวนการที่ถูกต้องแต่คัดลอกมาจาก พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนคนใต้ ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.SEC ซึ่งกำหนดบทบาทของประชาชนให้มีหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ รับรู้ข้อมูลข่าวสารและรับการเยียวยาจากผลกระทบ
- ร่าง พ.ร.บ.SEC ทั้ง 71 มาตรา สะท้อนวิธีคิดว่าถ้าจะทำให้ภาคใต้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจจะต้องให้กรรมสิทธิ์แก่นักลงทุนต่างชาติ ต้องยกเว้นกฎหมาย ต้องให้นักลงทุนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ต้องยกเลิกอาชีพสงวนของคนไทย ต้องให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ 99 ปี ฯลฯ ซึ่งมาตรการเหล่านี้รัฐกระทำการโฆษณาว่าจะนำมาซึ่งความเจริญของภาคใต้
- กฎหมายฉบับนี้มีอำนาจในการยกเว้น แก้ไข กฎหมายอื่นหากเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเช่น มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งมีความสำคัญยิ่งแต่ร่าง พ.ร.บ.SEC กำหนดว่าสามารถออกหลักเกณฑ์การประเมินสิ่งแวดล้อมให้เร็วขึ้นและให้ต่างชาติทำการประเมินสิ่งแวดล้อมได้
- กฎหมาย SEC จะกระทบวงกว้างต่อประชาชน โดยจะทำการยกเลิกผังเมืองซึ่งเป็นแม่บทการพัฒนาของแต่ละจังหวัดโดยจะนำผังการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่กฎหมายฉบับนี้ต้องการประกาศใช้แทนผังเมืองเดิมได้ทันที การเปลี่ยนผังเมืองจะกระทบรากฐานเศรษฐกิจของประชาชนภาคใต้รวมทั้งการสูญเสียที่ดินหรือไม่อาจใช้ประโยชน์ที่ดินได้แบบเดิมอีกต่อไป คนใต้จะเข้าสู่ความยากจนแบบถาวร
- มาตรการสนับสนุนทั้งหมดไม่ได้เกิดกับประชาชนแต่ส่งมอบมาตรการสนับสนุนทั้งหมดแก่นักลงทุนต่างชาติ ยกเว้นการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายเบื้องต้น 19 ฉบับ ผู้ประกอบการต่างด้าวสามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและห้องชุดโดยไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายเดิม สามารถให้เช่าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ได้ 99 ปี สามารถนำที่ดินราชพัสดุมาใช้ประโยชน์ได้โดยมิต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยที่ดินราชพัสดุ ยกเว้นข้อปฏิบัติของที่ดิน สปก. โดยสามารถนำที่ดิน สปก. มาทำอุตสาหกรรมและอื่นใดตามที่กฎหมายฉบับนี้ต้องการ สามารถนำแรงงานต่างด้าวมาอยู่ได้โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง สิทธิพิเศษเช่นเดียวกับผู้ประกอบการในเขตประกอบการเสรี ยกเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลการทั้งหมดหรือบางส่วน ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายการแลกเปลี่ยนเงินสามารถใช้เงินตราต่างประเทศชำระสินค้าระหว่างผู้ประกอบการ ยกเลิกอาชีพสงวนของคนไทยเพื่อทำให้ต่างชาติสามารถทำงานในอาชีพสงวนของผู้มีสัญชาติไทยได้
ช่วงท้ายของคำแถลง ระบุอีกว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้รัฐบาลกำหนดไว้ว่าจะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนธันวาคม 2568 โดยในเดือนกรกฎาคมนี้จะนำร่างเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร หากเป็นไปตามที่รัฐบาลกำหนดปีหน้า 2569 ภาคใต้จะมีแผ่นดินใหม่นั่นคือหนึ่งพื้นที่สองการปกครอง คนใต้จะเริ่มต้นกลายเป็น ‘คนพื้นเมือง’ ซึ่งกฎหมายจะยกเว้นไม่คุ้มครอง ส่วนต่างชาติจะอยู่ภายใต้กฎหมายพิเศษที่ได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ
“ขอเตือนไปยังรัฐบาลว่าจงเดินกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง นั่นคือยุติการดำเนินการเพื่อให้ พ.ร.บ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้สู่การบังคับใช้ หากรัฐบาลยังไม่ยินยอมยุติการเดินหน้ากฎหมายฉบับนี้ คนภาคใต้และประชาชนทั่วประเทศจะใช้ความพยายามทั้งมวลยกระดับปฏิบัติการเพื่อปกป้องแผ่นดินภาคใต้ที่เป็นของประชาชน มิให้คณะรัฐบาลชุดนี้นำไปขายให้กับต่างชาติ”
แถลงการณ์ระบุ
