ผศ.สิตางศุ์ ชี้ ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่ “สั่งการสะเปะสะปะ” วิเคราะห์ ฝนมากไม่เท่าปัญหา “ระบบบริหารน้ำรวน” รากของปัญหาคือความล่าช้า ไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนตัวผู้บริหารกลางฤดูน้ำ ทำกลไกสะดุด บริหารน้ำผิดจุด แก้เกมไม่ทัน ทั้ง อยุธยา–หาดใหญ่
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 68 ผศ.สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ The Active วิเคราะห์สถานการณ์น้ำท่วมปี 2568 โดยชี้ว่า แม้ปีนี้ประเทศไทยเผชิญปริมาณฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ “รากของปัญหา” ไม่ได้อยู่ที่ฝน หากอยู่ที่ความล่าช้า ความไม่ต่อเนื่อง และความสับสนในการบริหารจัดการน้ำ ตั้งแต่ระดับนโยบายลงมาถึงกลไกปฏิบัติ ซึ่งปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดทั้งที่พระนครศรีอยุธยาและหาดใหญ่

ผู้นำองค์กรเปลี่ยนกลางฤดูน้ำ กลไกสะดุดทันที
ผศ.สิตางศุ์ ระบุว่า ก่อนเข้าสู่ฤดูฝน สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ภายใต้การนำของ เลขาธิการ สุรสีห์ กิตติมณฑล มีการประชุมเตรียมความพร้อมและกำหนดนโยบาย “พร่องน้ำจากเขื่อน” เพื่อรองรับฝนล่วงหน้า แม้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่ก็มีทิศทางชัดเจน
แต่เมื่อเลขาธิการเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ช่วงที่สถานการณ์เริ่มวิกฤต กลับเป็นช่วงรอยต่อที่ผู้นำใหม่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง คือ ดนุชา พิชยนันท์ ซึ่งมาจากตำแหน่ง เลขาธิการฯ สภาพัฒน์ ซึ่งตอนนี้ถูกย้ายกลับไปรับตำแหน่งเดิมแล้ว และมี รองเลขาธิการ สทนช. ไพฑูรย์ เก่งการช่าง รักษาการแทน อาจสั่งการได้ไม่เต็มที่ หรือ “บารมีไม่ถึง” ที่จะควบคุมหน่วยงานด้านน้ำกว่า 30 หน่วยในระบบราชการ์ที่อยู่ต่างสังกัด ขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนภายในหลายหน่วยงาน ทำให้ช่วงเวลาที่ควรต้องตัดสินใจเชิงระบบ กลับเต็มไปด้วยความลังเลและต้องใช้เวลาเรียนรู้งาน
“ผู้บริหารใหม่มาถึงตอนที่สถานการณ์หนักแล้ว อยุธยากำลังวิกฤต ในขณะที่ฝนยังไม่ยอมหยุดตามปกติของต้นเดือนพฤศจิกายน”
ข้อมูลพยากรณ์ฝนคลาดเคลื่อนต่อเนื่อง กระทบการตัดสินใจทั้งระบบ
นอกจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ผศ.สิตางศุ์ ชี้ว่า “ข้อมูล” คือปัจจัยสำคัญที่คลาดเคลื่อนมาตั้งแต่ต้นฤดู โดย กรมอุตุนิยมวิทยาประเมินฝนต่ำกว่าความเป็นจริงหลายครั้ง
- ตั้งแต่พายุ “วิภา” ที่คาดการณ์ต่ำกว่าจริงกว่า 100 มม. จนทำให้จังหวัดน่านเกิดความเสียหายหนัก
- ต่อเนื่องถึงช่วงพายุ “คัลแมกี” ที่ข้อมูลมาล่าช้าและไม่แม่นยำ
สิ่งนี้ส่งผลให้หน่วยงานด้านน้ำ “ไปเฝ้าผิดจุด” เช่น
- เดิมคาดว่าน้ำจะลงเขื่อนสิริกิติ์ซึ่งมีความเสี่ยงสูง จึงเน้นการบริหารที่นั่น
- แต่ฝนกลับตกหนักที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งเขื่อนภูมิพล ทำให้ต้องเริ่ม “พร่องน้ำแบบกระชั้นชิด” ทั้งที่ลุ่มภาคกลางมีน้ำเต็มอยู่แล้ว
“เขื่อนพร่องน้ำไม่ได้รวดเร็วแบบเปิดทิ้งทีเดียว ต้องค่อย ๆ ปรับในหลายวัน ถ้ารู้ช้าก็แก้ไม่ทัน”
ผศ.สิตางศุ์ อธิบาย
จากอยุธยาสู่หาดใหญ่ – ลานินญ่าทำให้ภาคใต้ต้องถูกจับตา แต่ไม่มีการประชุมประเมินสถานการณ์
ผศ.สิตางศุ์ ระบุว่า ปีนี้เป็นปีลานีญา จึงประเมินได้แต่แรกว่า “ภาคใต้จะท่วมแน่” แต่ปัญหา คือ สทนช. กลับไม่เรียกประชุมประเมินสถานการณ์น้ำฝนล่วงหน้า ทั้งที่มีสัญญาณชัดเจนจากช่วงพายุคัลแมกีแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น สทนช. กำลังอยู่ระหว่างเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรและตำแหน่งผู้บริหาร ขณะที่ข้อมูลน้ำฝน–น้ำท่าในพื้นที่ภาคใต้ก็มีไม่มากอยู่แล้ว ทำให้การบริหารยิ่งสะเปะสะปะ ขณะที่ เจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยาเองก็มีการโยกย้าย ทำให้การให้ข้อมูลไม่ชัดเจน
“แม้จะรู้ว่าใต้ต้องท่วม แต่ไม่มีใครเรียกประชุมประเมิน ไม่มีใครประเมินว่าจะมามากแค่ไหน”
หาดใหญ่ถูกน้ำหลากจาก “เส้นทางผิดปกติ” โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า
สำหรับเหตุการณ์ที่หาดใหญ่เกิดขึ้นเป็น สองระลอก
ระลอก 1 – น้ำหลากจากคอหงส์ (เส้นทางที่ไม่ใช่ทางน้ำท่วมปกติ)
น้ำไหลเข้าตัวเมืองเร็วกว่าที่คาด เนื่องจากมาจากเส้นทางที่แทบไม่เคยเป็นต้นน้ำของเหตุการณ์รุนแรงมาก่อน แต่ไม่มีการประเมินไว้ล่วงหน้า
ระลอก 2 – น้ำหลากจากต้นน้ำสะเดา (เส้นน้ำปกติที่ควรถูกคาดการณ์ได้)
หลังระลอกแรกจบลง ก็ยังไม่มีการประเมินสถานการณ์ใหม่ ทั้งที่มีฝนตกหนักทางต้นน้ำสะเดา ซึ่งเป็นเส้นทางปกติที่น้ำมักไหลเข้าหาดใหญ่ ผลคือระลอกที่สอง “หนักยิ่งกว่าเดิม” ทั้งปริมาณและความเร็ว
“รอบแรกหนักแล้ว แต่รอบสองคือหนักจริง เพราะฝนแตะ 300–400 มม. หลายพื้นที่”
ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไร้ซิงเกิลคอมมานด์
เมื่อถามถึงประเด็น “ซิงเกิลคอมมานด์” ที่ ผศ.สิตางศุ์ เคยกล่าวถึงหลายครั้งว่า หน้างานไม่สามารถหาศูนย์สั่งการกลางได้จริง ทั้งไม่ทราบว่าใครเป็นผู้บัญชาการหลัก โดยเฉพาะในสถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ ซึ่งรัฐบาลมีความพยายามจะใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ประชาชนในพื้นที่ยังขาดข้อมูล อพยพไม่ทัน และสับสนอย่างมาก
ผศ.สิตางศุ์ อธิบายว่า สถานการณ์ตอนนี้สับสน ภายหลังนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า ดูแลสถานการณ์ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ก็คิดว่าจะมีการตั้ง ‘ศูนย์บัญชาการ’ ที่ชัดเจน และน่าจะเริ่มเห็นภาพของ Single Command ในวันที่ 25 พ.ย. แต่พอช่วงบ่าย ครม. กลับมีมติให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาดูแลอีกที ทำให้ไม่รู้เลยว่าตกลงใครเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์กันแน่
เธอกล่าวอีกว่า ภาคสนามจึงกลับไปอยู่ในสภาวะ “สับสนเหมือนเดิม” เพราะหน่วยงานไม่ทราบว่าจะต้องรับคำสั่งจากใคร ขณะที่การปฏิบัติงานไม่ต่อเนื่อง “รัฐบาลตั้งแล้วตั้งอีก แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าซิงเกิลคอมมานด์ตัวจริงคือใคร”
ผศ.สิตางศุ์ ขยายความว่า ก่อนหน้านี้ทหาร โดยเฉพาะ ทัพเรือภาค 2 เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ทั้งงานด้านข้อมูล การรับแจ้งเหตุ การสื่อสาร และการกระจายความช่วยเหลือ แต่ด้วยขีดความสามารถที่จำกัด ไม่สามารถรองรับภาระได้ทั้งหมด จึงคาดว่าทุกส่วนจะถูกรวมเข้าสู่การสั่งการของ ร.อ. ธรรมนัส
“แต่พอมีคำสั่งตั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดขึ้นมาอีก ก็กลับมางงกันใหม่ าใครคือผู้บัญชาการสูงสุดกันแน่”
เมื่อถามถึงโครงสร้างการสั่งการเรื่อง “น้ำ” ซึ่งอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ผศ.สิตางศุ์ ตอบว่า “ตามกฎหมาย ฝั่งน้ำต้องมีศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจน้ำ และต้องสามารถเรียกหน่วยงานด้านน้ำทั้งหมด เช่น สทนช., กรมชลประทาน, กรมอุตุฯ มาประเมินสถานการณ์ร่วมกัน แต่ปีนี้ไม่มีการตั้งศูนย์ส่วนหน้า ไม่มีศูนย์บัญชาการน้ำ ทั้งที่กฎหมายกำหนดให้มีอย่างชัดเจน”
โดยผู้รับผิดชอบหลักในระดับประเทศควรเป็น รองนายกรัฐมนตรี โสภณ ซารัมย์ ซึ่งกำกับดูแลด้านน้ำ และเหนือขึ้นไปคือ “นายกรัฐมนตรี” แต่จนถึงขณะนี้ไม่ปรากฏบทบาทการทำงาน
“คำถามคือ แล้วตอนนี้ ‘ศูนย์บัญชาการฝั่งน้ำ’ อยู่ที่ไหน? และจะบูรณาการเข้ากับฝั่งมหาดไทยได้อย่างไร ถ้าท้ายที่สุดคนที่ควรเป็นแกนกลางกลับไม่ทำงาน?”
เสี่ยงซ้ำรอยหาดใหญ่ อีก 4 จังหวัดใต้อาจวิกฤตตาม
ผศ.สิตางศุ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการช่วยประชาชนที่ยังติดอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ทั้งที่ออกมาไม่ได้ และบางคนยังไม่อยากออก เราต้องให้เขาผ่านพ้นสถานการณ์นี้ก่อน แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ น้ำท่วมไม่ได้เกิดเฉพาะหาดใหญ่ สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กำลังจะเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน”
เธอย้ำว่า ประเทศต้องเรียนรู้จากกรณีหาดใหญ่ “การสั่งอพยพตอนที่น้ำสูงถึงคอ คือบทเรียนชัดมากว่ามันสายเกินไปแล้ว ดังนั้นขอให้ทั้ง 4 จังหวัดเตรียมพร้อมทันที อย่าให้เหตุการณ์ซ้ำรอยแบบหาดใหญ่ เวลาเหลือน้อยมากค่ะ”
