จับกระแส #SAVEหมอสุภัทร ตั้งคำถามธรรมาภิบาล สธ. ? เมื่อการทำเพื่อแก้ปัญหา นำมาซึ่งบทลงโทษ   

‘รศ.นพ.บวรศม’ ชวนมองกรณี ‘หมอสุภัทร’ ละเมิดกฎไม่ได้เท่ากับเจตนาร้ายเสมอไป ต้องแยกให้ชัดระหว่างทำเพื่อแก้ปัญหา กับ ทำเพื่อตนเอง ย้ำ ผู้บริหารที่ดี ควรสนับสนุนแนวทางสร้างสรรค์ ปรับปรุง กฎระเบียบทันสมัย แทนการลงโทษโดยไม่พิจารณาเจตนา และผลลัพธ์ ขณะที่ปฏิกิริยาภาคประชาชน นักการเมือง เชื่อ หมอสุภัทร ไม่ได้รับความเป็นธรรม เตรียมนัดคุย ขอคำตอบจากรัฐบาล – รมว.สาธารณสุข เร็ว ๆ นี้

จากกรณีที่ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จ.สงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ระบุว่า “กำลังจะถูกให้ออกจากราชการ” ภายหลังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย มีมติเมื่อวันศุกร์ที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา กรณีจัดซื้อชุดตรวจโควิด (ATK) ในภารกิจ แพทย์ชนบทบุกกรุง เมื่อปี 2564 โดยยืนยันว่า การดำเนินการทุกขั้นตอนเป็นไปตามระเบียบราชการและสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท พร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์จากหลายจังหวัดกับภารกิจ แพทย์ชนบทบุกกรุง ในช่วงการระบาดโควิด-19

ประเด็นนี้ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาจากเครือข่ายภาคประชาชน นักวิชาการ ที่ออกมาโพสต์แสดงความเห็น จนนำมาซึ่ง #SAVEหมอสุภัทร โดยหลายคนพยายามสะท้อนมุมมอง บทบาท ภารกิจ และการได้ทำงานร่วมกับ หมอสุภัทร 

ส่องปฏิกิริยา ภาคประชาชน-นักการเมือง ปมเด้ง ‘หมอสุภัทร’

สุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้อำนวยการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) เป็นคนหนึ่งที่โพสต์ถึงกรณีนี้ โดยบอกเล่า ถึงช่วงเวลาที่แพทย์ชนบทบุกกรุงในช่วงการระบาดโควิด จึงได้ขอลางาน 7 วัน เพื่อไปร่วมเป็นอาสาสมัคร ย้ำว่า สถานการณ์วิกฤตตอนนั้นรู้สึกว่า รัฐเองไม่ได้ทำอะไรที่ช่วยเหลือประชาชน ประชาชนจึงต้องช่วยกันเองจึงไปเป็นอาสาสมัครร่วมเป็นทีมแพทย์ชนบท

“มีการประชุมเตรียมให้ความรู้และวางระบบก่อนการทำงาน แต่ในช่วงการทำงานอาสาสมัครนั้น เราก็ยังจำได้ว่าความล่าช้ากับการที่มีผู้คนมายืนรอต่อแถวยาวนั้นคือระบบการลงข้อมูลแต่ก็ได้ทราบจากหมอสุภัทร ว่า มันต้องเบิกงบประมาณต้องกรอกในระบบของหน่วยงาน ดังนั้นพวกเราก็ต้องช่วยกัน การทำงานตั้งแต่เช้า จนค่ำในทุกวัน แม้เหน็ดเหนื่อยแต่การเห็นผู้คนมาตรวจ คัดกรองและได้ยารักษาเราก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ช่วยเหลือได้เห็นภาพชัดเจนในช่วงนั้น”

สุภาภรณ์ มาลัยลอย

ผู้อำนวยการ EnLAW ยืนยันพร้อมเป็นกำลังใจให้หมอสุภัทร และทีมแพทย์ต่างจังหวัดอีกหลายทีม หลายคนที่เห็นและได้ร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ ภาพนั้นยังอยู่ในความทรงจำ

ภารนี สวัสดิรักษ์ นักวิชาการอิสระด้านผังเมือง โพสต์ระบุ หมอสุภัทร ไม่ใช่แค่รักษาโรค ยังเป็นหมอที่ “รักษาโลก” ด้วย โดยได้สละเวลาในวันหยุด มาช่วยเป็นพลัง เป็นแรงคิด แนะนำการทำงานของนักศึกษาสถาปัตย์ ผังเมืองที่มามีส่วนร่วมทำข้อมูล และผังภูมินิเวศจะนะ กับชุมชนที่จะนะทุกงานเพื่อชุมชน เพื่อชาวบ้าน เพื่อสิ่งแวดล้อม ย้ำว่า นพ.สุภัทร เป็นพลังสำคัญเสมอ 

สมบูรณ์ คำแหง ประธาน กป.อพช. ในฐานะเครือข่ายประชาชนภาคใต้ ระบุว่า ได้หารือกันแบบเร่งด่วนที่จะดำเนินการดังนี้ คือ เตรียมนัดหมายองค์กร ภาคีเครือข่าย และภาคประชาสังคมทั่วประเทศ ที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพื่อกำหนดแนวทางการเคลื่อนไหวเร็ว ๆ นี้ โดยย้ำว่า เรื่องนี้ต้องเป็นวาระของภาคประชาชน พร้อมจะขอพบและคุยกับรัฐบาลแน่นอน 

เช่นเดียวกับ กัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อพรรคเป็นธรรม โพสต์ย้ำว่า ถ้าข้าราชการอย่างหมอสุภัทร ถูกให้ออกจากราชการ ก็คงต้องตั้งคำถามดัง ๆ ถึงระบบราชการ พร้อมทั้งเล่าย้อนถึงการทำงานร่วมกับหมอสุภัทร ที่ทำให้เขาทึ่ง และนับถือใจหมอสุภัทรมาตลอด เพราะไม่คิดว่าจะมีข้าราชการ โดยเฉพาะแพทย์ ที่จะทุ่มเททำงานเพื่อสังคมมายาวนาน ตั้งแต่การทำงานร่วมกับพี่น้องจะนะ ในยุคโรงไฟฟ้าจะนะ

“ทุกครั้งที่ผมลงพื้นที่ อ.จะนะ ก็จะแวะเวียนไปพูดคุยกันเสมอ ตั้งแต่ที่พี่หมอจุ๊กยังอยู่ที่โรงพยาบาลจะนะ จนกระทั่งย้ายไป รพ.สะบ้าย้อย ล่าสุดผมก็ได้พบกับพี่หมอจุ๊ก ในการไปรับฟังปัญหาเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่น เรื่องเงิน 20 ล้านบาท”

กัณวีร์ สืบแสง

กัณวีร์ ระบุอีกว่า ไม่เพียงแต่งานที่ทำกับภาคประชาชน งานในฐานะแพทย์ ในฐานะแพทย์ชนบท ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาล คงไม่มีใครปฏิเสธว่า หมอสุภัทร ก็ทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะข้าราชการที่ดีคนหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงโควิด อย่างที่หมอสุภัทร ชี้แจงถึงการถูกกล่าวหาและตรวจสอบกรณีการจัดซื้อ ATK ในโครงการแพทย์ชนบทบุกกรุง เพื่อไปช่วยแก้ปัญหาโควิดในกรุงเทพมหานคร

“หากคนอย่างพี่หมอจุ๊ก ถูกให้ออกจากราชการ เราคงต้องตั้งคำถามดัง ๆ ถึงระบบความเป็นธรรมและความยุติธรรม ในระบบราชการไทย อย่าว่าแต่เพียงจะคุ้มครองข้าราชการไม่ได้แล้ว ยังหมายถึงการไม่สามารถคุ้มครองความเป็นธรรมและความยุติธรรมให้ประชาชนได้”

กัณวีร์ สืบแสง

กัณวีร์ ยังย้ำด้วยว่า จะขอหารือประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านไปยัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถึงกรณีที่เกิดขึ้นด้วย

ละเมิดกฎ ไม่เท่ากับ เจตนาร้าย

ขณะที่ รศ.นพ.บวรศม ลีระพันธ์ อาจารย์และนักวิจัยระบบสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์กับ The Active โดยระบุถึง แนวคิดสำคัญในการทำงานภายใต้กฎระเบียบที่จำกัด โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต เช่น โควิด-19 หรือสถานการณ์ชายแดน ย้ำว่า การละเมิดกฎไม่ได้เท่ากับเจตนาร้ายเสมอไป และต้องแยกให้ชัดระหว่างผู้ที่ทำเพื่อแก้ปัญหา กับผู้ที่ทำเพื่อตนเอง

“คำถามหลักคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ละเมิดกฎระเบียบ เป็นเพราะกฎนั้นทำงานไม่ได้ หรือเพราะเจตนาไม่ดี ? หัวใจจึงอยู่ที่การแยกเจตนาจากผลลัพธ์” 

รศ.นพ.บวรศม ลีระพันธ์

ย้ำทำงานแบบเดิม ไม่ช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อน

รศ.นพ.บวรศม ยังอธิบายว่า การนำนวัตกรรมมาใช้ในระบบราชการไทยมักติดอุปสรรค เพราะนวัตกรรมมักเปลี่ยนกฎเดิม ขณะเดียวกัน การทำงานแบบเดิมตามกฎไม่สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ โดยยกตัวอย่างช่วงโควิด โรงพยาบาลชุมชนที่เข้ามาช่วยกรุงเทพฯ ได้ค่าตรวจจำนวนมาก แม้ไม่ได้เข้ากระเป๋าส่วนตัว แต่ประเด็นความเหมาะสม และการละเมิดกฎต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน

“ต้องดูทั้งเจตนาและผลลัพธ์ ว่าทำเพื่อแก้ปัญหาหรือเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และผลลัพธ์เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมจริงหรือไม่ ซึ่งสามารถถกแถลงได้อย่างโปร่งใส”

รศ.นพ.บวรศม ลีระพันธ์

แนะปรับปรุงกฎ กติกา ดีกว่า ‘ลงโทษ’ โดยไม่พิจารณาเจตนา-ผลลัพธ์

รศ.นพ.บวรศม ยังแนะนำทฤษฎี Positive Deviance หรือ “ทฤษฎีการเบี่ยงเบนเชิงบวก” เพื่อช่วยแยกแยะว่า การละเมิดกฎเกิดจากความพยายามหาวิธีแก้ปัญหาใหม่ หรือเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ผู้บริหารที่ดีควรสนับสนุนแนวทางสร้างสรรค์ และปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัย แทนการลงโทษโดยไม่พิจารณาเจตนาและผลลัพธ์

“เรื่องนี้สะท้อนปัญหาของระบบราชการไทยว่า วิธีคิดเดิมและการคาดหวังผลลัพธ์ใหม่จากการทำงานแบบเดิม ทำให้เกิดข้อจำกัดในการสร้างนวัตกรรม และเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานอาจท้อแท้”

รศ.นพ.บวรศม ลีระพันธ์

รศ.นพ.บวรศม สรุปว่า การสร้างระบบสุขภาพที่ยืดหยุ่นและตอบสนองต่อวิกฤตต้องอาศัยการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและการปรับปรุงกฎระเบียบ โดยไม่ยึดติดกับแนวทางแบบฮีโร่คนเดียว แต่เป็นเรื่องของการกระจายแนวคิดใหม่ ๆ ให้ทั้งองค์กรและสังคมเข้าใจ

นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ในภารกิจแพทย์ชนบทบุกกรุง ช่วงการระบาดโควิด-19

กังวลผลกระทบต่อนวัตกรรมสาธารณสุข

เช่นเดียวกับ นิมิตร์ เทียนอุดม ตัวแทนภาคประชาสังคม ให้ความเห็นว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาด้านธรรมาภิบาลของผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุข พร้อมเรียกร้องความเป็นธรรมต่อบุคลากรที่ทำงานด้วยเจตนาดีในสถานการณ์วิกฤต

ย้ำว่า การดำเนินงานของหมอสุภัทร ในการจัดหาและแจกจ่ายชุดตรวจ ATK ขณะเกิดการระบาดของโควิด-19 เป็นไปตามเจตนาดี และมีการจัดทำตามขั้นตอนที่เหมาะสมแล้ว 

“ผมคิดว่าผู้บริหารระดับสูงต้องมีธรรมาภิบาลมากกว่านี้ ต้องไม่ใช้เหตุขัดแย้งเรื่องอื่นมาเป็นเหตุรังแกกัน ในช่วงสถานการณ์โควิด การจัดหาชุดตรวจเป็นเรื่องจำเป็นและต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของชุมชน ระเบียบราชการควรเอื้อและสนับสนุนการทำงาน ไม่ใช่มาเป็นอุปสรรค” 

นิมิตร์ เทียนอุดม

นิมิตร์ ยังมองทางออกกรณีนี้ โดยเสนอว่า ควรพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา และให้ความเป็นธรรมแก่บุคลากร ไม่ใช้เรื่องความขัดแย้งหรืออคติอื่นเข้ามาปน 

“รัฐมนตรีสาธารณสุขควรตรวจสอบรายละเอียด และรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพไว้ เพราะหมอสุภัทร เป็นบุคลากรสำคัญของระบบสาธารณสุข”

นิมิตร์ เทียนอุดม

นอกจากนี้ นิมิตร์ ยังกังวลถึงความเสี่ยงต่ออนาคตของนวัตกรรมด้านสาธารณสุข หากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำ ผู้ปฏิบัติงานอาจไม่กล้าดำเนินการในสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งต่อไป 

“ผู้บริหารต้องสนับสนุน ไม่ใช่มาเล่นกันแบบนี้ เพราะถ้าแพทย์ชนบทไม่ออกมาช่วย จะเกิดความเสียหายต่อผู้ป่วยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ”

นิมิตร์ เทียนอุดม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ” ข้าราชการที่ไม่สยบยอมกับอำนาจ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active