หมอสุภัทร แจงปม “ถูกให้ออกจากราชการ” จัดซื้อ ATK ช่วงโควิด

หลังถูกสอบวินัยร้ายแรง จากปฏิบัติการ “แพทย์ชนบทบุกกรุง” ย้ำจัดซื้อ ATK เพราะรัฐยังไม่จัดหาให้ ราคาต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่มีความเสียหายต่อราชการ ชี้ ปัญหาเกิดจากความขัดแย้งกับผู้บริหารกระทรวงฯ เตรียมสู้ต่อในคณะกรรมการชุดใหญ่ พร้อมเดินหน้าเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ 

ตามที่นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และประธานชมรมแพทย์ชนบท โพสต์เฟซบุ๊กหลังถูกคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงมีมติ “ให้ออกจากราชการ” ว่า กรณีดังกล่าวมีที่มาจากการปฏิบัติหน้าที่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาด โดยเฉพาะการจัดซื้อชุดตรวจ ATK ในภารกิจ “แพทย์ชนบทบุกกรุง” เมื่อกลางปี 2564

วันนี้ (16 ส.ค. 68) นพ.สุภัทร ให้สัมภาษณ์ The Active เพิ่มเติมว่า ตนถูกสั่งย้ายจากโรงพยาบาลจะนะเมื่อเดือนมกราคม 2566 และต่อมา กระทรวงสาธารณสุข ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภายใน ตรวจสอบการทำงานในโรงพยาบาลจะนะ นาน 5 วัน ก่อนนำไปสู่การตั้งกรรมการสอบวินัยรวม 10 เรื่อง โดยส่วนใหญ่ยุติไป มีเพียงกรณีจัดซื้อ ATK ที่ยังคงถูกชี้มูลความผิด

“จริง ๆ แล้วผมถูกสอบ 2 เรื่อง คือ เรื่องนำทีมแพทย์และรถพยาบาลเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งคณะกรรมการชี้ชัดว่าไม่ผิดระเบียบราชการ และอีกเรื่องคือการจัดซื้อ ATK ซึ่งกลายเป็นประเด็นหลักที่ทำให้ผมถูกชี้ผิดวินัย” นพ.สุภัทร กล่าว

เบื้องหลังการจัดซื้อ ATK เพราะรัฐไม่จัดหาให้

นพ.สุภัทร อธิบายว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหญ่ กรุงเทพฯ มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก แต่กระทรวงสาธารณสุขยังเน้นการตรวจ RT-PCR และยังไม่มีการจัดหา ATK ให้โรงพยาบาลในภูมิภาค จึงทำให้ชมรมแพทย์ชนบทต้องจัดหาชุดตรวจด้วยตนเอง เพื่อใช้ในการลงพื้นที่ตรวจคัดกรองประชาชนในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ โรงพยาบาลชุมชนแต่ละแห่งมีอำนาจจัดซื้อไม่เกินครั้งละ 2 ล้านบาท ทำให้ต้องแบ่งหน้าที่กันซื้อ โดยมีหลายโรงพยาบาลเข้าร่วม ทั้งโรงพยาบาลจะนะที่ นพ.สุภัทร ดูแล ก็ได้จัดซื้อรวม 3 ครั้ง เพื่อรองรับปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่ใช้เวลาถึง 7 วัน และมีทีมแพทย์อาสามากกว่า 40 ทีม

“เราไม่ได้แบ่งซื้อแบ่งจ้างตามที่ถูกกล่าวหา แต่เป็นการจัดซื้อฉุกเฉินตามความจำเป็น ราคาที่ซื้อเฉลี่ย 230 บาทต่อชุด ต่ำกว่าราคาที่ สปสช. กำหนดเบิกที่ 450 บาทด้วยซ้ำ และเชื่อว่าถูกกว่าที่กระทรวงจัดซื้อในภายหลังด้วยซ้ำ” นพ.สุภัทร์ กล่าวและย้ำว่า การดำเนินการครั้งนั้นไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อราชการ 

สำหรับการสอบสวนครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขแต่งตั้ง นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ซึ่งล่าสุดได้มีมติให้ออกจากราชการ โดย นพ.สุภัทร จะสิ้นสุดการทำงานในเดือนกันยายนนี้ พร้อมกับ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่เกษียณอายุราชการ

ชี้ ปมถูกสอบวินัย ไม่ใช่เรื่องทุจริตหรือผิดระเบียบ แต่เกิดจากความขัดแย้งกับผู้บริหารกระทรวง

นพ.สุภัทร ย้ำว่า การตัดสินใจจัดหา ATK ขณะนั้นเป็นไปเพื่อป้องกันการระบาดที่รุนแรงในกรุงเทพฯ ซึ่งหากปล่อยไว้จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ต่างจังหวัดหนักยิ่งกว่าเดิม พร้อมระบุว่า รู้สึกเสียใจที่การทำงานเชิงอาสาเพื่อประชาชนกลับถูกตีความเป็นความผิดวินัยร้ายแรง

“ผมยืนยันชัดเจนครับว่าไม่ได้ทำผิดระเบียบ ไม่ได้ทุจริต แต่เป็นเรื่องของความไม่ลงรอยระหว่างชมรมแพทย์ชนบทกับท่านปลัดกระทรวงฯ” นพ.สุภัทร กล่าว

เขาอธิบายว่า ชมรมแพทย์ชนบทมีบทบาทในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายและการทำงานของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการคัดค้านการจัดซื้อชุดตรวจ ATK จากจีน หรือการทักท้วงเรื่องวัคซีนที่จัดหามาไม่เพียงพอ รวมถึงการเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในภาคใต้ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่สะสมความขัดแย้งกับผู้มีอำนาจ

“ในมุมของเรามันคือการทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อประโยชน์ของประชาชน แต่ในมุมของผู้บริหารอาจถูกมองว่าเป็นการสร้างปัญหา” นพ.สุภัทรกล่าว พร้อมเสริมว่าการถูกโยกย้ายจากโรงพยาบาลจะนะก็เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น 

กระบวนการต่อจากนี้ ต้องรอ “คณะกรรมการชุดใหญ่” ตัดสิน

เมื่อถูกถามถึงกระบวนการหลังจากนี้ นพ.สุภัทร ระบุว่า มติของคณะกรรมการสอบสวนจะถูกส่งต่อไปยัง คณะกรรมการชุดใหญ่อีกชุดหนึ่งพิจารณา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน และ ปลัดกระทรวงฯ เป็นรอง

“ชุดใหญ่นี้จะเป็นผู้ตัดสินว่าจะเห็นชอบตามที่เสนอมา หรือจะให้ทบทวน ตรวจสอบเพิ่มเติม หรือแม้แต่ยกเลิกมติเดิม ซึ่งโดยหลักการแล้ว เราจะมีสิทธิ์เข้าไปชี้แจงได้ก็ต่อเมื่อถูกเรียกเท่านั้น” นพ.สุภัทร กล่าว

นพ.สุภัทร กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาได้ต่อสู้ภายในระบบด้วยการชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร และส่งข้อมูลหลักฐานไปยังคณะกรรมการสอบสวน แต่ไม่เคยได้รับโอกาสเข้าชี้แจงด้วยวาจาเลย ซึ่งถือว่าเป็นข้อจำกัดสำคัญของกระบวนการนี้

สำหรับแนวทางการต่อสู้หลังจากนี้ นพ.สุภัทร ยืนยันว่าจะเดินหน้าเปิดเผยข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ โดยสิ่งที่ควรเกิดขึ้นคือเอาหลักฐานทั้งหมดออกมาให้สังคมเห็น เปิดให้ตรวจสอบอย่างโปร่งใส แล้วค่อยตัดสินว่าสิ่งที่เราทำผิดระเบียบหรือทุจริตจริงหรือไม่ การปล่อยให้กรรมการไม่กี่คนชี้ขาดเพียงลำพังไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ” ข้าราชการที่ไม่สยบยอมกับอำนาจ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active