เส้นทางความเหลื่อมล้ำ: เกิด-เรียน-ทำงาน-เจ็บ-แก่-ตาย

“เกิด – เรียน – ทำงาน – เจ็บ – แก่ – ตาย” คือจักรวาลความเหลื่อมล้ำที่ The Active สะท้อนผ่านงานนิทรรศการเท่าหรือเทียม: เส้นทางความเหลื่อมล้ำ คนจนเมือง ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 ก.ค. – 3 ส.ค. 68 มีผู้เข้าชมมากกว่าหมื่นคน

ทุกพื้นที่ภายในงานไม่เพียงแต่มอบประสบการณ์เรื่องราวของผู้คนในสารคดี “คนจนเมือง” ทั้ง 5 ซีซัน แต่ยังสะท้อนว่าความทุกข์ยากเหล่านี้ถูกพิสูจน์ด้วย ‘ข้อมูล’ ว่าเมื่อตกอยู่ในความจนแล้วยากที่จะหลุดพ้นไปได้ เพราะแต่ละช่วงชีวิตมีผลโยงใยกัน

เกิด…ที่เลือกไม่ได้: เลี้ยงเด็ก 1 คน ใช้เงิน 3 ล้าน

อัตราการเกิดของคนไทยลดลง สวนทางกับผู้สูงอายุที่เพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่อง จนรัฐต้องออกมาส่งเสริมให้คนมีลูก แต่เพียงแค่ออกปากขอคงไม่อาจจูงใจได้ เมื่อเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเลือกมีลูกน้อยลง คนหนุ่มสาวหลายเสียงบอกว่าแค่เลี้ยงตัวเองให้รอดยังเหนื่อย ไหนจะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่และสร้างตัวไปพร้อมกัน หากจะมีลูกก็คงไม่ใช่แค่ “ตายก็ฝัง ยังก็เลี้ยง” แต่อยากเลี้ยงดูให้มีคุณภาพด้วย

ข้อมูลบัญชีกระแสการโอนประชาชาติของสภาพัฒน์ฯ ยิ่งตอกย้ำว่าการเลี้ยงลูกต้องใช้เงินมากแค่ไหน

เมื่อคำนวณรายจ่ายเพื่อการบริโภคโดยไม่คิดอัตราเงินเฟ้อ จากบัญชีกระแสการโอนประชาชาติ พ.ศ. 2564* ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 21 ปี พบว่ามีค่าใช้จ่ายรวมถึง 3 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 2.6 แสนบาท แบ่งเป็นส่วนที่ภาครัฐสนับสนุน 50.4% และเป็นส่วนที่พ่อแม่ต้องจ่ายเอง 49.6% ลูกยิ่งโตก็ยิ่งมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของพ่อแม่

*หมายเหตุ อัปเดตข้อมูลเพิ่มเติมจากงานนิทรรศการเท่าหรือเทียม

ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดเป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการดำรงชีพ เช่น ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า อาหาร ที่รวมเป็น 1.79 ล้านบาท ในส่วนนี้พ่อแม่ต้องแบกภาระหนักถึง 1.3 ล้านบาท เพราะภาครัฐมีส่วนในการสนับสนุนน้อยมากเพียง 4.8 แสนบาทเท่านั้น

รองลงมาคือค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา 1.06 ล้านบาท เป็นส่วนที่ภาครัฐจ่ายมากกว่าพ่อแม่จากนโยบายอุดหนุนการศึกษา คิดเป็น 9.3 แสนบาท พ่อแม่ 1.3 แสนบาท และส่วนสุดท้ายคือค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ 1.6 แสนบาท ที่ภาครัฐสนับสนุน 9.9 แสนบาท พ่อแม่จ่ายเอง 6 แสนบาท ซึ่ง 3 ขวบแรกจะจ่ายเยอะที่สุด

เมื่อการมีลูกต้องใช้เงินเยอะ หลายครอบครัวต้องกลายเป็นหนี้หรือมีหนี้มากขึ้น การสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2566 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า นอกจากรายได้และค่าใช้จ่ายที่มากกว่าแล้ว ครอบครัวที่มีเด็กอายุ 0 – 17 ปี ยังมีหนี้มากกว่าครอบครัวที่ไม่มีเด็ก 2 เท่า รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ยังต่ำกว่า

อย่างไรก็ตาม การมีลูกไม่ใช่สิทธิพิเศษสำหรับคนรวย แม้แต่คำว่า “มีลูกเมื่อพร้อม” ต้องไม่หลงลืมว่าความพร้อมที่ว่านี้ไม่ควรถูกผลักให้เป็นเรื่องปัจเจกเพียงอย่างเดียว แต่การออกแบบสิทธิสวัสดิการที่เหมาะสมจะช่วยให้ประชาชนทุกชนชั้นเข้าถึงโอกาสที่จะสร้างครอบครัวให้มีคุณภาพได้

หลายกรณีในสารคดีคนจนเมืองบอกเล่าปัญหานี้ เช่น “มุก” แม่เลี้ยงเดี่ยวที่จำเป็นต้องให้ลูก 2 คนอยู่กันตามลำพังที่บ้านระหว่างที่ออกไปวิ่งงานไรเดอร์ เพราะการฝากศูนย์รับเลี้ยงต้องใช้เงิน หรือ “อาชุม” ที่ต้องแบกลูกเล็กใส่หลัง เดินขายของวันละหลายสิบกิโลเมตรทั่วเมืองเชียงใหม่ หากศูนย์รับเลี้ยงเด็กสามารถจัดเป็นสิทธิสวัสดิการที่เข้าถึงได้ ก็จะเปิดโอกาสทางรายได้ของพ่อแม่มากขึ้น โดยเด็กได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย

ห้องเรียน…ไม่ได้เรียน: เด็กเกือบล้านคนหลุดจากระบบการศึกษา

ปัญหาที่เด็ก ๆ ในสารคดีคนจนเมืองทั้ง 27 ตอนต้องประสบไม่ต่างกันคือความเสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา หลายคนต้องหยุดความฝัน ออกจากโรงเรียนไปทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัว หลายคนคือพ่อแม่ที่เคยหลุดจากระบบการศึกษาและพ่ายแพ้ต่อวังวนความจน หลายคนที่หมิ่นเหม่ ต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้เรียนต่อ

“มันบอกว่าจะเรียน ยายบอกว่าอย่าเรียนเลยน้องไอซ์ ยายไม่มีปัญญาให้เรียน”

ยายหนูลอบ คนจนเมืองซีซัน 3 ตอน คลื่นชีวิตโนรา

“ถ้าเป็นไปได้หนูก็อยากเรียนสูง ๆ จะได้ทำงานที่สบายกว่านี้ ไม่ต้องมาอยู่แบบนี้”

ดา คนจนเมืองซีซัน 3 ตอน สวรรค์กรรมกร

“ตอนเราเด็ก ๆ ที่บ้านไม่มีเงิน พ่อแม่ก็ไม่อยากให้เรียนด้วย ต้องออกจากโรงเรียนตอนอายุ 16 ปี แล้วก็แต่งงาน ถักกำไล ปลูกผักขายบนดอย ตอนนี้เหลือลูกสาวคนเล็กเรียนอยู่ ก็จะสู้ค่ะอยากให้เขาจบมามีงานทำ เลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องลำบากเหมือนเรา”

นาฮูมา คนจนเมืองซีซัน 5 ตอน ลาหู่ลงดอย

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยว่า ปี 2567 มีเด็กวัยเรียนอายุ 3 – 18 ปี 982,304 คน ต้องหลุดจากระบบการศึกษา มากที่สุดในช่วงวัยมัธยมปลายและอนุบาล ขณะที่ช่วงวัยมัธยมต้นหลุดจากระบบมากขึ้น

งานวิจัยเชิงสํารวจเพื่อศึกษาข้อมูลของเด็กนอกระบบการศึกษาของ กสศ. พบว่า ความยากจนบีบคั้นให้เด็กต้องออกโรงเรียนมากที่สุด คิดเป็น 46.7% รองลงมาคือ มีปัญหาครอบครัว 16.14% ออกกลางคัน/ถูกผลักออก 12.03% ไม่ได้รับสวัสดิการด้านการศึกษา 8.88% ปัญหาสุขภาพ 5.91% อยู่ในกระบวนการยุติธรรม 4.93% และได้รับความรุนแรง 3.63%

การสำรวจยังพบว่าผู้ปกครองเกือบครึ่งรับจ้างรายวันหรือไม่มีงานประจำ จึงไม่มีความมั่นคงทางรายได้ นำไปสู่การหลุดจากระบบการศึกษาของลูกหลาน ซึ่งเด็กเหล่านี้กำลังเผชิญปัญหาที่โยงใยกันมากกว่า 1 ปัญหา ทำให้การแก้ไขไม่อาจแก้เพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วจะพ้นไปได้

ภายหลังการออกอากาศสารคดี “ปูแป้น” และ “ข้าว” ได้รับการเสนอทุนการศึกษา แต่ความจำเป็นในการหาเลี้ยงดูแลครอบครัว บ้างมีผู้ป่วย เด็ก คนพิการ รอพึ่งพิงอยู่ ทำให้ทั้ง 2 คนจำยอมทิ้งโอกาสครั้งนี้แล้วไปหางานทำ เพื่อเลือก “สร้างเงิน” มากกว่า “เสียเงิน” เพราะการศึกษาไม่มีแต่ค่าเทอม แต่ยังมีค่าเดินทาง อาหาร ชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน ค่ากิจกรรม และอื่น ๆ อีก

งานดี ๆ ทำไมไกลบ้าน: กว่า 2.6 แสนคนต่อปี ต้องจากบ้านเพื่อโอกาสในการทำงาน

โอกาสที่จะมีชีวิตดี มีงานทำ อาจไม่ใกล้พอที่จะเอื้อมมือไขว่คว้า หลายคนต้องจากบ้านไปไกลเพื่อเสี่ยงโชคแสวงหาโอกาสที่ดีกว่า แม้ไม่รู้ว่าจะมีประตูบานใดเปิดให้หรือไม่

ข้อมูลจากรายงานการย้ายถิ่นของประชากร สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าในช่วงปี 2560 – 2567 มีผู้คนกว่า 2.6 แสนคนต่อปี ต้องย้ายถิ่นฐานด้วยเหตุผลด้านการงาน โดยเฉพาะการหางานทำ สะท้อนว่าถิ่นที่อยู่เดิมอาจไม่มีงานที่เข้าถึงได้ แต่ส่วนใหญ่ยังหวังว่าการย้ายถิ่นอีกครั้งจะได้กลับภูมิลำเนา

แรงงานย้ายถิ่นเป็นฟันเฟือนเศรษฐกิจในเมืองใหญ่ ผู้ย้ายถิ่นส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาววัย 20 – 29 ปี ได้เรียนไม่เกินชั้นมัธยมศึกษา ทำให้งานที่เปิดรับจึงเป็นงานที่ใช้ทักษะปานกลางและต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคการผลิตและการค้า

แม้ว่าการย้ายถิ่นจะเปิดโอกาสทางอาชีพและรายได้ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มตามมา บ้านต้องเช่า ข้าวต้องซื้อ กระทรวงแรงงานสำรวจค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของแรงงานทั่วไปแรกเข้าทำงานในอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ปี 2568 พบว่า 1 คนมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนเป็นค่าอาหาร 3,899 บาท ค่าเช่าที่อยู่อาศัย 2,204 บาท ค่าเดินทาง/พาหนะ 1,056 บาท ค่ารักษาพยาบาล 443 บาท 

ผู้คนในสารคดีคนจนเมืองไม่น้อยที่ต้องจากบ้าน บ้างย้ายถิ่นเพื่อปักหลัก บ้างมาเพียงชั่วคราวหวังกอบรายได้ แต่สุดท้ายแล้วหลายคนกลับต้องผิดหวัง

1,784 กม. คือระยะทางที่ “นาฮูมา” ต้องลงจากดอยอ่างขางมาขายเครื่องประดับของฝากให้นักท่องเที่ยวในกรุงเทพ เมื่อกำไร 40,000 บาทจากการทำไร่สตรอว์เบอร์รีไม่พอเลี้ยง 4 ชีวิตใน 8 เดือน

1,438 กม. คือระยะทางที่ “เบิร์ด” จากเชียงคานบ้านเกิดมาขายลอตเตอรี่ใน จ.ภูเก็ต หลังหักลบต้นทุนต่อหนึ่งงวดจะเหลือเงินมากกว่าหมื่นบาท ถ้าหากโชคดีขายหมดแผง

664 กม. คือระยะทางที่ “แอนนา” หอบความฝันจาก จ.เลย มาถึงเมืองพัทยา จับพลัดจับผลูกลายเป็นสาวบาร์ ตลอด 16 ปีบนเส้นทางนี้ ยังไม่อาจใช้หนี้ให้ครอบครัวสำเร็จ

เจ็บที…ไม่มีหนี้ ก็หมดตัว: ยังมีคนป่วยแต่ไม่ได้รักษาเพราะไม่มีเงิน

การรักษาพยาบาลและการมีสุขภาพที่ดี สร้างภาระค่าใช้จ่ายให้คนไทยเฉลี่ยปีละ 13,935 บาท (คำนวณจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคด้านสุขภาพโดยไม่คิดอัตราเงินเฟ้อ จากบัญชีกระแสการโอนประชาชาติ พ.ศ. 2564) ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายแฝงเกิดขึ้นเมื่อต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าเวชภัณฑ์ที่เบิกไม่ได้ รวมไปถึงค่าเสียโอกาสและขาดรายได้ของทั้งผู้ป่วยและญาติ จนอาจต้องกู้ยืมเงินเป็นค่าใช้จ่าย

อย่างเช่นแม่ของ “ปูแป้น” เจ็บป่วยเรื้อรังมากกว่าสิบโรค เป็นอัมพฤกษ์เคลื่อนไหวร่างกายลำบาก แม้ว่าแม่ปูแป้นจะใช้สิทธิบัตรทองที่มีอยู่ แต่ความเจ็บป่วยก็ยังเป็นภาระหนัก จนทำให้ปูแป้นหลุดจากระบบการศึกษา 

สารคดีพาเราไปเห็นข้าวของเครื่องใช้และเวชภัณฑ์ที่ไม่รวมในสิทธิ แม้กระทั่งเก้าอี้นั่งถ่ายสำหรับผู้ป่วยยังต้องดัดแปลงจากเก้าอี้พลาสติกแตกร้าวตัวหนึ่ง หรือการนำเข็มฉีดอินซูลินที่ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำ ทนเจ็บปวดจากปลายเข็มที่ทื่อลง การไปโรงพยาบาลแต่ละทีต้องเตรียมเงินค่าแท็กซี่หลายร้อยบาท เดือนหนึ่งต้องไปอีกหลายครั้ง บางเดือนถึง 7 – 8 ครั้ง

การสำรวจอนามัยและสวัสดิการของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2555 – 2565) พบว่า มีผู้เจ็บป่วยเฉลี่ย 3.1% ที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาเพราะไม่มีเงินจ่าย และอีก 2.7% ไม่มีเงินค่าเดินทางไปรักษา คนเหล่านี้จึงทำได้เพียงบรรเทาความเจ็บป่วยด้วยตนเองเท่านั้น ทำให้มีความเสี่ยงที่อาการจะทรุดหนัก

และถึงแม้ว่าจะได้รับการรักษา แต่ยังมีคนที่สิทธิสวัสดิการไม่ครอบคลุมจึงไม่ได้ใช้สิทธิ 2.8% ขณะที่ค่ารักษาพยาบาลก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยผู้ป่วย 30-40% ต้องเสียค่าบริการเพิ่มเติม

นอกจากปัญหาการเข้าถึงการรักษาพยาบาลแล้ว อีกด้านหนึ่งคนจนบางคนต้องยอมที่จะไม่รักษา เพื่อให้ยังมีโอกาสหารายได้ต่อไป

“เราปวดขา พอไปหาหมอ หมอบอกให้ตัดขา แต่เราเลือกที่จะไม่ตัด ถ้าเราตัดจะเอาเงินที่ไหนใช้”

สมปอง คนจนเมืองซีซัน 5 ตอนบ้านหลังคาดาว

แก่ก่อนรวย: ผู้สูงอายุอย่างน้อย 20% มีเงินใช้ไม่ถึงวันละ 100 บาท

ปัจจุบันประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ คือมีประชากรสูงอายุมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ในปี 2567 มีผู้สูงอายุกว่า 14 ล้านคน สำหรับคนทั่วไปนี่คือวัยที่ได้เกษียณ หยุดทำงานพักผ่อนอยู่บ้าน ทว่าสำหรับคนจนแล้วไม่มีคำว่าเกษียณ ยังคงต้องดิ้นรนหาโอกาสที่กำลังนับถอยหลัง

จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ผู้สูงอายุครึ่งหนึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย โดย 31.6% มีรายได้ต่อปี 30,000 – 59,999 บาท เฉลี่ยวันละ 83 – 167 บาท และอีก 19.9% มีรายได้ต่อปีน้อยกว่า 30,000 บาท เฉลี่ยน้อยกว่าวันละ 83 บาท

และดูเหมือนว่าคนไทยยังมีการเตรียมตัวเกษียณน้อย โดย 2 ใน 3 ของผู้สูงอายุไม่มีเงินออม คิดเป็น 66.7% มีเงินออมไม่เกิน 1 ล้านบาท 28.3% และมีเงินออมเกิน 1 ล้านบาท 5%

1 ใน 4 ของผู้สูงอายุไม่ทรัพย์สินที่เป็นบ้าน ที่ดิน ยานพาหนะ อีก 2.5 ล้านคนยังมีหนี้ ขณะที่ในช่วงอายุ 60 – 80 ปี ผู้สูงอายุ 1 คนจะต้องใช้เงินถึง 3.2 ล้านบาท (คำนวณจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคโดยไม่คิดอัตราเงินเฟ้อ จากบัญชีกระแสการโอนประชาชาติ พ.ศ. 2564)

เมื่อเงินไม่พอ ก็ต้องทำงาน 43.5% ของผู้สูงอายุบอกว่ายังต้องทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว โดยปี 2567 ผู้สูงอายุที่ยังทำงานมี 5.26 ล้านคน คิดเป็น 37.2% ของผู้สูงอายุทั้งหมด 14 ล้านคน

เช่นเดียวกับผู้สูงอายุในสารคดีคนจนเมืองทุกคนที่ยังมีภาระต้องแบกรับ “ตาไหม” แม้อยู่ในวัยชราแต่ทำงานใช้แรงงานอย่างการรับจ้างขนกระสอบถ่าน หาเลี้ยงภรรยาและหลานอีก 3 คน “ป้าเข็ม” สาวบาร์วัย 63 ปี ยังสู้ทำงานวันละ 12 ชั่วโมงแลกค่าจ้าง 100 บาท หวังไถ่ถอนบ้านที่จำนองในช่วงโควิด-19 หรือ “ลุงเปลี่ยน” พ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องทำ 2 งาน ทั้งขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างและงานประมงตามแต่โอกาส เพื่อเลี้ยงดูลูกวัยเรียน ขณะที่บ้านก็กำลังถูกไล่รื้อ

ความตายที่ไม่ตายจากความจน: ความยากจนยังถูกส่งต่อ จาก “รุ่น” สู่ “รุ่น”

ความเหลื่อมล้ำ 3 ด้าน โอกาส – รายได้ – ทรัพย์สิน คือวงจรความยากจนที่ทำให้ไม่อาจหลุดพ้นไปได้

เมื่อโอกาสทางการศึกษาทำให้ต้นทุนในการเริ่มต้นชีวิตไม่เท่ากัน คนรวยมีโอกาสเรียนต่อมากกว่าคนจน และได้เรียนในการศึกษาที่มีคุณภาพมากกว่า

เมื่อโอกาสเรียนต่อไม่เท่ากัน รายได้จึงต่างกัน ผู้ที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป มักมีรายได้มากกว่าผู้ที่มีวุฒิการศึกษาน้อยกว่า และนำไปสู่ความมั่นคงในชีวิตและการเข้าถึงโอกาสอื่น ๆ ที่ไม่เท่ากัน 

งานวิจัยการขยับฐานะระหว่างคนต่างรุ่นในสังคมไทยของ World Bank พบว่า เด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะอยู่ในครึ่งล่างของสังคมไทย มีโอกาสที่จะขยับฐานะมาอยู่ครึ่งบนได้เพียง 35% เท่านั้น อีก 65% ยังต้องจนต่อไป เพราะติดอยู่ในวงจรความยากจน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ครอบครัวของ “เอมี่” นับว่าจนมาแล้วอย่างน้อย 3 รุ่น แม้ว่ารุ่นตายายและรุ่นพ่อแม่ต่างขวนขวายเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ทั้งสองรุ่นเลือกที่จะลาจากถิ่นฐานบ้านเกิดไปไกลเพื่อโอกาสทางรายได้ แต่ก็ไม่อาจทำให้รุ่นหลานลืมตาอ้าปากได้ เด็ก 7 คนท้องยังหิว กำลังหลุดจากระบบการศึกษา และอาจมีชะตากรรมไม่ต่างจากรุ่นพ่อแม่ตายาย

จาก Baby Boomer ถึง Gen Alpha ยังไม่พ้นความจน ข้อมูลจากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP) ปี 2565 ชี้ว่า 597,248 ครัวเรือน มีแนวโน้มจะตกอยู่ในความยากจนข้ามรุ่น

งานวิจัย “รอคอยข้ามรุ่น : มานุษยวิทยาว่าด้วยเวลาที่รอคอยของคนยากจนกับนโยบายการศึกษาของไทย” โดย ผศ.ฐานิดา บุญวรรโณ พบว่าความยากจนและระดับการศึกษาของพ่อแม่ คือตัวแปรสำคัญในการส่งต่อความยากจน แม้ว่าคน Gen Y จะมีการศึกษาที่สูงขึ้นจากนโยบายการศึกษา แต่ก็หลุดจากระบบเพราะความยากจนของครอบครัว และยังพบว่าครอบครัวจนข้ามรุ่นส่วนใหญ่มีลักษณะร่วมคือ ไม่มีที่ดินของตนเอง ไม่มีเงินออม การศึกษาน้อย อัตราการพึ่งพิงสูง ไม่มีอาชีพหรือรายได้ที่มั่นคง เช่นเดียวกับที่ครอบครัวเอมี่กำลังเป็นอยู่

สถานการณ์ความจนในวงจรเกิด – เรียน – ทำงาน – เจ็บ – แก่ – ตาย ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนจนในภาพจำเดิม ๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันกำลังเกิดขึ้นกับ “คนเสี่ยงจน” หรือคนทั่วไปที่หากเกิดความไม่แน่นอนในชีวิตก็สามารถร่วงหล่นได้ทันที

เพราะหากมองความยากจนอย่างลึกซึ้งมากขึ้นจะพบว่าไม่ใช่เรื่องของรายได้เท่านั้น แต่ยังมีมิติสุขภาพ การศึกษา และความเป็นอยู่อีกด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ รายงานว่าในปี 2566 ประเทศไทยมีคนจน 7.17 ล้านคน และมีคนอีก 24.3 ล้านคนที่ “เสี่ยงจน” เมื่อวัดด้วยดัชนีความยากจนหลายมิติ รวม 2 กลุ่มแล้วนับว่า “เกือบครึ่งประเทศ” จากจำนวนประชากรในปีเดียวกัน 66.05 ล้านคน

ความยากจนจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เรื่องราวและข้อมูลสถานการณ์เหล่านี้ อาจเป็นสิ่งที่เรามีโอกาสประสบในสักวันหนึ่ง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง