แม้การแพทย์สมัยใหม่มุ่งเน้นการรักษาโรคให้หาย แต่ในความเป็นจริงมีโรคเรื้อรังและภาวะที่รักษาไม่หายจำนวนมาก โดยเฉพาะในสังคมผู้สูงอายุอย่างประเทศไทย การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ทั้งในระยะเริ่มต้นและระยะท้ายของโรค
นพ.วิชัยภัชร์ ไทยสุริโย แพทย์เวชศาสตร์ประคับประคอง โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ ตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางของการเป็น “หมอพาลิ” หรือ Palliative Care จากจังหวะชีวิตและประสบการณ์ที่ได้พบเจอตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์นปีแรก เมื่อต้องดูแลผู้ป่วยหลากหลายประเภท
“ตอนแรกเราเรียนรู้ว่าการรักษาคือการทำให้หาย แต่หลายโรคเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย เราไม่สามารถทำให้โรคหายไปได้ แต่เราสามารถดูแลคุณภาพชีวิตของคนไข้ให้ดีที่สุด” นพ.วิชัยภัชร์กล่าว

เขาบอกว่า ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสความแตกต่างของแต่ละครอบครัวและบริบททางสังคมของผู้ป่วยทำให้เขาตระหนักว่า นอกเหนือจากโรคแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการรักษา เช่น ศักยภาพในการดูแลของครอบครัว ข้อจำกัดด้านการเงิน และชีวิตหลังออกจากโรงพยาบาล สิ่งเหล่านี้จุดประกายให้เขาสนใจที่จะมาดูแลผู้ป่วยในมุมที่กว้างขึ้น
“การดูแลแบบประคับประคองแตกต่างจากการรักษาทั่วไปตรงที่เรามองคนไข้เป็นองค์รวม ไม่ได้มองแค่ตัวโรค แต่รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ครอบครัว สังคม และสภาพจิตใจของคนไข้ด้วย” เขาอธิบาย
เป้าหมายของการดูแลแบบประคับประคองไม่ใช่การทำให้โรคหาย แต่เป็นการทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในโรคที่รักษาไม่หายหรือโรคระยะท้าย เช่น มะเร็ง การช่วยควบคุมอาการปวด อาการเหนื่อย ช่วยให้รับประทานอาหารได้ นอนหลับได้ และลดอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยสบายที่สุด
แม้แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยหายใจติดขัดแต่ไม่ประสงค์จะรับการเจาะคอ การดูแลแบบประคับประคองก็มีทางเลือกอื่น เช่น การช่วยขับเสมหะ การให้ออกซิเจนเสริม หรือการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการเหนื่อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการและความต้องการของผู้ป่วย
ความท้าทายในระบบการดูแลประคับประคอง
นพ.วิชัยภัชร์ มองว่า ระบบการดูแลแบบประคับประคองในปัจจุบันดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก มีการสนับสนุนจากนโยบายระดับประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะท้าย แต่ยังมีความท้าทายหลายประการ
“ปัญหาหลักที่พบคือการขาดแคลนบุคลากรในสาขานี้ และในบางโรงพยาบาลยังมีข้อจำกัดเรื่องยาในการควบคุมอาการ” เขากล่าว
นอกจากนี้ ในวัฒนธรรมเอเชีย การพูดคุยเรื่องความเป็นความตายยังเป็นเรื่องที่หลายคนไม่คุ้นเคย ทำให้ผู้ป่วยไม่ได้วางแผนหรือเตรียมตัวล่วงหน้า ซึ่งอาจส่งผลให้ไม่ได้รับการดูแลตามความต้องการที่แท้จริง
“การให้ความรู้แก่ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการดูแลแบบประคับประคองควรเริ่มตั้งแต่ระยะต้นของโรค ตอนที่คนไข้ยังสามารถตัดสินใจเองได้” นพ.วิชัยภัชร์เน้นย้ำ
พินัยกรรมชีวิต: การวางแผนล่วงหน้า
กฎหมายมาตรา 12 ของ พรบ.สุขภาพแห่งชาติ เกี่ยวกับพินัยกรรมชีวิต (Living Will) มีมานานแล้ว แต่ผู้คนยังไม่คุ้นเคยกับการพูดถึงเรื่องความตาย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีคนรู้จักแนวทางนี้มากขึ้น และมีระบบออนไลน์สำหรับทำพินัยกรรมชีวิต ทำให้ประชาชนเริ่มสนใจและเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น
“แม้จะมีกฎหมายรองรับ แต่ยังไม่ค่อยพบผู้ป่วยที่ทำพินัยกรรมชีวิตเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนใหญ่เป็นการสั่งเสียด้วยวาจาไว้กับลูกหลานมากกว่า” นพ.วิชัยภัชร์เล่า
นพ.วิชัยภัชร์ยังเล่าอีกว่า ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้แสดงความประสงค์ไว้ล่วงหน้า เมื่ออาการแย่ลงจนไม่สามารถตัดสินใจได้เอง ครอบครัวจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจแทน ซึ่งอาจเกิดความขัดแย้งหากสมาชิกในครอบครัวมีความเห็นไม่ตรงกัน จึงจำเป็นต้องมีการประชุมครอบครัวเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมกับทุกฝ่าย
การดูแลแบบประคับประคองไม่ใช่แค่เรื่องของการดูแลระยะสุดท้าย แต่เป็นการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในทุกมิติ ตั้งแต่ช่วงแรกของโรคไปจนถึงวาระสุดท้าย ระบบการดูแลด้านนี้ในประเทศไทยพัฒนาไปมากเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว
“เป้าหมายของเราคือทำให้คนไข้จากไปอย่างสงบและมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” นพ.วิชัยภัชร์กล่าวทิ้งท้าย

fพญ.นิษฐา เอื้ออารีมิตร หรือ หมอแนต ผอ.โรงพยาบาลคูณ เล่าว่าจุดเริ่มต้นจากการเป็นหมออายุรกรรม ดูแลผู้ป่วยใน ICU และเป็นแพทย์โรคปอด โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ตอนที่ทำงานใน ICU จะเจอผู้ป่วยวิกฤตที่มีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง ประมาณ 20-25% จึงเริ่มมีคำถามว่าถ้ารู้ว่าผู้ป่วยจะไม่รอด จะดูแลพวกเขาอย่างไรให้ดีที่สุด เพราะเรามีความรู้ด้านการรักษาเพื่อยื้อชีวิต แต่ไม่มีความรู้เรื่องการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) จึงเริ่มศึกษาเพิ่มเติมด้านนี้
เราเห็นว่าช่วงเวลาท้าย ๆ ของชีวิต ถ้าเราดูแลคนไข้และครอบครัวได้ดี มันสร้างความสุขให้พวกเขาได้จริงๆ มันไม่ได้เป็นแค่การรักษาคนเดียว แต่มันช่วยเยียวยาคนที่ยังอยู่ด้วย เวลาทำงานเราจะเจอแนวคิดทางการแพทย์ที่เรียกว่า Number Needed to Treat (NNT) สมมติหมอให้ยา 100 คน อาจมีเพียง 10-20 คนที่ได้รับผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ส่วนที่เหลืออาจไม่ตอบสนอง แต่ใน Palliative Care ถ้าเราดูแลคนไข้ 100 คน เราสามารถช่วยให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้หมดเลย ความพยายามที่เราทุ่มเทลงไป มันให้ผลตอบแทนเต็มที่ ทั้งในแง่ของคุณภาพชีวิตของคนไข้ และความสุขของญาติที่ได้ดูแลคนที่เขารัก
หมอแนต บอกว่าสุดท้ายเมื่อมีโอกาสกลับมาทำงานในโรงพยาบาลเอกชนของครอบครัว ก็เลยเสนอแนวคิดว่าเราน่าจะมีโรงพยาบาลที่เน้นการดูแลแบบประคับประคอง เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้รับการดูแลที่เหมาะสมและเข้าถึงบริการนี้ได้ง่ายขึ้น จึงเกิดเป็น โรงพยาบาลคูน ขึ้นมา
ระบบการดูแลแบบ Palliative Care ในโรงพยาบาลคูณ
คุณหมอแนต บอกว่า ตอนที่เปิดโรงพยาบาลคูณช่วงแรก คนไข้และญาติมักเข้าใจว่าเราเป็นเนิร์สซิ่งโฮม มากกว่าโรงพยาบาล เพราะแนวคิดการดูแลแบบ Palliative Care ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก แต่เมื่อเริ่มสร้างความตระหนักรู้ คนไข้ที่เข้ามาก็ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยระยะท้ายที่โรคไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และต้องการดูแลด้านคุณภาพชีวิต
คนไข้ที่เข้ารับบริการจะมาจากการส่งต่อจากโรงพยาบาลอื่น ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน หรือบางรายเป็น Walk-in ที่รู้จักข้อมูลของเราและต้องการเข้ารับการดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งการเข้าถึงการดูแลแบบ Palliative Care ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีกว่าการเข้ารับการดูแลเฉพาะช่วงสุดท้ายของชีวิต
“คนที่เราดูแล ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงชีวิตที่ร่างกายถดถอย เราอาจช่วยบรรเทาความไม่สุขสบายทางกายได้ แต่โดยรวมแล้วโรคของเขาก็ยังดำเนินต่อไป หน้าที่ของเราคือเข้าไปช่วยเติมเต็มมิติอื่นๆ ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในครอบครัว การรับฟังความเชื่อ ความต้องการ หรือการช่วยให้เขาพบความสงบในช่วงเวลาท้ายๆ ของชีวิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญพอ ๆ กับการรักษาทางการแพทย์เลยค่ะ”
ในแง่ของสิทธิการรักษา เนื่องจากเราเป็นโรงพยาบาลเอกชน คนไข้ส่วนใหญ่จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง หรือใช้สิทธิประกันชีวิตที่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ ส่วนราชการที่ใช้สิทธิกรมบัญชีกลางสามารถเบิกค่าห้องพักได้บางส่วน แต่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) หรือประกันสังคม ตอนนี้ยังไม่มีการครอบคลุมค่าใช้จ่ายสำหรับ Palliative Care ในโรงพยาบาลเอกชนแบบเรา
ความท้าทายของ Palliative Care ในปัจจุบัน
หมอแนตย้ำว่า ระบบ Palliative Care ในประเทศไทยยังได้รับการสนับสนุนไม่มากพอ แม้ว่าจะมีการผลักดันให้เกิดการดูแลแบบนี้มากขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหา เช่น การตัดงบประมาณที่เคยสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้คนที่ทำงานด้านนี้รู้สึกว่าระบบไม่มีความต่อเนื่อง
สิ่งที่ภาครัฐควรทำคือ
- มีแผนก Palliative Care ในทุกโรงพยาบาล – ควรเป็นแผนกที่ชัดเจนเหมือนแผนกอื่นๆ เช่น หู คอ จมูก หรือศัลยกรรม ไม่ใช่เป็นเพียงโครงการเสริม
- เพิ่มตำแหน่งงานและบุคลากร – โดยเฉพาะนักบำบัด เช่น นักดนตรีบำบัด นักศิลปะบำบัด ซึ่งปัจจุบันไม่มีตำแหน่งงานในโรงพยาบาลรัฐ ทำให้คนเหล่านี้ไหลไปทำงานในเอกชนแทน
- แก้ปัญหาการขาดแคลนพยาบาล – ตอนนี้พยาบาลในประเทศไทยอยู่ในภาวะขาดแคลนมาก เพราะเงินเดือนต่ำเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ทำให้พยาบาลจำนวนมากเลือกไปทำงานเมืองนอก หากรัฐสามารถปรับอัตราเงินเดือนให้เหมาะสม จะช่วยดึงดูดบุคลากรให้อยู่ในระบบมากขึ้น
“เมื่อรักษาไม่หาย แต่คุณภาพชีวิตยังสำคัญ” มุมมองจากแพทย์เวชศาสตร์ประคับประคอง

ในขณะที่ประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้เตรียมตัววางแผนสู่การ ‘ตายดี’ อย่าง อ้อย จันทวี วัย 53 ปี แม่ค้าจาก จ. ศรีสะเกษ ที่เข้ามาทำงานใน กทม. ที่ไม่เคยคิดเรื่องความตาย คิดเพียงแต่ว่า ‘ช้าก็ตาย เร็วก็ตายอยู่ดี’
“อนาคตของลูก ๆ แม่ก็ได้เห็นแล้ว อยากบอกแค่ว่าอย่าเอาร่างแม่กลับบ้านนอกนะ มันเสียเงินเยอะ เอาไว้กรุงเทพฯ มันจะได้ไม่ต้องจ่ายมาก
แม่ก็วางแผนไว้แบบนั้น แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร ช้าก็ตาย เร็วก็ตายตายเหมือนกัน ก็บอกลูกไว้หมดแล้วล่ะ เพราะไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว”
ภูมิลำเนา อยู่ศรีสะเกษ ถ้าเอาร่างกลับบ้าน 300,000 บาท ก็ยังไม่พอ แต่ถ้าอยู่กรุงเทพฯ 20,000 บาท ก็ไม่เป็นไร

คล้ายกับ หัด หารไกร อายุ 53 ปี ชาวบ้าน จ.ร้อยเอ็ด ที่เข้ามาขายส้มตำในกทม. ก็เป็นอีกคน ที่ไม่เคยคิดเรื่องความตาย มองว่าอยากมีอายุยืนยาวไปถึง 99 ปี
“แต่ถึงเวลาก็อยากให้ตายไปเลยไม่ต้องเจ็บต้องปวด ถ้าเป็นไปได้อยากไปตายบ้านเกิด วาสนาจะอย่างไรก็ช่างแม้กลายเป็นศพอยากให้เอาร่างกลับไปที่อีสาน และอยากให้จัดงานแบบเรียนงายมีแค่ไหนจัดแค่นั้น ไม่ต้องเกินหน้าเกินตา”
เมื่อการจากลาไม่ต้องมีความทรมาน: เรื่องราวของ ‘การตายดี’ จากมุมมองของลูกสาว

“วันที่แม่จากไป ไม่มีสายระโยงระยาง ไม่มีความทุกข์ทรมาน… แม่แค่หลับไปเฉย ๆ”
นี่คือคำพูดจาก ชิตรา บุตรศรี ลูกสาวของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาแบบประคับประคองที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เธอแบ่งปันประสบการณ์ที่ช่วยเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งคุณแม่เพิ่งจากไปในวัย 81 ปี
แม่ของชิตราเป็นผู้ป่วยสูงวัยที่มีโรคเรื้อรัง ทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคเกี่ยวกับปอด ก่อนหน้านี้เธอรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชน แต่เมื่ออาการทรุดหนักขึ้น จึงต้องเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน 1669 ซึ่งแนะนำให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เนื่องจากใกล้บ้านและสามารถให้การดูแลที่เหมาะสมได้
ในช่วงแรกของการรักษา แม่ของเธอยังเข้าออกโรงพยาบาลเป็นระยะ แต่เมื่อพบว่าโรงพยาบาลราชพิพัฒน์มีแนวทางการรักษาแบบประคับประคอง และให้การดูแลผู้ป่วยในระยะสุดท้ายที่แตกต่างจากโรงพยาบาลทั่วไป ครอบครัวจึงตัดสินใจย้ายประวัติการรักษามาที่นี่อย่างถาวร
จากความไม่เข้าใจ สู่การยอมรับดูแลแบบประคับประคอง
“ตอนแรกเราไม่รู้จักเลยว่าการดูแลแบบประคับประคองคืออะไร” ชิตรากล่าว
เธอเล่าว่าแม่ของเธอเคยต้องใส่ท่อช่วยหายใจมาก่อน และมันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานสำหรับทั้งผู้ป่วยและครอบครัว แต่เมื่อแม่เข้ารับการรักษาที่แผนกชีวาภิบาลของโรงพยาบาลราชพิพัฒน์ เธอเริ่มเข้าใจว่า “การดูแลแบบประคับประคอง” คือแนวทางที่ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
“แม่บอกเองเลยว่าไม่ใส่ท่อ ไม่ปั๊มหัวใจ… เพราะแม่เคยผ่านความเจ็บปวดจากการใส่ท่อช่วยหายใจมาแล้ว”
การดูแลที่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ให้ความสำคัญกับ “คุณภาพชีวิต” มากกว่าการยื้อชีวิตอย่างไม่มีคุณภาพ พยาบาลและทีมแพทย์ให้การดูแลเสมือนญาติ ดูแลอาการเหนื่อยของแม่ด้วยออกซิเจนแรงดันสูงและยาแก้ปวด โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจที่สร้างความเจ็บปวด
“ตายดี” เป็นอย่างไร?
วันสุดท้ายของแม่มาถึงโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ในวันพฤหัสบดี แม่ยังสามารถใส่บาตรได้ แม้จะอ่อนแรง แต่เธอดูมีความสุขที่ได้ทำบุญ วันศุกร์อาการทรุดลง และวันเสาร์ลูกหลานทุกคนได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลว่าอาการของแม่เริ่มเหนื่อยมาก
“เราทุกคนได้อยู่กับแม่ในวันสุดท้าย ได้จับมือ ได้บอกลา ไม่มีสายระโยงระยาง ไม่มีความทรมาน ไม่มีเฮือกสุดท้ายที่น่ากลัว…”
แม่จากไปอย่างสงบ ราวกับแค่หลับไป และสิ่งที่ทำให้ชิตราและครอบครัวรู้สึกอุ่นใจคือ พวกเขาได้อยู่กับแม่จนถึงนาทีสุดท้าย ได้ช่วยอาบน้ำและดูแลแม่ในแบบที่สมศักดิ์ศรีของชีวิต
ดูแลแบบประคับประคอง สิ่งที่ควรมีในทุกโรงพยาบาล
โชคดีที่คุณแม่ของคุณชิตราได้รับสิทธิรักษาพยาบาลจากสวัสดิการข้าราชการ เนื่องจากมีลูกชายรับราชการ ทำให้สามารถเข้ารับการรักษาแบบประคับประคองที่โรงพยาบาลรัฐได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายมากนัก
อย่างไรก็ตาม คุณชิตราเชื่อว่า การดูแลแบบนี้ไม่ควรจำกัดอยู่แค่สิทธิข้าราชการเท่านั้น แต่ควรขยายไปยังประชาชนทั่วไปให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
“ไม่ว่าจะมีเงินมากแค่ไหน ถ้าต้องเห็นพ่อแม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ มีสายระโยงระยางไปหมด มันก็ทุกข์ทั้งคนป่วยและคนดูแล แต่แนวทางการรักษาแบบนี้ช่วยให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกทุกคนอยากให้พ่อแม่ได้รับ”
จากประสบการณ์ที่เธอได้รับ ชิตรามองว่าระบบการดูแลแบบประคับประคองควรได้รับการส่งเสริมในโรงพยาบาลของรัฐให้มากขึ้น สำหรับทุกคน เพราะไม่มีใครอยากเห็นคนที่เรารักจากไปอย่างทุกข์ทรมาน
ประสบการณ์ของชิตราเป็นเครื่องยืนยันว่า “การตายดี” (Good Death) คือสิ่งที่เป็นไปได้ หากมีระบบการดูแลที่เหมาะสม